24 มีนาคม 2564

ผ่าตัดไทรอยด์แล้วหูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น

ดิฉันผ่าตัดต่อมไทรอยด์ทั้งสองข้างหลังจากผ่าตัดหูอื้อข้างขวาต้องใส่เครื่องฟังเพราะได้ยินแค่ 30% จมูกไม่ได้กลิ่นไหม้ว่าหอมหรือเหม็นกินอะไรไม่รู้รถว่าอร่อยหรือไม่อร่อยเกิดจากสาเหตุใดคะ

ชื่อของคุณ

ส่งจาก iPhone ของฉัน

……………………………………………………………………

ตอบครับ

ถามว่าผ่าตัดต่อมไทรอยด์แล้วหูไม่ได้ยิน จมูกไม่ได้กลิ่น เกิดจากอะไร ตอบว่าไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บในการผ่าตัดดอกครับ เพราะเส้นประสาทคุมกลิ่นและคุมการได้ยินไม่ได้ไปผ่านแถวนั้น แต่เกิดจากเนื้อของต่อมไทรอยด์ที่เหลือจากการผ่าตัดทำการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้ต่ำกว่าความต้องการใช้ของร่างกาย (hypothyroidism) ปัญหาแบบนี้มีทั้งในคนที่ได้ยาฮอร์โมนทดแทนแล้วแต่ได้ไม่พอ และทั้งในคนที่ระดับฮอร์โมน (FT3, FT4) ยังปกติ แต่ฮอร์โมนกระตุ้นต่อม (TSH) เริ่มสูงขึ้น ปกติภาวะแบบหลังนี้เรียกว่า subclinical hypothyroidism ซึ่งแพทย์จะยังไม่ทำการรักษาอะไร

งานวิจัยหนึ่งทำที่ตุรกี ทดลองเอากลุ่มผู้ป่วยที่เป็น subclinical hypothyroidism มาดมกลิ่นเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ากลุ่มผู้ป่วยดมกลิ่นได้น้อยกว่ากลุ่มควบคุมชัดเจน และพบว่าเมื่อรักษาด้วยฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนไปเฉลี่ยสามเดือนอาการจมูกด้านนี้ก็หายไป

ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างภาวะไฮโปไทรอยด์กับการสูญเสียการได้ยินนั้น ได้มีงานวิจัยทดลองให้การรักษาเด็กที่เป็นไฮโปไทรอยด์แต่กำเนิดและสูญเสียการได้ยินด้วย โดยใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน พบว่าการให้ฮอร์โมนทดแทนที่รวดเร็วและเพียงพอด้วยฮอร์โมนไทรอยด์จะมีการได้ยินดีขึ้นมากกว่าคนที่รักษาช้าหรือทดแทนฮอร์โมนแต่ได้ระดับ FT4 ไม่เพียงพอ

ปกติโรค subclinical hypothyroidism นี้แพทย์จะไม่ใช้ฮอร์โมนไทรอยด์รักษา แต่ในกรณีของคุณนี้ซึ่งมีอาการทั้งหูหลึ่ง (หูหนวก) และจมูกด้านกลิ่น ผมแนะนำว่าควรกลับไปปรึกษาหมอเพื่อทดลองลงมือรักษา subclinical hypothyroidism ด้วยการให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทนแล้วติดตามดูว่าอาการทั้งสองจะดีขึ้นหรือไม่ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Baskoy K, Ay SA, Altundag A, Kurt O, Salihoglu M, Deniz F, et al. (2016) Is There Any Effect on Smell and Taste Functions with Levothyroxine Treatment in Subclinical Hypothyroidism? PLoS ONE 11(2): e0149979. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0149979
  2. Lydia Lichtenberger-Geslin, Sophie Dos Santos, Yasmine Hassani, Emmanuel Ecosse, Thierry Van Den Abbeele, Juliane Léger, Factors Associated With Hearing Impairment in Patients With Congenital Hypothyroidism Treated Since the Neonatal Period: A National Population-Based Study, The Journal of Clinical Endocrinology & Metabolism, 2013: 98 (9) ; 3644–3652, 
[อ่านต่อ...]

23 มีนาคม 2564

ถ้าคุณไม่ยอมโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณก็หมดโอกาสใช้ชีวิต

หนู … นะคะ ตั้งแต่กลับจาก spiritual retreat หนูยังไม่ทันได้ตั้งต้นฝึกวางความคิดตามที่คุณหมอสอนอย่างจริงจังเลย หนูยุ่งมากด้วยในช่วงนี้เพราะต้องไปทำ CT ว่ามะเร็งแพร่กระจายไปตับและปอดหรือเปล่า ทำไปที่รพ. … แล้วหมอบอกว่ายังไม่มี แต่หนูไม่แน่ใจ จึงไปทำ MRI ที่รพ. …. หมอนัดวันที่ …. วิทยานิพนธ์ป.เอกก็กำลังจะเสร็จ รอสอบ defense แล้วหนูต้องขึ้นไปรับยาที่คลินิกที่ (จังหวัด..) ทุกเดือนด้วย หนูส่งผลเลือดมาให้อาจารย์ดู ค่า CEA มันสูงขึ้น อยากปรึกษาอาจารย์ด้วยว่าควรจะไปส่องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อป้องกันการแพร่กระจายไปลำไส้ใหญ่ด้วยไหม และการตรวจตับเพื่อเฝ้าระวังการแพร่กระจายต้องตรวจบ่อยแค่ไหน

……………………………………………………….

ตอบครับ

ผมไม่ตอบคำถามที่คุณถามมานะ เพราะมันไม่มีประโยชน์ใดๆกับคุณเลย แต่คำสำคัญที่ผมจะพูดกับคุณวันนี้ก็คือ

“ถ้าคุณไม่ยอมโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณก็หมดโอกาสใช้ชีวิต”

ประเด็นที่หนึ่ง หมายความว่าอย่างไรที่หมอสันต์ว่าถ้าไม่ยอมรับความตายก็เท่ากับหมดโอกาสใช้ชีวิต ตอบว่าหมายความว่าการใช้ชีวิตเขาใช้กันที่เดี๋ยวนี้ หรือที่บางคนชอบพูดว่าที่ปัจจุบันก็ได้ เราไม่สามารถใช้ชีวิตในอดีตหรือในอนาคตได้ เพราะชีวิตคือการดำรงอยู่ มันดำรงอยู่เฉพาะเดี๋ยวนี้เท่านั้น คุณจะอยู่ที่เดี๋ยวนี้ได้ คุณจะต้องไม่ถูกใครพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้

แล้วใครละที่จะพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้ ตอบว่าก็ “ความกลัว” และ “ความหวัง” และ “ความเสียใจ” นั่นไง ที่จะพาคุณหนีไปจากเดี๋ยวนี้ ทั้งสามล้วนเป็นความคิด ความกลัวและความหวังจะพาคุณหนีไปอยู่ในอนาคตในใจคุณ ส่วนความเสียใจจะพาคุณหนีไปหลบอยู่ที่อดีตในใจคุณ ทั้งอนาคตและอดีตในใจคุณไม่มีอยู่จริงดอก ล้วนเป็นสิ่งที่สำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณชงมันขึ้นมาเองที่เดี๋ยวนี้ทั้งนั้น

แล้วทำไมหนูจึงชงอนาคตและอดีตขึ้น ตอบว่าก็เพราะคุณทนอยู่ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้

อ้าว แล้วทำไม่หนูทนอยู่ที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ตอบว่าเพราะคุณยอมรับเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ตัวแม่ของสิ่งที่อยู่ที่เดี๋ยวนี้ที่คุณยอมรับไม่ได้ก็คือ “ความตาย” นั่นไง คนเราเมื่อเกิดมามีชีวิต ความตายก็เต้นแทงโก้คู่กับชีวิตมาเลยตั้งแต่วินาทีแรก ร่างกายนี้ถูกปลุกให้มีชีวิตด้วยพลังชีวิตที่เข้ามาสู่ร่างกายในขณะหายใจเข้า พลังชีวิตหนึ่งลูกที่เข้ามา จะหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ได้ชั่วขณะ ส่วนการหายใจออกนั้นเป็นกลไกเด้งกลับ (recoil) สู่ที่เดิมของร่างกายแบบอัตโนมัติ ปลายสุดของการหายใจออก ถ้าไม่มีการหายใจเข้าครั้งใหม่ คุณก็…เรียบร้อย คือเด๊ด สะมอเร่ ดังนั้นความเป็นจริงของชีวิตคือความตายอยู่กับเราทุกๆปลายของลมหายใจออกที่เดี๋ยวนี้นี่แหละ เหลือเพียงแต่ว่าลมหายใจออกไหนจะไม่ตามมาด้วยลมหายใจเข้าเท่านั้น ถ้าคุณโอบรับความจริงอันนี้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ ว่าคุณจะแตกดับเมื่อไหร่ก็ได้ วินาทีข้างหน้านี้ก็ได้ หากคุณยอมรับตรงนี้ได้ คุณก็อยู่กับปัจจุบันได้ คุณก็ใช้ชีวิตได้ แต่หากคุณยอมรับไม่ได้คุณก็หนี ผู้ที่จะพาคุณหนีก็คือความกลัวและความหวัง มันจะพาคุณหนีไปจดจ่ออยู่กับเรื่องไร้สาระที่คุณปั้นแต่งขึ้นโดยสมมุติว่าเป็นอนาคตของคุณ ยกตัวอย่างการทำงานของความกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวตายก็เช่นมีอาการแปลกๆก็กลัวเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งแล้วก็กลัวแพร่กระจาย แพร่กระจายแล้วก็กลัวมะเร็งที่แพร่แล้วจะเติบโตพรวดพราด เพื่อสนองความกลัวนี้คุณสาละวนสาละพัด เช่นหมอคนที่หนึ่งว่ายังไม่เป็นมะเร็งก็ไปหาหมอคนที่สองจะเอาให้แน่ใจ เป็นมะเร็งแล้วหมอคนที่หนึ่งว่ายังไม่แพร่กระจายก็ไปหาหมอคนที่สองว่าไม่แพร่กระจายจริงหรือเปล่า แพร่กระจายแล้วหมอบอกว่ายังไม่เยอะก็ไปหาหมอคนถัดไปว่าไม่เยอะจริงหรือเปล่า เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตนะ เพราะการใช้ชีวิตคือการอยู่ที่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ แต่คุณวิ่งเป็นบ้าเพื่ออนาคต อย่างนี้เรียกว่าคุณไม่สงบเย็น ไม่สร้างสรรค์ด้วย เพราะที่คุณห่วงกังวลนั้นคือสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณเองล้วนๆ ไม่มีใครอื่นจะได้ดิบได้ดีด้วยกับการวิ่งเป็นบ้าของคุณดอก รวมทั้งตัวคุณเองซึ่งเป็นความรู้ตัวที่นั่งดูนิ่งๆอยู่ข้างในด้วยเพราะสำนึกว่าเป็นบุคคลนั้นไม่ใช่ตัวคุณจริงๆดอก

ถ้าคุณโอบรับความตายว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของรอบการหายใจของคุณ มันอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้กับคุณด้วย มันมาเมื่อไหร่คุณก็ตายเมื่อนั้น โดยตรรกะแล้วเด็กนักเรียนมัธยมก็ยังรู้เลยว่ามันเป็นความจริงแท้แน่นอนไม่เป็นอื่น ไม่ต้องรอเรียนหนังสือจนจบป.โทป.เอกดอก ถ้าคุณยอมรับตรงนี้ โอบรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณทุกลมหายใจ คุณก็ไม่ต้องหนีจากเดี๋ยวนี้ไปไหน คุณก็จะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เดี๋ยวนี้ได้เสียที

ประเด็นที่ 2. ผลพลอยได้ของการโอบรับความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของเดี๋ยวนี้ ก็คือคุณจะได้เรียงลำดับเรื่องที่คุณอยากจะทำในชีวิตของคุณให้ถูกต้องเสียใหม่ เพราะคุณรู้ว่าชีวิตนี้มีความเปราะบางจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นธรรมดาที่คุณย่อมต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่าสำหรับตัวเอง อะไรที่คุณเกิดมาแล้วหากไม่ได้ทำจะเป็นการเสียชาติเกิด คุณจะรีบทำเสียที่ลมหายใจนี้ เพราะลมหายใจหน้าคุณอาจจะไม่อยู่แล้ว ผมไม่ได้หมายถึงการทำดี การทำถูกต้อง หรือการทำอะไรที่เป็นที่ยกย่องตามสมมุติของผู้คนส่วนใหญ่นะ ผมหมายถึงอะไรที่คุณเห็นว่ามันสำคัญสำหรับตัวคุณ ดีชั่วถูกผิดหรือสมมุติบัญญัติใดๆไม่ใช่ประเด็น ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชาวอังกฤษ เธอบอกผมว่า

