(เรื่องไร้สาระ19) เดินเล่นนอกบ้านในมวกเหล็กวาลเลย์
พอลุงตู่ประกาศไม่ให้เดินทางเข้าออกกรุงเทพ ผมซึ่งกำลังจะเริ่มทำงานก็กลายเป็นคนว่างงานใหม่ ต้องเลื่อนแค้มป์สอนและการนัดหมายผู้ป่วยมารับการฟื้นฟูออกไปไม่มีกำหนด ตัวผมเองด้วยเจียมบอดี้ว่าแก่แล้วและเพิ่งหายป่วยครั้งใหญ่มาจึงกักกันตัวเองอยู่ที่มวกเหล็กจะได้ไม่ติดโควิดแล้วกลายเป็นภาระให้คนอื่นมาดูแลตัวเองซ้ำซาก โชคดีที่บ้านที่มวกเหล็กนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกึ่งร้างจึงค่อนข้างปลอดผู้คน สถานที่แห่งนี้ชื่อมวกเหล็กวาลเลย์ ทุกเช้าผมกับหมอสมวงศ์ออกกำลังกายด้วยการเดินไปตามถนนในหมู่บ้านได้โดยไม่เจอคนเลย วันนี้ผมแอบถ่ายรูปบ้านเรือนและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่มาให้แฟนบล็อกดูเล่น
ก่อนออกไปเดิน ยืนอยู่หน้าบ้านมองย้อนไปทางตะวันออกเห็นแสงตอนสายสวยไปอีกแบบจึงถ่ายไว้เอาฤกษ์เอาชัยก่อน แล้วก็ออกเดินย่ำเท้าไปตามถนนกรวด ต้องเกร็งข้อเท้าเพราะนอนป่วยอยู่นานเอ็นยังไม่แข็งแรง
เดินมาผ่านบ้านหลังแรก เลียนแบบป้อมปืน สังเกตให้ดีจะมีรอยเจาะรูเป็นช่องกากบาทเพื่อเอาปืนโผล่ออกมายิงข้าศึก
บ้านถัดมาผมเรียกว่าบ้านทรายทอง เพราะรูปทรงออกไปทางนั้น มีดอกสาละอยู่หน้าบ้าน ทาสีเขียวอมฟ้าอ่อนสะดุดตา
แล้วก็ผ่านบ้านที่เด่นตรงที่รั้วซึ่งมีดอกไม้หลากหลายเป็นแนวยาวเหยียด ตัวบ้านเป็นทรงคันทรีสร้างจากไม้ (ปลอม) น่ารักไปอีกแบบ
บ้านนี้ผมเรียกว่าบ้านหัวช้าง เพราะที่จั่วบ้านมีหัวช้างบะเริ่มประดับอยู่ การประดับตกแต่งสวนของบ้านนี้จ๊าบมาก ข้างบ้านมีปืนใหญ่ด้วย แอบดูสวนครัวหลังบ้านเห็นผักคอสโตได้ที่แล้ว เจ้าของจะกินทันไหมเนี่ย
บ้านเรือนในมวกเหล็กวาลเลย์นี้บอกอายุของเจ้าของได้ หลังนี้เป็นบ้านที่คลาสสิกมาก ชาวบ้านเรียกว่าบ้านไม้หมอน เพราะทำจากไม้หมอนรถไฟเสียเกือบทั้งหลัง ตั้งอยู่ชายป่า ดูแล้วคิดถึงบ้านของกัปตันวอนแทร็ป(พระเอกเรื่องซาวด์ออฟมิวสิค) ที่เวอร์มอนต์
พอเดินมาถึงรั้วของเวลเนสวีแคร์คราวนี้บรรยากาศหักมุมเป็นสีสันของดอกไม้และสิ่งปลูกสร้างด้วยวัสดุสมัยใหม่แต่ยังรักษาแนวคอทเท็จแบบยุโรปอยู่ ตัวบ้านโกรฟเฮ้าส์เป็นอาคารไม้เก่าหลังเดียวที่สถาปัตยกรรมเชื่อมโยงกับอาคารเพื่อนบ้านภายนอกได้