“ถ้าฉันอายุ 75 ฉันจะสูบกัญชา”

ผมหัวเราะและว่าถ้าคุณอยากจะสูบกัญชาจริงๆจะไปรอจนอายุ 75 ทำไม อะไรที่คุณอยากทำหรือสำคัญต่อคุณมากทำไมคุณไม่ทำเสียเดี๋ยวนี้ ซึ่งคุณยังมีชีวิตอยู่ เพราะลมหายใจหน้าคุณอาจจะไม่อยู่แล้วก็ได้

ประเด็นที่ 3. เมื่อคุณเลิกกลัวตาย มันเปิดโอกาสให้คุณผูกมิตรหรือตีสนิทกับความตายได้เลยทันที ซึ่งตรงนั้นคุณจะได้เรียนรู้อะไรอีกมาก ในทางการแพทย์ การหลับลึกโดยไม่ฝันเป็นความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตสำนึกรับรู้ที่ใกล้เคียงกับความตายมากที่สุด ดังนั้นหากอยากตีสนิทกับความตาย คุณก็แค่ให้ความสนใจเวลาคุณเข้านอนและจะหลับหน่อยแค่นั้นเอง สนใจว่าก่อนจะหลับคุณอยู่ที่ไหน คุณรู้ตัวอยู่หรือเปล่า สนใจอย่าว่อกแว่กไปอยู่ในความคิด จนคุณเห็นว่าอาการที่คุณหลับไปเป็นอย่างไร แค่นี้คุณก็จะได้เรียนรู้อะไรที่ไม่เคยรู้อีกแยะมาก

กล่าวโดยสรุป ให้เลิกหนีไปไหนต่อไหนกับความกลัวตายเสีย เริ่มต้นใช้ชีวิตที่ปัจจุบัน ซึ่งมีความตายเต้นแทงโก้สลับข้างกับชีวิตทุกรอบของลมหายใจ แล้วคุณจะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตเสียที หมายถึงการได้ดำรงอยู่อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 มีนาคม 2564

เลือดข้นจากน้ำตาลสูงมาก การจะดูแลตัวเองคุณต้องรู้จักใช้ตัวชี้วัด

เรียนคุณหมอสันต์

สามีของหนูอายุ 52 ปี เป็นเบาหวานและโรคไตต้องล้างไต เดิมล้างไตด้วยเครื่องแล้วมีอาการเปลี้ยหมดแรงจึงเปลี่ยนมาล้างทางหน้าท้องแบบ CAPD แล้วมีอาการหอบเหนื่อยต้องเข้า admit นอนในโรงพยาบาล … จังหวัด … หมอสวนหัวใจแล้วบอกว่าต้องทำผ่าตัดบายพาส หนูส่งผลตรวจมาให้ด้วย อยู่โรงพยาบาลนานเป็นเดือน แต่น้ำตาลในเลือดก็อยู่ระดับ 400- 500 มาตลอดจนสามีของหนูตัดสินใจกลับบ้านและเลิกยากินยาฉีดหมดมาได้เดือนกว่าแล้ว น้ำตาลในเลือดก็ยังเกิน 500 อยู่ มีอาการนอนแล้วต้องลุกขึ้นมานั่งหอบบ้าง หนูกับสามีอยากเลิกใช้ยาหันมารักษาตามวิธีของคุณหมอสันต์ จึงอยากปรึกษาคุณหมอว่าอาการขนาดนี้จะทำได้ไหม อาการหอบตอนกลางคืนต้องลุกมานั่งเกิดจากอะไร ทำไมทั้งๆที่ให้ยาฉีดยากินในโรงพยาบาลแล้วน้ำตาลไม่ลง สามีไม่ต้องการทำผ่าต้ดบายพาส จะไม่ผ่าได้ไหม หนูเดาว่าหมอสันต์จะไล่ให้หนูพาสามีกลับเข้าโรงพยาบาลอีก แล้วถ้าเข้าไปอีกแล้วน้ำตาลก็ไม่ลงอีกจะทำอย่างไร

……………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าภาพรวมการเจ็บป่วยของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ตอบว่าผมสรุปปัญหาของคุณเป็นภาษาแพทย์ว่าคุณเป็นโรคต่อไปนี้

(1) ภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลในเลือดสูงเกินขนาด (hyperosmolar hyperglycemic state – HHS)

(2) ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) จาก HHS

(3) โรคเบาหวานระยะปลายที่เกิดโรคไตเรื้อรังแล้ว (เบาหวานลงไต)

(4) โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย (CKD) อยู่ในระหว่างการล้างไตทางหน้าท้อง (CAPD)

(5) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เกิดอาการขณะใช้เครื่องล้างไต

(6) ปัญหาความไม่เข้าใจแผนการรักษาของกันและกันระหว่างหมอกับคนไข้ คือไปคนละทาง

กล่าวโดยสรุป คนไข้อย่างสามีคุณเป็นคนไข้อาการหนักปางตายแล้ว ต้องได้รับการรักษาในไอซียู.ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะด้านโรคเบาหวานอย่างใกล้ชิด

2..ถามว่าอาการนอนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมานั่งหอบเกิดจากหัวใจขาดเลือดใช่หรือไม่ ตอบว่าอาการอย่างนั้นภาษาหมอเรียกว่า orthopnea เป็นอาการแสดงถึงภาวะปอดบวมน้ำหรือน้ำท่วมปอด (pulmonary edema) ซึ่งตามข้อมูลที่ให้มาไม่น่าจะเกิดจากหัวใจล้มเหลว เพราะผลการตรวจ Echo การทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายยังปกติดีอยู่ ไม่ได้ล้มเหลว น้ำท่วมปอดน่าจะเกิดจากการที่เลือดข้นมากเกินไปจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงเกิน 500 ภาษาหมอเรียกว่า hyperosmolar hyperglycemic state หรือ HHS

3..ถามว่าน้ำตาลในเลือดของสามีคุณสูงอยู่ในระดับ 500 ทุกวันไม่ลงเลยนั้นเกิดจากอะไร ทั้งๆที่ใช้ยาตามหมอให้แล้วก็ยังไม่ลง ตอบว่าเกิดได้จากสองสาเหตุ สาเหตุที่หนึ่งคือการฉีดอินสุลินและการให้ยากินลดน้ำตาลในเลือดยังไม่ได้ระดับพอดี หมายความว่าตอนที่อยู่ในมือหมอเขายังไม่ทันปรับยาให้เข้าที่คุณก็ใจร้อนถอดใจเลิกใช้ยาเสียก่อน เลยไปกันใหญ่เลยคราวนี้

อีกสาเหตุหนึ่งคือการที่คุณล้างไตทางหน้าท้อง (CAPD) น้ำที่ใส่เข้าไปทางหน้าท้องนั้นมีน้ำตาลอยู่มากโขอยู่ คืออย่างต่ำก็ 1.5% สลับกับอย่างสูงคือ 4.5% ใส่เข้าท้องไปทีน้ำตาลนี้ก็เข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแต่เซลร่างกายของคุณมีภาวะดื้อด้านต่ออินสุลินอยู่ไม่สามารถเอาน้ำตาลเข้าไปในเซลได้ ก็เลยทำให้น้ำตาลในเลือดของคุณสูงปรี๊ด

4.. ถามว่าจะเลิกรักษาด้วยยาอย่างถาวรแล้วมารักษาเบาหวานตามแนวทางของหมอสันต์ได้ไหม ตอบว่า แหะ แหะ คนไข้แบบสามีของคุณนี้หากไม่รีบกลับเข้ารับการรักษาในไอซียู.ให้เป็นกิจจลักษณะมีหวังกลับบ้านเก่าแหงๆ อย่าหวังว่าจะเหลือชีวิตรอดมาลองรักษาแบบใดๆได้เลย สิ่งที่พึงทำคือคุณต้องกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที การมีปอดบวมน้ำก็ดี การมีน้ำตาลเกิน 500 ก็ดี ล้วนเป็นข้อบ่งชี้ว่าคุณต้องการรักษาแบบฉุกเฉินในไอซียู.เท่านั้น วิธีอื่นไม่มี

เมื่อรอดตายจากภาวะฉุกเฉิน คือน้ำตาลในเลือดลงมาต่ำกว่า 250 และภาวะปอดบวมน้ำหายไปแล้ว การจะมาใช้วิธีปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตร่วมไปกับการรักษาด้วยยาจึงจะเป็นไปได้

5.. ถามว่าที่หมอจะให้ทำผ่าตัดบายพาสนั้น จะไม่ทำได้ไหม ตอบว่าตอนนี้ไม่มีหมอผ่าตัดหัวใจคนไหนทำผ่านัดบายพาสให้สามีคุณดอก เพราะปัญหาที่จะทำให้สามีคุณเสียชีวิตคือการที่เลือดข้นจนปอดบวมน้ำ ต้องแก้ตรงนี้ก่อน หมดปัญหานี้แล้วหากคิดจะผ่าตัดจึงจะผ่าตัดได้

ในกรณีที่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนน้ำตาลลงมาต่ำกว่า 250 และภาวะปอดบวมน้ำหายแล้ว ผมดูผลการสวนหัวใจฉีดสี (CAG) ที่ส่งมาแล้ว ที่โคนของหลอดเลือดหัวใจข้างซ้าย (LM) ยังปกติดี มีหลอดเลือดตีบสำคัญอยู่สามเส้น แต่กล้ามเนื้อหัวใจยังดีอยู่ไม่มีหัวใจล้มเหลว คนไข้แบบนี้หากเป็นเบาหวานด้วยโดยไม่มีความเสี่ยงอื่นการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดบายพาสจะให้อัตรารอดชีวิตที่ดีกว่าวิธีอื่น แต่เมื่อมีการล้างไตทางช่องท้องผสมโรงด้วย การทำผ่าตัดบายพาสไม่ใช่ของสนุกเสียแล้ว เพราะอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดจะสูง จนประโยชน์ของการผ่าตัดบายพาสไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ดังนั้นผมแนะนำว่าควรเลือกวิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัดไปก่อน โดยปรับชีวิตอย่างเข้มข้น คือ (1) ต้องกินมังสวิรัติ 100% นานสัก 3-6 เดือน และขยันกินพืชให้หลากหลาย เพราะงานวิจัยเปรียบเทียบพบว่าคนไข้เบาหวานระดับหนักเกือบครึ่งสามารถเลิกใช้ยาได้ด้วยวิธีนี้ (2) ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่ทุกวันนะ แต่ทุกชั่วโมง คือทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่ต้องลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว เหนื่อยก็เอกเขนกพัก หายเหนื่อยก็ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอีก (3) ต้องจัดการความเครียดให้ดี (4) ต้องขยันออกแดดเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดีและให้การนอนหลับดี หากทำเช่นนี้ไปนาน 6 เดือนแล้วคุณภาพชีวิตดีไม่มีอาการเจ็บหน้าอก การจะเลือกไม่ทำผ่าตัดเลยก็เป็นทางเลือกที่ดี

6.. ถามว่าถ้ากลับเข้าโรงพยาบาลแล้วหากทำอย่างไรน้ำตาลก็ไม่ลงต่ำกว่า 500 จะทำอย่างไร ตอบว่าให้หารือกับหมอถึงการจะเปลี่ยนน้ำยาล้างไตทางหน้าท้อง (dialysis fluid) ไปเป็นชนิดที่ไม่ใช้น้ำตาลเป็นตัวดึงน้ำ ผมเข้าใจว่าน้ำยาล้างท้องแบบนี้จะเบิกสามสิบบาทหรือประกันสังคมไม่ได้ ดังนั้นควรสงวนไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ วิธีง่ายๆที่คุณจะเห็นตัวเลขน้ำตาลในเลือดใกล้ความจริงกว่าคือเจาะดูน้ำตาลในเลือดก่อนการใส่น้ำยาล้างทางหน้าท้อง เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้ำตาลในเลือดสะท้อนของจริงมากที่สุด อย่าไปเจาะหลังใส่น้ำยาเพราะหลังใส่น้ำยาล้างหน้าท้องแล้วเป็นธรรมดามากที่น้ำตาลในเลือดจะจู๊ดขึ้นไปเกิน 300 และมีบ้างเหมือนกันที่สูงเกิน 500 แล้วคนไข้ก็ยังนอนยิ้มเผล่อยู่ได้อย่างสามีคุณนี้เป็นต้น

7.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้เผื่อแฟนบล็อกหมอสันต์ที่เป็นสายฮาร์ดคอร์คนอื่นๆด้วย ว่าการที่คุณคิดจะหันมาจัดการโรคเรื้อรังของตัวเองด้วยการเปลี่ยนอาหารและการขยันออกกำลังกายนั้นเป็นความคิดที่ประเสริฐ แต่ในการดูแลตัวเองคุณต้องรู้จักใช้ตัวชี้วัดด้วย ถ้าคุณมาถูกทาง ตัวชี้วัดต้องดีขึ้น ตัวชี้วัดที่ผมแนะนำให้ใช้ก็เป็นตัวชี้วัดง่ายๆเจ็ดตัวเท่านั้นซึ่งทุกคนใช้เป็นอยู่แล้ว คือ (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) ไขมันในเลือด (4) น้ำตาลในเลือด (5) การกินผักผลไม้ (6) การออกกำลังกาย และ (7) การสูบบุหรี่ ทั้งเจ็ดตัวนี้ต้องปกติหรืออย่างน้อยก็มีแนวโน้มดีขึ้นจึงจะถือว่าคุณมาถูกทาง หากตัวชี้วัดทั้งเจ็ดตัวยังไม่ปกติหรือไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แสดงว่าคุณยังมาไม่ถูกทาง หรือยังทำไม่มากพอ ด้านหนึ่งคุณต้องทำให้มากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งคุณต้องใช้ยาและการรักษาแผนปัจจุบันควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาดูแลตัวเองแบบทิ้งยาหมดโดยไม่สนใจตัวชี้วัดเลย อย่างเช่นน้ำตาลในเลือดเกิน 500 แล้วก็ยังเฉย อย่างนี้เป็นการดูแลตัวเองแบบลูกทุ่งเกินไป ซึ่งไม่ใช่วิธีที่หมอสันต์แนะนำให้ทำ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

(เรื่องไร้สาระ18) อันนี้กินได้ด้วยหรือ?