เดินมาถึงย่านโคโฮสองเห็นร่องรอยสไตล์การใช้ชีวิตจากดอกไม้ที่แพลมออกมาเหนือรั้วสีขาวเตี้ยที่หักเป็นฟันหรออยู่ บ้านนี้รู้จักกันจึงแวะเข้าไปจะทักทายแต่เจ้าของไม่อยู่ จึงแอบถ่ายรูปสวนครัวที่ระเบียงรับแขกและถังดินหมักปุ๋ยไว้เป็นที่ระทึก
เราเดินผ่านที่เปล่าแปลงหนึ่งปลูกต้นไม้และตัดหญ้าไว้สวยงาม แต่เมื่อเขม้นมองให้ดีจึงจะเห็นว่ามีบ้านสีครามหลังเล็กๆซุกซ่อนอยู่
เราเดินผ่านบ้านที่กำลังสร้างใหม่ ของคนรุ่นใหม่ แบบของเขาดูกุดๆห้วนๆตามสมัย เมื่อตั้งอยู่กลางดงไม้ที่กว้างใหญ่แล้วดูน่ารัก
นี่ก็อีกหลังหนึ่งของคนรุ่นใหม่ ผมสรุปว่าถ้าจะเป็นคนรุ่นใหม่ต้องเหล็กแยะ กระจกแยะ แบนๆ ตัดๆ แบบเพิงหมาแหงนเหมือนลมพัดเอาหลังคาทิ้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งจะสร้างบ้านในมวกเหล็กวาลเลย์นี้แหละ ผู้หวังดีแนะนำให้สร้างทรงเพิงหมาแหงน เขาตอบว่า “ไปแหง็นไกลๆเลยไป”
เราผ่านมาถึงบ้านที่อัครฐานที่สุดในหมู่บ้าน มีห้องนอนถึง 12 ห้อง รูปทรงแบบยุโรป ทำจากไม้สนทั้งหลัง สวยสุดบรรยาย แต่น่าเสียดายที่มันเป็นบ้านร้าง ของจริงหญ้าขึ้นรกแต่บ้านยังดีอยู่ ผมเอารูปเก่าสมัยที่ผมเช่าบ้านนี้ทำแค้มป์สุขภาพมาให้ดูเพื่อให้มีดอกไม้หน่อย
เดินมาถึงย่านที่เรียกว่าโคโฮหนึ่งซึ่งมีบ้านหลายหลังปลูกอยู่ในรั้วเดียวกัน มองเห็นบ้านสีฟ้าครามเด่นเป็นสง่าก่อนเพื่อน แต่ที่หมอสันต์ชอบมากที่สุดคือบ้านคนสวน เห็นเล็กกระจิ๊ดอย่างนี้มีชั้นบนด้วยนะ
เดินต่อมาผ่านทิวสนเป็นแถวเหมือนแถบทัสคานี แวะถ่ายรูปบ้านมอร็อคโค (ชื่อชาวบ้านตั้งให้) สีบ้านจ๊าบอย่าบอกใครเชียว
เดินมาจนเมื่อยขาแล้วเพิ่งได้ครึ่งหมู่บ้าน แวะดื่มกาแฟบ้านเพื่อนซี้หน่อยดีกว่า เธอเพิ่งปลูกเสร็จใหม่ๆและเพิ่งย้ายเข้ามา เจ้ามอนเต้กับเจ้าแจ๊ควิ่งลงมาทักทายระริกระรี้ เรานั่งละเลียดกาแฟและอาหารเช้าแบบอัตคัตประกอบด้วยกล้วยน้ำว้า น้อยหน่า และโยเกิร์ตจืดฝีมือเจ้าบ้านโดยลืมนึกไปว่าลุงตู่ห้ามเจ๊าะแจ๊ะไปมาหาสู่ พอนึกขึ้นได้ก็สายแล้วจึงลากลับ
กลับเข้าประตูบ้านของตัวเองแล้ว แหงนหน้าขึ้นไปมองบ้านหลังคากระเบื้องลอนสีส้มที่บนเนิน โอ้..ต้องเดินขึ้นอีกแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์