ชีวิตที่เต็มไปด้วยตารางการทำงานและการนัดหมายทำให้กว่าจะมีเวลาหมุนเวียนมาทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้แต่ละรอบใช้เวลานานหลายวัน

บางกิจกรรมเช่นป่าอาหารที่ผมทำทิ้งไว้ กว่าจะมีเวลาลงมาเยี่ยมสักรอบหนึ่งนานเป็นเดือน กลับมารอบนี้พบว่ามันเขียวอึ๊ดไปด้วยวัชพืช คุ้ยๆดูให้ดีอาจจะเห็นฟักทอง แตงกวา มะเขือเทศ ซุกซ่อนอยู่ในพงหญ้าตรงไหนสักแห่งบ้าง กล้วยหอมก็ตกหวีดีแต่อยู่สูงมากเสียจนการเอาถุงพลาสติกหุ้มกันกระรอกกลายเป็นงานวิศวกรรมไปเลย เช่นเดียวกับมะเขือพวงที่ออกลูกสูงจนต้องแหงนคอตั้งบ่าและเอาไม้ไผ่สอยจึงจะได้กิน มะกอกฝรั่งที่ปลูกไว้กินใบก็ออกลูกให้กินด้วย ละมุดก็กำลังตกลูก ผมจะลองเปิดอ้าซ่าทิ้งไว้ดูซิว่ากระรอกจะสนใจละมุดฝาดๆหรือเปล่า กาแฟอาราบิก้ากำลังออกดอกโต้ลมร้อน ถั่วฝักยาว ถั่วพู มีพอให้เก็บได้ไม่ขาด ส่วนมะเขือเทศนั้นมักแอบซุกซ่อนอยู่ถ้าหาเจอก็ได้กิน ผักกินใบอื่นๆเช่นสะหระแหน่ ผักแพว ก็สมบูรณ์ดีหากขยันเก็บก็ได้กิน

กล้วยหอมซึ่งสูงจนต้องอาศัยวิศวกรรมในการป้องกันกระรอก
มะเชือพวงที่ต้องแหงนคอตั้งบ่าและใช้ไม้ไผ่สอยจึงจะได้กิน
มะกอกฝรั่งปลูกไว้กินใบแต่มีลูกแถมให้ด้วย
ละมุดที่ผมเปิดอ้าซ่าไว้ท้าทายกระรอก
ผักแพว
พริก งามแต่ไม่กิน เพราะไม่ชอบเผ็ด
สะหระแหน่ ถ้าขยันเก็บ ก็ได้กิน
มะเชือเทศ ซุกซ่อนอยู่ ค้นหาเอาเอง
กาแฟอาราบิก้า ออกดอกโต้ลมร้อน

เวลาสองชั่วโมงที่มีให้กิจกรรมนี้ในวันนี้คงทำได้อย่างเดียวคือกำจัดวัชพืช ภาษาเกษตรเรียกว่า weeding สมัยเป็นนักเรียนแม่โจ้มันช่างเป็นงานที่น่าเบื่อซะ แต่มาวันนี้ weeding หากตั้งใจทำอย่างปราณีตบรรจงและไม่เร่งรัดว่าจะต้องให้ได้พื้นที่เท่าไหร่ในเวลาเท่าไร มันเป็นกิจกรรมที่ได้ความสุข ได้แดด และได้เหงื่ออย่างดีกิจกรรมหนึ่งเลยทีเดียว ผมยังคิดในใจเลยว่าหากตัวเองแก่มากแล้วทำอะไรอย่างอื่นไม่ไหวก็น่าจะเหลือกิจกรรมที่ชื่นชอบอีกอย่างหนึ่งรออยู่ คือ weeding นี่แหละ

ถั่วพู ถั่วฝักยาว มองให้ดีก็พอมีเหลือ

ยังไม่ทันได้คิดว่าพื้นที่ว่างที่ได้กลับคืนมาจากวัชพืชจะปลูกอะไรดีก็ต้องรีบวางจอบเสียมเพื่อไปเตรียมตัวรับแขกเพราะวันนี้จะมีแขกมากินข้าวที่บ้าน ช่วงนี้บ้านมวกเหล็กรกรุงรังเพราะหมอสมวงศ์กำลังก่อสร้างห้องน้ำใหม่เพราะเธอเห็นว่าของเดิมที่ใช้มายี่สิบปีมันอับเกินไป กระแป๋งและถุงใส่วัสดุก่อสร้างของพวกช่างวางเกะกะไปทั่ว ผมเดินผ่านเห็นในกระแป๋งใบหนึ่งมีผักเขียวสดล้างสะอาดแช่อยู่ในน้ำใสเหมือนเตรียมไว้จะเอาไปทำอาหารเย็น ดูหน้าตามันก็คือวัชพืชตัวรกที่ผมเพิ่งกำจัดออกจากป่าอาหารนั่นเอง จึงถามช่างว่า

ผักแว่นหรือบัวบก ไม่รู้อันไหนเป็นอันไหน แต่กินได้ทั้งคู่

“..ช่างครับ อันนี้กินได้ด้วยหรือ” ช่างยิ้มแล้วตอบว่า

“กินได้สิครับ”

“กินได้แน่นอนเลยหรือ ไม่ใช่พี่เอาไปกินบ้างแล้วตายนะ” เขาหัวเราะและว่า

“กินได้แน่นอนครับ กินสดๆกับน้ำพริกก็ได้” เขาบอกชื่อผักเป็นภาษาอิสาน ซึ่งผมจำไม่ได้ สักพักเขาคิดขึ้นได้ จึงพูดออกมาเป็นภาษากลางว่า

“บัวบก”

อะเมซซิ่ง ขำตายแหละ หมอสันต์ไม่รู้จักใบบัวบก เอ..ผมว่าผมรู้จักนะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆทางเหนือเรียกว่า “ผักหนอก” และเคยกินด้วย น้ำใบบัวบกแก้ช้ำในก็เคยกินเมื่อตอนเด็กแต่ไม่ชอบ หกสิบปีผ่านไปผมไม่ได้เห็นหน้ามันแสียนานเลยจำกันไม่ได้ และผมว่ามันกลายพันธ์ุไปนะ คือมันใบหนาขึ้น ผิวใบมันมันขึ้นเหมือนฉาบขี้ผึ้ง ต้นและไหลของมันขาวจั๊วะต่างจากที่ผมเห็นสมัยเด็กๆซึ่งต้นมันเป็นสีน้ำตาลแกมเขียว วันรุ่งขึ้นผมตั้งใจลงไปดูมันใหม่ เมื่อเขม้นมองจริงๆแล้วจึงพบว่ามันมีสองแบบปะปนกัน แบบที่ผมเคยเห็นตอนเด็กๆก็มีแต่ว่าเป็นส่วนน้อย ส่วนแบบใบมันๆกลมๆนี้มีเต็มไปหมดกำจัดอย่างไรก็ไม่เกลี้ยง เอาไปถามช่างอีกคนที่อายุมากกว่าว่านี่ผักอะไร เขาบอกว่า

“ผักแว่น”

อ้าว มีสองผักแล้วสิ แต่ได้ความว่ากินได้ทั้งคู่ โอเค.เย็นนี้จะลองเอาไปกินดูบ้าง กินสดๆเลย เพราะผมไม่ชอบน้ำพริกเนื่องจากไม่ชอบของเผ็ด กินสดๆดีกว่าได้รสชาติแปลกๆของตัวผักด้วย หวังว่ารุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์คงไม่ลงข่าวว่า “..พบศพชายสูงอายุไม่ทราบชื่อ..” หิ หิ พูดเล่น

ผมพยายามนึกว่าเคยเห็นภาพผักแบบนี้แว่บๆที่ไหน จึงไปคุ้ยบรรดาขวดวิตามินอาหารเสริมที่ชอบมีคนเอามาฝากโดยที่ผมไม่เคยกินเลยเพราะไม่ชอบกินอะไรเป็นเม็ดๆ ได้แต่ทิ้งกองไว้บนโต๊ะ มีอยู่ขวดหนึ่งเป็นรูปใบบัวบก เขียนชื่อว่า Gotu Kola ขวดเล็กขนาดๆวางในฝ่ามือได้ ปิดราคาไว้ 20 เหรียญ หรือราวหกร้อยกว่าบาท ซึ่งก็นับว่าแพงไม่เบา แสดงว่าบัวบกและผักแว่นซึ่งเป็นวัชพืชที่น่าเบื่อในป่าอาหารของหมอสันต์นี่เป็นของดีมีราคาเหมือนกันแฮะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

19 มีนาคม 2564

Celiac disease พอเป็นโรคหนึ่งแล้ว โรคอื่นๆพากันตามมาเป็นขบวน

เรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 50 ปี อาการป่วยของผมเริ่มเมื่อปี 2562 โดยผมมีอาการเจ็บหน้าอกเวลาออกแรง ได้ไปตรวจสวนหัวใจเมื่อต้นปี 63 พบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบสามเส้น โดยมีโรค myocardial bridging ด้วย หมอได้รักษาโดยการทำบอลลูนไปสองครั้ง หลังจากทำครั้งที่สองยังมีอาการแน่นอยู่ตลอดเวลาไม่หายไปไหนนานหลายวันกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ เมื่อกลับบ้านก็ได้ยามาทาน มี 1.Aspent-m(aspirin)81mg 1x1pc, 2.Nebivolol 5mg 1/2x1pc, 3.Monosorb ( isosorbide mononitrate) 20 mg 1x2ac, 4.Crestor(rosuvastatin)20mg1xhs, 5.Colchicine06mg1x1pc, 6.Etoricoxib90mg1x1pc,7.Meloxicam7.5mg1x1pc, 7.Mydocalm1x2pc, 8.Gabapentin100mg1xhs,9.Clonazepam0.5mg1xhs.10.Avamys (fluticasone furoate)nasal spray suspension.พอกินยารักษาหัวใจได้ไม่กี่วันก็มีอาการไม่สบายท้องไส้ปั่นป่วนและเป็นผื่นลมพิษคัน หมอบอกว่าเป็นเพราะแพ้ยาแอสไพริน แล้วผมรู้สึกว่าตั้งแต่กินยาลดไขมันและลดการกินเนื้อสัตว์มาผมมีอาการผิวหนังแห้ง สงสัยว่าจะขาดไขมัน ต่อมาผมมีอาการปวดข้อนิ้วเท้าเข้ารพ.หมอตรวจกรดยูริกสูง 9.5 และวินิจฉัยว่าเป็นโรคเก้าท์ ได้ให้ยา Allopurinol มากินผมก็แพ้ยานี้อีก แบบผื่นลมพิษคัน จึงต้องเลิกยา Allopurinol ไปแล้วกิน colchicine แทน เรื่องแพ้อะไรง่ายนี้ผมเคยแพ้แป้งขนมปังและซาละเปามาตั้งแต่วันเด็ก แต่หลังจากนั้นอาการก็หายไป พอกินยาโรคหัวใจแล้วไปทดสอบการแพ้หมอบอกว่าผมแพ้แป้งข้าวสาลี จึงอดกินขนมปังทุกชนิด มีบางครั้งอดใจไม่ได้ทดลองกินนิดเดียวก็เป็นเรื่องคือผื่นขึ้น ต่อมาอยู่ๆผมก็เกิดไหล่ติดและมีอาการปวดรอบๆข้อไหล่ซึ่งหมอก็ยังงุนงงว่าผมเป็นโรคข้อไหล่อักเสบจนไหล่ติดได้อย่างไรหมอถามว่าผมไม่เคยใช้ข้อไหล่ข้างนี้เลยหรือผมบอกว่าผมใช้มาตลอดแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันติดแต่อยู่ๆมันก็ติดและปวดไปหมด ต้องรักษาข้อไหล่อักเสบทำกายภาพบำบัดอยู่นาน ร่างกายผมรู้สึกว่ามันไม่สบายเลย ต่อมาผมก็เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนทรงตัวไม่ได้ ไปหาหมอทั้งทางประสาทวิทยาและหูคอจมูกในที่สุดสรุปว่าเป็นนิ่วอยู่ในหู ได้ยากินอาการก็พอดีขึ้นบ้าง แล้วมาวันหนึ่งเพื่อนร่วมแผนกไม่อยู่ผมต้องอยู่โยงเฝ้าออฟฟิศเวลาพักเที่ยงจึงเอาบะหมี่มาม่าที่ห้องท้ายออฟฟิศมาต้มกิน พอกินแล้วเกิดอาการหวิวเป็นลมต้องนอนลงโงหัวไม่ขึ้น จวนเจียนจะหมดลมหายใจจนใจผมคิดถึงพระพุทธชินราชที่ผมเคารพนับถือแล้ว แต่ก็กลั้นใจหยิบโทรศัพท์มือถือพยายามอ่านตัวเลขแม้ตาจะมัวๆริบหรี่แต่ก็โทรเรียกเพื่อนมาช่วยพาไปโรงพยาบาลได้สำเร็จ หมอบอกว่าผมแพ้แป้งสาลีอย่างรุนแรงคือแพ้แบบช็อคซึ่งอาจตายทันทีได้ และได้ให้ผมพกยาฉีดอะดรีนาลินแก้แพ้แบบรุนแรงไว้ประจำตัว

ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เป็นโรคหัวใจมา โรคต่างๆทำไมประดังเข้าหาผมมาจนผมอายเพื่อนที่ต้องไปโรงพยาบาลหาหมอแผนกนั้นแผนกนี้เกือบทุกเดือน ผมรู้สึกว่ามันคงมีอะไรเชื่อมโยงชักนำให้โรคเหล่านี้มาหาผม ผมติดตามอ่านคุณหมอสันต์ตั้งแต่เป็นโรคหัวใจมา มีความรู้สึกว่าคุณหมอสันต์เป็นคนรักษาโรคแบบบูรณาการ จึงอยากขอความช่วยเหลือจากคุณหมอครับ

………………………………………………………………

ตอบครับ

ฟังคำบรรยายฟ้องของโจทก์นานซะจนศาลเกือบหลับคาบัลลังก์แนะ หิ หิ เพราะว่าเรื่องราว “เยอะ” เหลือเกิน

คุณตั้งข้อสังเกตว่าทำไมโรคต่างๆของหมอแต่ละแผนกกันต่างประดังมาหาคุณ มันมีอะไรเชื่อมโยงโรคเหล่านี้เข้าด้วยกันหรือเปล่า ฮี่ ฮี่ นี่เป็นข้อสังเกตที่เข้าท่านะ คือในการวินิจฉัยโรคของแพทย์สาขาต่างๆนั้นหนึ่งสาขาก็ต้องได้หนึ่งโรคอยู่แล้วนี่มันเป็นของตาย แต่มันมีอีกวิธีหนึ่งคือแพทย์จะพยายามเชื่อมโยงโรคของหลายๆสาขาเข้าเป็นโรคเดียวกันให้ได้ก่อนหากทำได้ เพราะคนเราเป็นโรคเดียวแล้วมีอาการห้าหกระบบมันง่ายกว่าการที่คนเราจะดวงซวยเป็นห้าหกโรคพร้อมๆกัน ซึ่งหากจะมองจากมุมของความเชื่อมโยงนี้ คุณมีโอกาสจะเป็นโรคที่วงการแพทย์เรียกว่า celiac disease (sprue) โรคนี้มันตั้งต้นจากร่างกายมีปฏิกริยากับโปรตีนตัวหนึ่งในข้าวสาลีชื่อกลูเต็น คือเจอกลูเต็นเมื่อไหร่ร่างกายจะต่อต้านเกิดการอักเสบขึ้นที่โน่นที่นี่โดยมีศูนย์รวมการต่อต้านอยู่ในลำไส้นั่นเอง (enteropathy) มีอาการได้สองแบบ แบบแรกคืออาการเด่นที่ระบบทางเดินอาหารแบบว่าลำไส้อักเสบดูดซึมอาหารได้ไม่ดีจนขาดวิตามินเกลือแร่ต่างๆกลายเป็นโรคขาดอาหารพุงโร อีกแบบหนึ่งมีอาการเด่นอยู่นอกระบบทางเดินอาหารคือมีการอักเสบไปทั่วแบบคุณงี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดก็ดี โรคเก้าท์ก็ดี โรคเอ็นอักเสบเสื่อมสภาพเร็วผิดสังเกตก็ดี อาการทางระบบประสาทเช่นทรงตัวไม่ได้เวียนหัวบ้านหมุนก็ดี ล้วนมีความสัมพันธ์กับปฏิกริยาการอักเสบจากการที่ร่างกายปฏิเสธกลูเตนนี้ทั้งสิ้น

การจะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคนี้จริงหรือไม่ก็ไม่ยาก ให้คุณไปที่คลินิกโรคทางเดินอาหารของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ไหนสักแห่งแล้วขอตรวจเลือดหาโมเลกุลภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านกลูเต็นชื่อ IgA TTG เพื่อยืนยันการวินิจฉัย Celiac disease ปกติการตรวจชนิดนี้เขาจะให้กินแป้งกลูเต็นก่อนแล้วตรวจ แต่กรณีของคุณนี้หากให้กินแป้งกลูเต็นก่อนคุณอาจจะกลับบ้านเก่าไปเลยก็ได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าให้ตรวจโดยไม่ต้องกินแป้งกลูเต็น หากได้ผลบวกก็จบ แต่หากได้ผลลบก็ค่อยคิดอ่านตรวจโดยกินแป้งกลูเต็นโดยบอกหมอด้วยว่าคุณเคยแพ้แบบช็อกปางตายมาก่อน หมอเขาจะได้เตรียมพร้อม

ส่วนการรักษานั้นให้คุณเดินหน้าไปเลยไม่ต้องรอผลการวินิจฉัยยืนยัน การวินิจฉัยทำเพื่อบันทึกเป็นประวัติสุขภาพของคุณเพื่อประโยชน์ในวันหน้า แต่ข้อมูลทางคลินิกที่มีอยู่ตอนนี้พอที่จะลงมือรักษาไปได้เลย โดย

(1) เลิกกินเลิกยุ่งกับแป้งข้าวสาลี ข้าวไรน์ ข้าวบาร์เลย์ เด็ดขาดตลอดชีพ ถ้าซื้ออาหารสำเร็จรูปกินให้ดูฉลากว่าเป็นอาหาร gluten free diet

(2) กินวิตามินแร่ธาตุเสริมแบบมีอะไรกินเสริมได้กินหมด ถ้าขยันตรวจจะตรวจระดับวิตามินต่างๆก่อนก็ได้ แต่ถ้าขี้เกียจตรวจก็ไม่ต้องตรวจ กินเลยรูดมหาราช ตัวที่ขาดบ่อยคือวิตามินที่ละลายในไขมัน A, D, E, K ปัญหาเอ็นอักเสบเอ็นขาดก่อนวัยอย่างที่คุณเป็นมักเกิดจากการขาดวิตามินซี.

(3) ชโลมน้ำมัน (เช่นน้ำมันมะพร้าว) ให้ทั่วผิวหนังเพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง

(4) เฉพาะกรณีของคุณซึ่งมี myocardial bridging (ไม่เกี่ยวกับโรค celiac disease) ให้เลิกใช้ยาขยายหลอดเลือดและยาอมใต้ลิ้นแก้เจ็บหน้าอกกลุ่ม nitrate เสียเพราะหลักวิชาหัวใจถือว่ายานี้เป็นยาต้องห้ามในโรคนี้ เพราะจะทำให้ผนังหลอดเลือดหัวใจถูกกล้ามเนื้อหัวใจบีบให้ยุบตัวง่ายขึ้นและเกิดหัวใจขาดเลือดง่ายขึ้น ในอดีตยานี้เป็นยาที่ให้อมเพื่อใช้วินิจฉัย คืออมเพื่อให้เจ็บหน้าอก ไม่ใช่อมเพื่อให้หายเจ็บหน้าอก

(5) เนื่องจากคุณแพ้ยา allopurinol ผมแนะนำให้รักษาโรคเก้าท์ด้วยอาหารแบบ DASH diet เพราะงานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบพบว่าอาหารแบบนี้ซึ่งมีพืชผักผลไม้ถั่วนัทมาก ทำให้กรดยูริกลดลง อาการโรคเก้าท์ลดลง เมื่อเทียบกับอาหารปกติ ในกรณีที่การควบคุมด้วยอาหารยังคุมโรคเก้าท์ไม่ได้ ให้คุยกับคุณหมอที่รักษาถึงการใช้ยา probenecid แทนยา allopurinol ยาสองตัวนี้ออกฤทธิ์เหมือนกันคือลดกรดยูริก (uricosurics) ไม่เกี่ยวอะไรและทำคนละหน้าที่กันกับยา colchicine ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยา colchicine นี้ใช้ระงับการอักเสบชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่กินแทน allopurinol ทุกวันตลอดศกอย่างที่คุณกินอยู่เพราะมันแทนกันไม่ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Rubio-Tapia A, Hill ID, Kelly CP, Calderwood AH, Murray JA, American College of Gastroenterology. ACG clinical guidelines: diagnosis and management of celiac disease. Am J Gastroenterol. 2013 May. 108(5):656-76; quiz 677. 
  2. Al-Toma A, Volta U, Auricchio R, et al. European Society for the Study of Coeliac Disease (ESsCD) guideline for coeliac disease and other gluten-related disorders. United European Gastroenterol J. 2019 Jun. 7(5):583-613.
  3. Juraschek, S. P., Gelber, A. C., Choi, H. K., Appel, L. J. and Miller, E. R. Effects of the Dietary Approaches To Stop Hypertension (DASH) Diet and Sodium Intake on Serum Uric Acid. J Arthritis & Rheumatology2016. (Accepted Author Manuscript) doi:10.1002/art.39813
  4. Myocardial bridges in man: clinical correlations and angiographic accentuation with nitroglycerin.Ishimori T, Raizner AE, Chahine RA, Awdeh M, Luchi RJCathet Cardiovasc Diagn. 1977; 3(1):59-65.
[อ่านต่อ...]

17 มีนาคม 2564

แด่ราชินีโจรสลัด ด้วยดวงใจ

วันนี้ขอให้พื้นที่กับคนคนหนึ่งที่ผมรักสักหนึ่งวัน คนเราเนี่ยจะรักใครชอบใครบางครั้งไม่ต้องเห็นหน้ากันเลย บางครั้งความรักเกิดจากการได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นก็รักเขาเสียแล้ว เหมือนที่ผมตกหลุมรักยอดหญิงในดวงใจชาวคาซัคสถานอายุคราวลูกคนนี้ เธอชื่อ เอลบาคยัน (Alexandra A. Elbakyan) รักชอบเธออยู่ข้างเดียวมานานหลายปีแล้ว แต่ที่เขียนถึงวันนี้เพราะมีคนส่งคลิปที่เอลบาคยันพูดอะไรนิดๆหน่อยๆมาให้ดู ปกติเธอจะหลบๆซ่อนๆไม่ให้คนรู้เห็นว่าเธออยู่ที่ไหน ผมขนลุกซู่รีบเปิดดูมือไม้สั่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ ผมรักเธอมากขนาดนั้น

จะไม่ให้รักได้ไงละครับ เพราะถ้าไม่มีเธอผมก็อาจจะไม่มีปัญญาเขียนอะไรให้ท่านอ่านอย่างทุกวันนี้ก็ได้ ว่ากันตามกฎหมายเธอก็เป็นโจร เป็นโจรระดับที่หนังสือพิมพ์ในอเมริกาขนานนามว่าราชินีโจรสลัดของโลกวิทยาศาสตร์ (science pirate queen) แต่ว่าตัวผมเองก็ไม่ใช่คนดิบคนดีอะไรที่ไหน ทำไมจะรักชอบกับโจรไม่ได้ สิ่งที่เอลบาคยันทำคือเธอใช้อัจฉริยภาพทางแฮ้กกิ้งของเธอสร้างเว็บไซท์ซึ่งทำให้ลูกค้าทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ระดับซำเหมาทั่วโลกสามารถเปิดอ่านนิพนธ์ต้นฉบับจากวารสารวิทยาศาสตร์ทุกวารสารทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 64 ล้านเปเปอร์ได้ฟรี ย้ำ ฟรี เธอเล่าว่ามีคนใช้บริการนี้ (น่าจะนับรวมทั้งหมอสันต์ซึ่งเป็นขาประจำด้วยแล้ว) มากกว่าพันล้านครั้ง ทุกวันจะมีคนเข้ามาอ่านเปเปอร์ทางนี้วันละประมาณ 400,000 ครั้ง เว็บไซท์แรกที่เธอตั้งในอเมริกา (https://scihub.org/) ถูกสั่งปิดและศาลสั่งจ่ายค่าเสียหายบักโกรก แต่เธอหนี ขณะเดียวกันก็แอบกระจายฐานข้อมูลไปไว้ในสิบกว่าประเทศทั่วโลก เดี๋ยวเปิดตรงนั้น เดี๋ยวปิดตรงนี้ เดี๋ยวนี้พวกสมุนโจรของเธอมีเยอะและกระจายอยู่ในหลายประเทศจนพวกเศรษฐีเจ้าของสำนักพิมพ์วารสารตามราวีไม่ไหวแล้ว ผมเชียร์และเข้าข้างเธอโดยคิดแบบเอาสีข้างเข้าถูว่าประชาชนทั่วโลกเสียภาษีให้รัฐบาล รัฐบาลเอาเงินภาษีไปจ้างทำวิจัย แต่พอผลวิจัยออกมาแล้ว ผู้ตีพิมพ์ผลวิจัยเหล่านั้นคือวารสารการแพทย์ขององค์กรเอกชนกลับเอามาตั้งขาย หากประชาชนจะอ่านก็ต้องเสียเงินให้ผู้ตีพิมพ์อีกหนในราคาเลือดซิบๆ ทั้งๆที่ประชาชนเสียเงินจ้างทำวิจัยไปแล้วแท้ๆ มันไม่ยุติธรรม คนที่ถีบความอยุติธรรมแบบนี้ทิ้งได้อย่างเธอจึงสะใจผมซะ หิ..หิ

ถ้าคุณอยากจะลองใช้บริการฟรีของเธอ หรือเมื่อใดที่จำเป็นต้องอ่านเปเปอร์ที่เจ้าของเขาหวงหรืองกเงินจะเรียกเอาค่าอ่านแพงๆ ให้คุณลองกูเกิ้ลหาคำว่า sci-hub จะมีเว็บใหม่ที่เปิดแทนเว็บเก่าในประเทศต่างๆโผล่ขึ้นมาเพียบ แต่ถ้าเว็บเหล่านั้นไม่เวอร์ค ให้คุณเข้าไปที่ google แล้วพิมพ์คำว่า sci-hub not working 2021 แล้วเอนเทอร์ คราวนี้มันจะมียูทูปแนะนำให้คุณว่ามีเว็บ proxy ที่จะพาไปหาเว็บ sci-hub ที่ยังเปิดอ่านเปเปอร์ได้ฟรีซึ่งยังไม่ถูกตำรวจจับ ณ เวลานั้นอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งเว็บจะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนประเทศไปเรื่อยเพื่อหลบหนี แต่ถ้าตั้งใจตามไปที่วิดิโอยูทูปนี้ชี้ช่องให้ก็จะเข้าไปอ่านเปเปอร์ฟรีได้ทุกที 

ในคลิปที่มีคนส่งมาให้ผมวันนี้ เอลบาคยันให้สัมภาษณ์ที่รัสเซีย แม้ว่าตอนนี้เธอจะเริ่มอ้วนตุ๊ต๊ะไม่ค่อยสวยแล้วแต่ก็ยังยิ้มง่าย ข้อสำคัญคือผมก็ยังรักเธออยู่ไม่คลาย เธอเล่าความหลังว่าทำไมเธอจึงกลายมาเป็นนางโจรสลัด เธอเล่าว่า

“..เรื่องมีอยู่ว่าสมัยเรียนป.ตรี ฉันเห็นโทรศัพท์มือถือสมัยนั้นใช้ลายนิ้วมือในการบอกตัวตนของผู้ใช้ว่าเป็นใคร บ้างก็ผลิดซอฟท์แวร์ที่ใช้ภาพถ่ายบอกตัวตนของคน ฉันจึงมีความคิดว่าหากผลิตซอฟท์แวร์ที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากสมองของแต่ละคนเป็นสิ่งบอกตัวตนของคนได้ เหมือนกับว่าเราตรวจเอาจากความคิดของคนก็ได้ว่าใครเป็นใคร มันน่าสนใจนะ ฉันจึงเริ่มการวิจัยด้วยการศึกษาสิ่งที่คนอื่นทำไว้ก่อน และได้ทราบว่ามีผู้ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องนี้ไว้ แล้วราว 70 ราย แต่ว่างานวิจัยเหล่านั้นฉันหาอ่านไม่ได้เลยเพราะมันถูกล็อคไว้ด้วยไฟร์วอลล์หมด ฉันพยายามหาวิธีแกะอยู่หลายปี จนมาพบว่าในหมู่พวกนักชีวโมเลกุลกลุ่มหนึ่งเขาจะมีวิธีแอบส่งแอบแชร์เปเปอร์ผลวิจัยที่ถูกล็อคไว้ให้กันและกันผ่านเว็บไซท์กลางหรือ proxy ของพวกเขา ฉันแอบเข้าไปแจมด้วยทำให้ได้เรียนรู้ว่าเว็บกลางนี้มันทำงานอย่างไร ประกอบกับก่อนหน้านั้นสมัยเรียนอยู่ที่คาซัคสถานครั้งหนึ่งฉันอยากเข้าอ่านเปเปอร์หนึ่งที่ถูกปิดตายไว้ แต่มีคนเปิดเว็บ “นายนิรนาม” รับจ้างเอาเปเปอร์นั้นมาวางไว้ให้บนเว็บกลางซึ่งทำหน้าที่เป็น proxy ฉันจึงเกิดความคิดที่จะทำเว็บแบบนั้นขึ้นมาให้คนทั้งโลกเข้าถึงผลวิจัยวิทยาศาสตร์และการแพทย์ได้ฟรีบ้าง คิดได้อย่างนี้แล้วใจมันก็มีแต่ความระริกระรี้ที่จะต้องทำให้มันเป็นจริงให้ได้..”

“..พอฉันลงมือทำ ก็มีคนชอบใจเห็นดีเห็นงามด้วยและช่วยฉันมากมายโดยเกือบทั้งหมดฉันไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าคนเหล่านั้น พอเว็บของฉันเริ่มเปิด มีคนบริจาคเงินเข้าเว็บมากมายซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใครบ้าง ผู้คนต่างเขียนมาขอบคุณที่ทำให้เขาเข้าถึงความรู้วิทยาศาสตร์ลึกๆโดยไม่เสียเงิน ฉันก็รู้สึกดี พูดง่ายๆว่าที่ฉันทำอยู่ทุกวันนี้เพราะรู้สึกดีที่ได้ช่วยคน ไม่ได้ทำเพราะโกรธแค้นที่ตัวเองเข้าไปอ่านเปเปอร์ไม่ได้หรอกนะ..”

วารสาร Nature นับเอลบาคยันว่าเป็นหนึ่งในสิบของผู้ที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ของโลกมากที่สุด ผมเห็นด้วยพันเปอร์เซ็นต์ และบทความของผมวันนี้ก็เพื่อจะเปิดเผยความในใจว่า

“I love you, Alexandra”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

16 มีนาคม 2564

หมอสันต์แนะนำคนติดเนื้อสัตว์วิธีหัดกินพืชให้มากขึ้น

คุณหมอสันต์คะ

ได้พยายามเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตตามคุณหมอ ออกกำลังกายได้ แต่ติดที่ลดกินเนื้อสัตว์เพิ่มกินพืชยังไม่ได้ พอลองก็มีอาการแน่นท้อง ท้องอืด และมีอาการโหวงเหวง ขอทราบวิธีเพิ่มสัดส่วนพืชลดเนื้อสัตว์ให้สำเร็จด้วยค่ะ

…………………………………………………………………………

ตอบครับ

มีแฟนบล็อกนี้หลายคนมากที่เขียนมาบ่นว่าอยากจะกินพืชแต่ไม่สำเร็จเพราะติดเนื้อสัตว์ ผมรวบตอบเสียคราวเดียวตรงนี้เลย ก่อนอื่นการจะเปลี่ยนไม่ต้องไปตั้งธงสุดโต่งว่าจะเป็นวีแกนหรือไม่แตะเนื้อสัตว์เลย เอาแค่เพิ่มพึชให้มากขึ้นก่อนก็พอ ซึ่งผมแนะนำกลเม็ดในการเปลี่ยนแปลงดังนี้

1.. ก่อนกินก้มลงมองจานอาหารที่จะกินก่อน ถ้ากินอาหารจานเดียวสูตรนี้ใช้ได้เลย ถ้ากินข้าวและกับให้ใช้วิธีตักกับทั้งหมดลงมาใส่ในจานที่ตัวเองจะกินก่อน แล้วก้มลงมอง จะต้องมองเห็นพืชผักผลไม้ถั่วนัทรวมกันแล้วได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจาน (ไม่นับข้าวนะ) ถ้ายังไม่ได้ครึ่งอย่าเพิ่งกินไปหามาเพิ่มให้ถึงครึ่งจานก่อน

2.. หาพืชที่หลากหลายด้วยสีสัน รสชาติ และฤดูกาล มากิน

3.. เอาพืชมาเป็นอาหารว่าง เช่นต้มก้านผักนั่งกัดกินเวลาเหงาปาก

4.. ให้เนื้อสัตว์เป็นแค่เครื่องเคียง ไม่ใช่อาหารหลักของจาน

5.. ถ้าชอบกินของมัน ก็เปลี่ยนมากินไขมันที่ดีๆหน่อยแทนไขมันจากเนื้อสัตว์ เช่นน้ำมันมะกอก เนยถั่ว หรือกินพืชที่น้ำมันมากเช่นนัท ถั่ว อะโวกาโด

6.. ทำอาหารมังสวิรัติกินเองอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งมื้อ

7.. ถ้ามื้อเช้าเป็นอาหารด่วนแบบฝรั่งอยู่แล้วก็ให้เปลี่ยนของที่เคยกินเป็นโฮลเกรน โอ๊ตมีล ขนมปังโฮลวีต เอาที่ใส่ถั่ว นัท ผลไม้เข้าไปในตัวขนมปังด้วยยิ่งดี แม้แต่เนยที่เคยใช้ปาดขนมปังก็ควรเปลี่ยนเป็นเนยถั่วหรือแยมผลไม้ที่ทำเองโดยไม่ต้องใส่น้ำตาลแทน ตบท้ายด้วยผลไม้สด

8.. ถ้าติดนิสัยกินเนื้อย่างหมูย่างก็เอาพืชต่างๆเช่น เห็ด มันเทศ มะเขือเทศ สัปประรด เต้าหู มาย่างกินแทน

9.. สร้างอาหารสมบูรณแบบหนึ่งมือขึ้นมาจากสลัด อะไรดีก็ใส่เข้าไปในสลัด รวมทั้งสมุนไพร เครื่องเทศ ถั่ว นัท อะโวกาโด เป็นต้น

10.. ถ้าติดว่าต้องตบท้ายด้วยขนมหวานก็ให้ตบท้ายด้วยผลไม้สด หรือน้ำผลไม้ปั่นไม่ทิ้งกาก หรือไอซ์ฟรุต(ผลไม้ปั่นที่เอาไปทำให้เย็นจนแข็งแบบไอศครีม) แทน หรือหากติดขนมหวานจริงๆก็ให้ทำขนมหวานจากผลไม้ ถั่ว นัท โดยให้มีเนื้อผลไม้มาก มีน้ำตาลน้อย

11.. ถ้าลงแดงทนโหยเนื้อสัตว์ไม่ไหวจริงๆ ก็ลองเมนูเนื้อปลอมที่เขากำลังฮิตกันกลาดเกลื่อนตอนนี้แทนเนื้อจริงก่อนก็ได้ รสชาติมันไม่ต่างกันเลยนะ คือยอมให้ใจได้สิ่งที่มันอยากได้ก่อน แต่ร่างกายจะมีโอกาสได้ค่อยๆปรับตัวกับอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์และสุขภาพก็ดีขึ้น

12.. อาการท้องอืดและมีลมมากเมื่อเริ่มเปลี่ยนอาหาร เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ที่จะต้องช่วยย่อยกากยังไม่มากพอ ให้แก้ไขโดย

(1) เริ่มจากน้อยไปหามาก ค่อยๆเพิ่มอาหารพืชขึ้นวันละนิดๆ ใช้เวลาฝึกท้องให้เคยชินนานประมาณ 3-6 เดือน

(2) ทุกวันต้องมีอาหารจำพวกถั่วและนัทด้วยเสมอ ถั่วอะไรก็ได้ เพราะถั่วมีโอลิโกแซคคาไรด์ซึ่งร่างกายคนไม่ใช้แต่แบคทีเรียใช้เป็นอาหารของเขา การกินถั่วเป็นประจำจะช่วยสร้างดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์มีจำนวนมากขึ้น

(3) กินอาหารที่มีแบคทีเรียที่มีประโยชน์อยู่แล้ว (probiotic) ด้วยอย่างสม่ำเสมอ เช่น ถั่วเทมเป้ อาหารหมัก โยเกิร์ต เป็นต้น

(4) ต้องออกกำลังกายและขยันเคลื่อนไหวร่างกายด้วยทุกวัน เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหวดีขึ้น ทำให้ลมในท้องลงไปข้างล่างแทนที่จะออกันอยู่ที่ข้างบน

(5) ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และอาหารไขมันลง เพราะงานวิจัยพบว่ากลุ่มอาหารที่ทำให้ท้องอืดมากที่สุดคืออาหารไขมันและอาหารเนื้อสัตว์

13. อาการโหวงเหวงเกิดขึ้นจากสองอย่างคือ

(1) เกิดจากความหิวซึ่งมาเร็วกว่าปกติจากระดับน้ำตาลในเลือดลดลง (hypoglycemia) เพราะอาหารพืชมักมีแคลอรีต่ำแต่มีปริมาณมากทำให้อิ่มเร็วเพราะอาหารเต็มกระเพาะแต่น้ำตาลในเลือดจะสูงอยู่ได้ไม่นาน ให้แก้โดยช่วงแรกให้ใช้อาหารว่างที่เป็นพืชในรูปแบบของกินเล่นเช่นถั่วหรือนัทอบหรือผลไม้เตรียมไว้แก้หิวด้วย

(2) อาการจากอาหารเคลื่อนไหวลงไปในลำไส้เร็ว เพราะงานวิจัยความเร็วของการเคลื่อนไหวอาหารพืชเปรียบเทียบกับอาหารเนื้อสัตว์ด้วยการคลุกอาหารกับเม็ดลูกปัดอาบรังสีพบว่าอาหารพืชจะเคลื่อนที่ลงไปจากกระเพาะถึงทวารหนักได้ในเวลาเร็วมาก คือ 12 ชั่วโมงก็ไปถึงทวารหนักแล้ว ขณะที่อาหารเนื้อสัตว์ใช้เวลานานกว่ามาก โดยอาหารเนื้อสัตว์ส่วนที่ลงไปช้าจะใช้เวลาเดินทางจากกระเพาะอาหารถึงทรวรหนักนานได้ถึง 7 วัน ขณะที่ร่างกายยังไม่คุ้นเคยกับการที่อาหารเคลื่อนผ่านลงไปลำไส้เร็ว จะทำให้น้ำจำนวนหนึ่งถูกดูดเข้าสู่ลำไส้เพื่อช่วยย่อยอย่างรวดเร็วจนปริมาณน้ำไหลเวียนในร่างกายลดลงชั่วคราวจึงเกิดอาการโหวงเหวง (dumpling syndrome) ขึ้น อาการเช่นนี้จะหายไปในเวลาไม่กี่วันเมื่อร่างกายคุ้นเคยกับอาหารพืชแล้ว และอาการจะน้อยลงหากหมั่นดื่มน้ำและระวังไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

15 มีนาคม 2564

แค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง (GHBY-63)

วันเปิดแค้มป์ (รุ่นที่ 63) วันที่ 3 -4 เมย. 64

ความเป็นมาของ GHBY 

คอร์สหรือแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว จากการที่ตัวผมเองป่วยแล้วหันมาดูแลตัวเองในเรื่องการกิน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด จนแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ เลิกกินยาความดัน ยาไขมัน ยาหัวใจได้ ผมจึงได้ตัดสินใจเลิกอาชีพหมอผ่าตัดหัวใจ เปลี่ยนมาทำอาชีพหมอส่งเสริมสุขภาพ สอนผู้ป่วยให้รู้วิธีดูแลสุขภาพของตัวเองได้ด้วยตัวเอง ทำสถานที่ เปิดแค้มป์สุขภาพสอนคนที่ยังไม่ป่วยให้ดูแลตัวเองเป็นว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ป่วย ตั้งชื่อแค้มป์ว่า GHBY (Good Health By Yourself) แปลว่า “แค้มป์สุขภาพดีด้วยตัวเอง” ซึ่งทำไปแล้ว 62 รุ่น โดยจับประเด็นความรู้ที่สำคัญออกมาคลี่ให้เห็นโดยใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์ประกอบ และแก้ไขปัญหาการขาดทักษะ (skill) ที่จะลงมือปฏิบัติ เช่นจะเปลี่ยนอาหารไปเป็นอาหารแบบกินพืชเป็นหลัก (PBN) แต่ก็ยังทำไม่เป็น จะออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่ก็ไม่รู้วิธี ในแง่ของการจัดการความเครียด ผมก็จับเอาผลวิจัยว่าอะไรลดความเครียดได้เอามาฝึกมาสอนหมด ไม่ว่าจะเป็นโยคะ สมาธิ ไทชิ เป็นต้น ในรูปของการให้ฝึกลงมือทำ ในระยะหลัง ทั้งหมดนี้ผู้เข้าแค้มป์เก็ทดีมาก ครั้งหลังๆผมได้เพิ่ิมเติมวิธีสร้างความบันดาลใจ (Motivation) เข้าไปด้วยโดยเอาแง่มุมเชิงจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งสกัดมาจากประสบการณ์ของตัวผมเองมาสอนด้วย และได้เริ่มวางพื้นฐานให้สามารถดูแลตัวเองได้ต่อเนื่องโดยใช้ตัวชี้วัดเจ็ดตัวบนแอ็พมือถือ

มาถึงวันนี้ผมเห็นว่าบางประเด็นสำคัญในเนื้อหาสาระของ GHBY ได้เปลี่ยนไปตามสมัย อย่างน้อยในสามประเด็นใหญ่ๆคือ

(1) ความจำเป็นที่คนทั่วไปจะต้องดูแลระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองให้ดีและพาตัวเองให้พ้นจากการตกเป็นกลุ่มเสี่ยงตายจากโควิด19 ให้ได้ แม้ว่าในวันนี้เมืองไทยจะทำได้ดีเพียงใดแต่ข้อมูลบ่งชี้ว่าการระบาดของโควิด19 ในระดับโลกนั้นจะยังคงถูกลากยาวไปอีกไม่น้อยกว่า 3-5 ปี และวัคซีนก็ยังจะใช้เวลาไม่น้อยกว่าอีก 1-2 ปี

(2) ตัวผมเองมีประสบการณ์ตรงทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้นกว่าเดิม และมองเห็นโอกาสที่จะนำมันมาใช้สร้างความบันดาลใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดีขึ้น

(3) แอ็พ Health Dashboard ที่กำลังพัฒนาบนมือถือได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เมื่อได้ขาใหญ่อย่างสวทช. มาเป็นผู้ช่วยหลักเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา จนถึงจุดที่นำลงใช้งานจริงได้ดีเกินคาดหมาย

ผมจึงเห็นว่านี่น่าจะเป็นเวลาเหมาะที่จะปรับหลักสูตร GHBY เสียใหม่หลังการเปิดคลายล็อคดาวน์ครั้งนี้

……………………………………………………….

หลักสูตรคอร์สสุขภาพดีด้วยตัวเอง Good Health By Yourself (GHBY) Camp Syllabus

(เริ่มใช้ตั้งแต่หลังยุคโควิด19)
Motto
“เรียน” สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ (knowledge)
“ทำ” สิ่งที่ยังไม่เคยทำ (skill)
“ชอบ” สิ่งที่ไม่เคยชอบ (attitude)

คอนเซ็พท์ของแค้มป์ (Conceptual Design)

ให้คนกลุ่มเล็กๆประมาณไม่เกิน 30 คน ได้มาพักผ่อนปลายสัปดาห์ (2 วัน 1 คืน) ร่วมกับ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ ที่มวกเหล็ก ซึ่งสงบเงียบและไม่มีบุคคลภายนอกมารบกวนยุ่งเกี่ยว แล้วเรียนรู้สาระสำคัญเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเอง และฝึกทักษะต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการดูแลสุขภาพตนเองไปด้วยกัน รวมทั้งจัดตั้งกันเป็นกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และช่วยเหลือกันและกันในอนาคต ในบรรยากาศการพูดคุยและฝึกทำอะไรไปด้วยกันแบบกันเองและไม่เป็นทางการ

วัตถุประสงค์  (Objectives)

1. วัตถุประสงค์ด้านความรู้ (knowledge)

มุ่งให้ผู้เข้าคอร์สมีความรู้ในเรื่องต่อไปนี้

1.1 งานวิจัยใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับภาพรวมของการมีสุขภาพดี
1.2 โภชนาการในแนวกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้ธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันปรุง (low fat, plant based, whole food)
1.3 หลักโภชนาการที่ดี (ประเด็นรูปแบบการกิน ประเด็นความหลากหลาย ประเด็นคุณค่าต่อหน่วยพลังงาน)
1.4 คำแนะนำทางโภชนาการขององค์กรและรัฐบาลประเทศต่างๆที่นำมาใช้ประโยชน์ได้
1.5 คำแปลและความหมายบนฉลากอาหาร
1.6 อาหารพืชที่มีคุณสมบัติพิเศษในการลดความดันเลือด และต่อต้านมะเร็ง
1.7 คุณค่าและวิธีทำต้นอ่อนเมล็ดงอกชนิดต่างๆ
1.8 ผลของการปรุงอาหารแบบต่างๆต่อการทำลายคุณค่าของอาหาร
1.9 การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (aerobic exercise) สามประเด็น (1) หนักพอควร คือหอบเหนื่อยร้องเพลงไม่ได้ (2) ต่อเนื่อง คือ 30 นาทีขึ้นไป (3) สม่ำเสมอ คือ สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 5 วัน
1.10 การออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (strength training) ในประเด็น (1) กลุ่มกล้ามเนื้อหลัก (2) การยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (3) ท่าร่าง (4) การหายใจ (5) การเคลื่อนไหวช้าๆ (6) การทำเพิ่ม (overload) ทีละนิด (7) หลักพักและฟื้น
1.11 การออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise) รวมถึง 5 องค์ประกอบของการทรงตัว (สติ สายตา หูชั้นใน กล้ามเนื้อ ข้อ)
1.12 สมรรถนะของร่างกาย
1.13 ความเครียด กลไกการเกิด ผลต่อร่างกาย
1.14 วิธีจัดการความเครียดด้วยการใช้เครื่องมือวางความคิด 7 ชนิด (1) การดึงความสนใจ (2) ลมหายใจ (3) การคลายกล้ามเนื้อ (4) การรับรู้ร่างกาย (5) การขยันปลุกตัวเองให้ตื่น (6) การสังเกตความคิด (7) การจดจ่อสมาธิ
1.15  สุขศาสตร์ของการนอนหลับ (Sleep hygiene)
1.16 ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพอย่างง่าย 7 ตัวของ AHA (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) น้ำตาล (4) ไขมัน (5) ปริมาณผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) เวลาที่ใช้ออกการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ (7) บุหรี่
1.17 การดูแลระบบภูมิคุ้มกันโรคด้วยตัวเอง
1.18 ประโยชน์และวิธีใช้แอ็พ Health Dashboard บนมือถือเพื่อติดตามบริหารจัดการสุขภาพตนเอง

2 วัตถุประสงค์ด้านทักษะ

มุ่งให้ผู้เข้าแค้มป์ มีทักษะ สามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้ด้วยตนเอง
2.1 จัดหาและเลือกอาหารแนว plant based, whole food nutrition (PBN) มาเพื่อการบริโภคของตัวเองและครอบครัวได้
2.2 อ่านฉลากอาหาร แปลความหมาย และใช้ประโยชน์จากฉลากอาหารได้
2.3 ลงมือทำอาหารแนว PBN ได้ด้วยตนเอง
2.4 ออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (aerobic exercise) ได้ด้วยตนเอง
2.5 ประเมินและติดตามดูร่างกายตัวเองด้วยหลักการประเมิน 8 ประเด็นได้
2.6 ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training) ได้ด้วยตนเอง ทั้งแบบมือเปล่า ใช้ดัมเบล ใช้สายยืด และใช้กระบอง
2.7 ออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise) ได้ด้วยตนเอง
2.8 ใช้เครื่องมือ 7 อย่างวางความคิดด้วยตัวเองผ่านกิจกรรม ทำสมาธิ ไทชิ โยคะ ได้
2.9 ปฏิบัติสุขศาสตร์ของการนอนหลับได้ด้วยตนเอง
2.10 ใช้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพอย่างง่าย 7 ตัวของ AHA ติดตามดูแลสุขภาพของตนเองได้
2.11 ฟูมฟักพลังงานในตัวเองและนำพลังงานในตัวมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้ต่อเนื่อง

3 วัตถุประสงค์ด้านเจตคติ

มีเป้าหมายให้ผู้เข้าแค้มป์มีเจตคติที่
3.1 รักการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (health promotion attitude)
3.2 ชอบการใช้ชีวิตแบบกระตือรือล้นและเคลื่อนไหวมาก (active lifestyle attitude)
3.2 ชอบดูแลตัวเองและทำอะไรด้วยตนเอง (do it yourself attitude)

แผนกิจกรรม

สถานที่: เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ (Wellness We care Center) มวกเหล็ก-เขาใหญ่

วันเปิดแค้มป์ (รุ่นที่ 63)

3 -4 เมย. 64

วันแรก

8.30 -9.30 น.  เดินทางถึงเวลเนสวีแคร์ (มวกเหล็ก-เขาใหญ่) เช็คอินที่บ้าน Grove House เข้าห้องพัก ทำกิจธุระส่วนตัว
9.30-10.00    ทำความรู้จักกัน Getting to know each other
10.00 – 10.30 น.  Briefing1: Plant-based nutrition & Nutrition guidelines
โภชนาการแบบพืชเป็นหลัก และคำแนะนำโภชนาการมาตรฐานทั่วโลก
10.30 – 10.45   Coffee/Tea break พักดื่มน้ำชา/อาหารว่าง
10.45 – 12.00 น.  Workshop: Food shopping contest
กิจกรรมแบ่งกลุ่มแข่งขันจ่ายตลาดฉลาดซื้อ
12.00 – 13.30 น.  Workshop: Plant-based nutrition skill and lunch
ชั้นเรียนชมการสาธิตสอนแสดงวิธีทำอาหารด้วยตนเองในแนวกินพืชเป็นหลัก แล้วรับ                              ประทานอาหาร
13.30 – 14.30 Workshop: Pre exercise evaluation
เรียนรู้วิธีประเมินตนเองก่อนออกกำลังกาย
14.30 – 15.30 Workshop: Muscle strength training
ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
15.30 – 16.30 Workshop: Balance and flexibility exercise
ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว
16.30 – 16.45 Coffee break
พักดื่มกาแฟ
16.45-17.45   Workshop: Line dance
ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายด้วยวิธีไลน์ด้านซ์
17.45 – 18.15 Workshop: Herbs Spices and Sprout
ทัวร์สวนครัวผักพื้นบ้านและพืชเครื่องเทศ หรือทำกิจกรรมปลูกผักและเพาะเมล็ดงอกเพื่อเป็นอาหาร
18.15 – 18.45 พักผ่อนตามอัธยาศัย อาบน้ำ
18.45 – 20.30 Dinner: อาหารเย็น

วันที่สอง

6.30 – 7.00 Workshop: Six minute walk test
ฝึกประเมินสมรรถนะร่างกายตนเองด้วยวิธีเดินหกนาที
7.00 – 8.00  Workshop: Meditation and Tai Chi
ฝึกปฏิบัตินั่งสมาธิและเคลื่อนไหวอย่างมีสติ ด้วยวิธี Tai Chi
08.00– 9.30  Breakfast
อาบน้ำ รับประทานอาหารเช้า
9.30 – 10.30 Spiritual part of stress management
การใช้เครื่องมือ 7 อย่างในการวางความคิดและจัดการความเครียด
10.30 – 10.45 Coffee break
10.45 – 11.15 Motivation and Total lifestyle modification
การสร้างพลังเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง
11.15 – 12.00  Workshop: AHA’s Seven simple health index
ภาคปฏิบัติการประเมินปัจจัยเสี่ยงสุขภาพส่วนบุคคล
12.00 – 13.00 พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00-14.00  Workshop: Health Dashboard on mobile phone
ฝึกปฏิบัติการใช้แอ็พติดตามสุขภาพตนเองบนโทรศัพท์มือถือ
14.00 – 16.00  Questions and Answers
ตอบคำถามและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพส่วนตัวเป็นรายคน รวมทั้งปรึกษาผลแล็บ เอกซเรย์และผลการตรวจพิเศษต่างๆ โดยผู้ร่วมแค้มป์ท่านอื่นสามารถนั่งฟังและร่วมแชร์ความรู้และประสบการณ์กันในห้องได้
16,00             ปิดแค้มป์

ค่าลงทะเบียน

ราคาปกติของคอร์ส GHBY คือท่านละ 9,000 บาท รวมอาหารทุกมื้อ ที่พัก อุปกรณ์การเรียน แต่ไม่รวมค่าเดินทางยังเวลเนสวีแคร์ (ผู้เรียนต้องเดินทางไปเอง)

การเข้าพักก่อนกำหนดเปิดแค้มป์ (ล่วงหน้าไม่เกิน 1 วัน) ต้องชำระค่าห้องเองสำหรับวันที่พักล่วงหน้าในราคาคนละ 1,000 บาท)

วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

1. โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ที่หมายเลขคุณวิไลพร (เฟิร์น) 0636394003 หรือไลน์ @wellnesswecare หรืออีเมล host@wellnesswecare.com หรือ
2. ลงทะเบียนผ่านเว็บไซท์และจ่ายเงินทางออนไลน์ได้ที่ https://www.wellnesswecare.com/th/program/good-health-by-yourself-th/13

การเตรียมตัวไปเข้าคอร์ส

แนะนำให้เตรียมเครื่องแต่งกายที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมและออกกำลังกายสะดวก ควรมีรองเท้าผ้าใบที่เดินบนพื้นหินขรุขระได้ และควรมีหมวกกันแดด และครีมกันแดด

การเดินทางไปเข้าคอร์ส

เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์ เลขที่ 204/39 ม.5 ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือขึ้นรถตู้กทม.-มวกเหล็ก หรือรถไฟ (ลงสถานีมวกเหล็ก) ในกรณีเดินทางด้วยรถตู้หรือรถไฟ ต้องหารถรับจ้างจากตลาดมวกเหล็กเข้ามาส่ง ค่ารถมอเตอร์ไซค์ส่งจากตลาดราว 120-150 บาท เวลเนสวีแคร์ซึ่งตั้งอยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์อยู่ห่างจากตลาดมวกเหล็กราว 4 กม. อาจให้รถตู้จากกทม.แวะเข้ามาส่งก็ได้โดยต้องเพิ่มเงินให้เ้ขาประมาณ 150 บาท

กรณีเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ให้ใช้ Google Map โดยพิมพ์คำว่า Wellness We Care Center

…………………………………………………….

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 มีนาคม 2564

กลไกการเกิดปัญญาญาณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นผู้วิเศษ

คุณหมอสันต์ครับ

การจะเกิดปัญญาญาณต้องฝึกสมาธิเข้าถึงฌาณก่อนใช่หรือไม่ครับ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

คำถามของคุณหากจะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่คุณก็จะไม่ได้ประโยชน์มากนัก ผมจะอธิบายกลไกการเกิดปัญญาญาณดีกว่านะ จะได้เป็นการแก้ความเข้าใจผิดของแฟนบล็อกจำนวนหนึ่งที่คิดว่าปัญญาญาณเป็นเรื่องคุณสมบัติวิเศษ เป็นเรื่องของผู้วิเศษ ซึ่งเป็นความเข้าใจหรือความเชื่อที่เหลวไหลทั้งเพ

สิ่งที่ปรากฎต่อเราที่เดี๋ยวนี้ซึ่งปกติเราจะรับรู้ได้ทีละหรือทีละทางเลือกนั้นอย่างนั้น ความจริงแล้วมันปรากฎอยู่พร้อมกันทีเดียวทีละเป็นร้อยเป็นพันอย่าง มีทางให้เลือกเป็นร้อยเป็นพัน แต่เรารับรู้ไม่ได้ เปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ซึ่งมีสีขาว เราก็นึกว่ามันมีสีเดียวเพราะตาเรารับรู้ได้สีเดียว แต่พอเอาแก้วปริซึมมาคั่นเราจึงรู้ว่ามันมีถึงเจ็ดสี

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่าเราเปิดวิทยุฟังเพลงอยู่ทาง FM107 ได้ยินเพลงป๊อบเพลินๆอยู่ แต่ในขณะเดียวกันนั้นยังมีสถานีวิทยุอีกเป็นร้อยเป็นพันสถานีกำลังออกอากาศพร้อมกันสาระพัดเรื่อง บ้างเล่าข่าว บ้างอธิบายวิธีทำเกษตร บ้างขายยาสมุนไพร เราไม่รู้เลยว่าเพราะเราได้ยินแต่เพลงของ FM107 เพราะวิทยุของเราจูนได้คลื่นเดียว ส่วนคลื่นอื่นนั้นมันถูกบังไว้ไม่ให้เรารู้ไม่ให้เราเห็น แต่มันก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้นเหมือนกันแหละ

แล้วอะไรละที่มาบังให้เราเห็นแค่อย่างเดียวหรือชิ้นเดียวขณะที่เดี๋ยวนี้มีของปรากฎอยู่เป็นร้อยเป็นพันทำไมเราไม่เห็น อะไรมาบังอยู่ ตอบว่ากรอบของความคิดของเราเองนั่นแหละ ที่บังไม่ให้เราเห็นส่วนที่เราไม่เห็น เพราะเราจะเห็นเฉพาะที่ความคิดหรือความเชื่อของเราเปิดให้เราเห็นเท่านั้น

ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ ว่าความคิดเป็นกรอบบังไม่ให้เราเห็นสิ่งที่มีอยู่ที่นั่นได้อย่างไร สมัยผมเป็นหมอหนุ่มๆ ครูของผมซึ่งเป็นหมอในวัยใกล้เกษียณแล้วท่านหนึ่งเล่าว่าสมัยท่านเป็นเด็กอายุ 8 ขวบ เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเข้ายึดครองไทย และทหารญี่ปุ่นบุกเข้าไปในบ้านของท่านเพราะคุณพ่อของท่านเป็นแม่ทัพของฝ่ายไทยอยู่ตอนนั้น เข้าไปแล้วก็เอาปืนจ่อหัวท่านซึ่งเป็นเด็กอยู่เพื่อบีบบังคับให้คุณแม่ของท่านบอกความลับที่พวกมันต้องการ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ท่านเห็นไส้ความเลวของคนญี่ปุ่น พอผมจะไปทำงานเมืองนอก ท่านก็สอนผมว่าอย่าไปคบกับหมอญี่ปุ่น มันชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ซึ่งผมก็รับฟังและจดจำคำสอนของท่านไว้เป็นอย่างดี

เมื่อผมไปทำงานเมืองนอกจริง ตอนนั้นลูกชายอายุราวหนึ่งขวบ กำลังชอบเล่นของเล่น ผมไปทำงานเมืองนอกแม้จะถอนเงินจนเกือบเกลี้ยงธนาคารคือจำได้ว่าเหลือติดบัญชีอยู่ 5,000 บาท แต่เงินที่ติดตัวไปก็ต้องประหยัด เพราะกว่าเงินเดือนๆแรกจะออกก็มีเรื่องต้องกินต้องใช้ ไปดูของเล่นแบบที่ลูกชอบซึ่งมีเสียงติ๊งๆต๊องๆมีการเคลื่อนไหว เห็นราคาแล้วจะเป็นลม ชั้นที่ราคาถูกที่สุดไม่มีเสียงไม่เคลื่อนไหวก็ยังชิ้นหนึ่ง 20 เหรียญซึ่งผมไม่มีปัญญาซื้อหาดอก เผอิญวันหนึ่งหมอญี่ปุ่นที่ทำงานด้วยกันมาเยี่ยมพร้อมกับเมียของเขา เขากำลังจะกลับไปญี่ปุ่น ขณะที่ผมกำลังเข้ามารับตำแหน่งแทนเขา เราทำงานเหลื่อมกันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน เมียเขาเอาของเล่นเก่าของลูกชายเขาชื่อโตชิมาให้ลูกชายผมเล่น ซึ่งลูกชายผมชอบมากและเล่นมันราวกับได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ได้รู้จักและทำงานด้วยกันหนึ่งเดือน มีความชอบพอกัน ครอบครัวของเราทั้งสองเป็นเพื่อนกันต่อมาอีกหลายสิบปี ทำให้ผมได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนญี่ปุ่นซึ่งครูผมไม่เห็น เพราะครูมองคนญี่ปุ่นผ่านกรอบความคิดของท่านซึ่งบังเอาส่วนหนึ่งไว้ เปิดให้เห็นแต่ส่วนที่ความคิดอยากจะเห็น นี่เป็นตัวอย่างว่าความคิดบังความจริงไว้บางส่วนทำให้เราเห็นไม่หมดได้อย่างไร ส่วนที่ถูกความคิดบังไว้นั่นแหละ หากมันถูกเปิดออก มันก็คือปัญญาญาณ ซึ่งก็คือการเห็นสิ่งที่มีอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้นถูกความคิดบังไว้ไม่ให้เห็น เรียกอีกอย่างว่าปัญญาญาณคือการเห็นตามที่มันเป็น

แล้วทำอย่างไรละ จึงจะได้เห็นส่วนที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็น ก็ต้องเอาสิ่งที่บังอยู่คือความคิดออกไปให้หมดก่อน เพราะปัญญาญาณไม่เกิดในขณะมีความคิด

การจะเอาความคิดออกไป ก็ต้องเข้าใจว่าความคิดที่ทำให้เราเข้าใจผิดว่าอัตตาหรืออีโก้ของเราเป็นเรื่องจริงนั้น เป็นความคิดที่ดำรงอยู่ได้เพราะเวลาในใจ (psychological time) เช่น ความกลัว เป็นการจินตนาการว่าสิ่งที่เราไม่อยากได้จะเกิดกับเราในอนาคต ส่วน ความหวัง เป็นการจินตนาการว่าสิ่งที่เราอยากได้จะเกิดกับเราในอนาคต ส่วน ความเสียใจ หรือรู้สึกผิดนั้นเป็นการเรียบเรียงประสบการณ์เก่าเสียใหม่ (re-create) เพื่อฉายซ้ำให้เราเห็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตแต่ว่าฉายซ้ำกันที่ปัจจุบันนะ ทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความหวัง ความเสียใจ ความรู้สึกผิด ล้วนเป็นความคิดที่อาศัยเวลาในใจเป็นที่สิงสถิตย์ทั้งสิ้น ถ้าหดเวลาในใจให้แคบลงมาจนเหลือแค่เดี๋ยวนี้ ความคิดเหล่านั้นก็จะไม่มีที่อยู่ พูดง่ายๆว่าถ้าอยู่กับเดี๋ยวนี้ ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่ที่เป็นอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต้องหนี หรือไม่ต้องวิ่งหาอะไรในอนาคต ก็ไม่ต้องกลัวไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องเสียใจกับอะไร ในภาวะที่ปลอดความคิดอย่างนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ณ เดี๋ยวนี้ เราจะเห็นมันหมด นี่แหละที่เรียกว่าเห็นตามที่มันเป็น คือหมายความว่าเห็นมันโดยไม่เกี่ยวกับการพยายามปกป้องอัตตาหรืออีโก้ของเรา การเห็นทั้งหมดโดยไม่มีอะไรถูกความคิดบังไว้นี่แหละ คือปัญญาญาณ

ดังนั้นปัญญาญาณไม่ใช่คุณวิเศษ หรือต้องเป็นผู้วิเศษ คนที่เห็นสิ่งต่างๆด้วยปัญญาญาณมากที่สุดคือคนที่ไม่มีกรอบความคิดอะไรในใจ ยกตัวอย่างเช่นเด็กก่อนเข้าเรียนอนุบาล เด็กเมื่อถูกปล่อยลงไปในสนามหญ้าท่านกลางหญ้าระบัด สัตว์ แมลงต่างๆ เด็กจะเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น และเลือกหยิบหรือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับสิ่งที่น่าสนใจหรือเร้าใจเขาที่สุด นี่คือการใช้ปัญญาญาณเลือกทำในสิ่งที่ถูกจริตหรือเป็น passion ของตัวเอง นี่คือกำเนิดของความริเริ่มสร้างสรรค์ หรือ creativity เป็นกลไกการเรียนรู้แบบรับรู้ทุกอย่างตามที่มันเป็น ซึ่งเป็นรูปแบบของการเรียนรู้ที่จะทำให้คนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในทุกสภาวะสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่เคยเห็นหรือไม่เคยเห็นมาก่อนก็ตาม

แต่พอเด็กเข้าโรงเรียน เด็กจะถูกสอนให้เห็นซ้ำซากเฉพาะที่ความคิดอยากให้เห็น คือเห็นในกรอบคอนเซ็พท์ต่างๆของความคิดเช่น ความถูกต้อง ความดี ความปลอดภัย ความสะอาด เป็นต้น นั่นหมายความว่าได้เกิดการเรียนรู้ด้วยกลไกแบบใหม่ขึ้นแล้ว คือกลไกการย้ำคิด หรือ compulsiveness คือเด็กจะถูกสอนให้ย่ำอยู่ในร่องของความคิดเดิม ออกไปนอกร่องไม่ได้เพราะนั่นถูกนิยามว่าคือความผิดพลาดหรือ mistake ซึ่งจะถูกลงโทษทันที ด้วยการเรียนแบบใหม่นี้ เด็กที่เคยเห็นทุกอย่างตามที่มันเป็นมาก่อนก็จะกลายเป็นเห็นเฉพาะที่กรอบความคิดเปิดให้เห็น ปัญญาญาณที่เคยมีสมัยก่อนเข้าโรงเรียนก็จะหายไป โดยมีสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” ซึ่งแท้จริงแล้วคือผลที่เกิดจากรีไซเคิลความจำเก่าๆ ตำราเก่าๆ หรือขี้ปากซ้ำซากของคนรุ่นเก่า เข้ามาแทนที่

เล่ามาถึงตรงนี้คุณคงพอจะอนุมาณได้แล้วนะ ว่าปัญญาญาณไม่ใช่ความเป็นผู้วิเศษ หรือต้องเป็นผู้วิเศษก่อนจึงจะเกิดได้ หรือต้องบรรลุฌานก่อนจึงจะเกิดได้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ปัญญาญาณเป็นการได้เห็นสิ่งรอบตัวทั้งหมดตามที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งโอกาสแบบนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อไม่มีกรอบของความคิดเข้ามาเลือกบดบังบางส่วนเอาไว้ ดังนั้นเงื่อนไขหลักที่จะเกิดปัญญาญาณก็คือต้องปลอดความคิด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

13 มีนาคม 2564

พลังชีวิต และวิธีเพิ่มพลังชีวิต

ในชั่วโมงนี้้เราจะคุยกันถึงพลังชีวิต

“พลังชีวิต” ภาษาจีนเรียกว่า “ชี่” ภาษาอินเดียเรียกว่า “ปราณา” ภาษาไทยยังไม่มีศัพท์บัญญัติแต่ก็นิยมใช้คำว่า “พลังชีวิต” กันทั่วไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักวิชาแพทย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักฐานวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งหลักวิชาแพทย์และหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่นับว่าพลังชีวิตมีอยู่จริงเนื่องจากมันชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่หมอสันต์กำลังบอกว่าพลังชีวิตมีอยู่จริงและเราใช้ประโยชน์จากมันได้ ทั้งนี้จากประสบการณ์ของตัวเอง ท่านอย่าเพิ่งรีบ “ไม่เชื่อ” หรือรีบ “เชื่อ” เพราะแบบนั้นจะเป็นความงมงายทั้งคู่ แต่ให้ท่านจัดมันอยู่ในเรื่องที่ท่านยัง “ไม่รู้” ไว้ก่อน รอจนท่านมีประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้วท่านค่อยสรุปว่ามันมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้

นิยาม “พลังชีวิต”

ของบางอย่างนิยามเป็นภาษาไม่ได้ แต่ก็ต้องนิยามไม่งั้นสื่อกันไม่ได้เลย พลังชีวิตก็คือพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนที่ประกอบขึ้นเป็นชั้นหนึ่งของชีวิต ที่แม้ตาจะมองไม่เห็น หูจะฟังไม่ได้ยิน แต่จิตสำนึกรับรู้สามารถรู้สึก (feel) ถึงมันได้ในสองรูปแบบ คือแบบที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกทางร่างกาย เช่น ความรู้สึกวูบวาบ ร้อนผ่าว ซู่ๆซ่าๆ จิ๊ดๆจ๊าดๆ เหน็บๆ ชาๆ เจ็บๆคันๆ ใจเต้น เป็นต้น แบบที่สอง เป็นความรู้สึกทางใจ เช่นตื่นเต้น กระดี๊กระด๊า ระริกระรี้ ถูกจริต มหัศจรรย์ อยากรู้อยากเห็น เปิดรับอ้าซ่า

ที่ผมบอกว่าพลังชีวิตเป็นชั้นหนึ่งของชีวิตนี่เป็นการแบ่งชั้นของชีวิตให้แยกย่อยลงไปพ้นหลักวิทยาศาสตร์ที่แบ่งชีวิตออกเป็นแค่สองชั้นคือร่างกายและจิตใจโดยวิทยาศาสตร์เหมาเอา (อย่างไม่มีหลักฐาน) ว่าจิตใจงอกออกมาจากสมอง แต่ทางจิตวิญญาญนิยมแบ่งว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยชั้นต่างๆซ้อนทับกันอยู่เหมือนชั้นของหัวหอมหรือกระเทียมหลายชั้น บ้างนิยามว่ามีห้าชั้นบ้าง เจ็ดชั้นบ้าง แล้วแต่ว่าใครเป็นคนนิยาม ผมเองขอนิยามง่ายๆว่าชีวิตแบ่งเป็นสี่ชั้นก็แล้วกัน คือ (1) ร่างกาย (2) พลังชีวิต (3) ความคิด (4)ความรู้ตัว นี่เป็นคอนเซ็พท์หรือสมมุติฐานในภาพรวมเพื่อให้ง่ายต่อการคุยกันเฉยๆนะ เพราะในความเป็นจริงทั้งสี่ชั้นนี้แม้จะเป็นของคนละอย่างกัน แต่ก็ผสามเชื่อมต่อกันอย่างหาขอบเขตแยกจากกันให้เด็ดขาดชัดเจนไม่ได้

พลังชีวิตเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกับพลังงานภายนอกหรือที่นิยมพูดกันว่า “พลังจักรวาล” จุดเชื่อมโยงก็ได้แก่ลมหายใจ น้ำ อาหาร สถานที่ แม้แต่บรรยากาศหรืออวกาศก็เชื่อมโยงพลังงานหากันได้

พลังชีวิตเป็นตัวทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีชีวิตชีวา ทำให้ร่างกายคงอยู่ เคลื่อนไหวเดินเหินทำอะไรได้ เมื่อพลังชีวิตค่อยๆมอด ชีวิตก็จะเริ่มไร้พลังที่จะทำอะไร เมื่อพลังชีวิตดับ ร่างกายก็ตายเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย ดังนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เราก็อยากให้มีพลังชีวิตแยะๆ จะได้มีชีวิตแบบมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็สงบเย็น มีเรี่ยวมีแรงทำอะไรสร้างสรรค์ได้มากๆ

วิธีเพิ่มพลังชีวิต

วิธีเพิ่มพลังชีวิตทั้งสิบเอ็ดวิธีที่ผมจะเล่าต่อไปนี้สรุปมาจากประสบการณ์ชีวิตของคนๆเดียวคือตัวผมเองนะ ท่านเอาไปลองปฏิบัติดูได้ แต่จะได้ผลอย่างที่ผมทำแล้วได้ผลหรือไม่ผมไม่ทราบ หิ หิ แต่ถ้าไม่ลองดูเองบ้างแล้วจะมีโอกาสได้รู้ไหมละ

1.. หายใจแบบเพิ่มพลังชีวิต ด้วยการสูดหายใจเข้าไปลึกๆช้าๆ กลั้นลมหายใจไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกเบายาวๆช้าๆจนหมดลม จะใช้วิธีนับไปด้วยก็ได้ 4-4-8 เข้านับ 1-2-3-4 แล้วกลั้นไว้ขณะนับ 1-2-3-4 แล้วผ่อนลมหายใจออกและนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวันทุกที่ทุกเวลา

ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ อโรม่า กลิ่นชักนำความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับอายตนะรับกลิ่นแทน หอมสำหรับบางคนอาจเหม็นสำหรับบางคน นี่ไม่ซีเรียส เอาที่เราชอบ สมัยผมเด็กๆชอบไปยุ่งกับยายซึ่งมีน้ำหอมใช้ยี่ห้อเดียวคือน้ำมันมะพร้าว ผมก็เลยติดกลิ่นน้ำมันมะพร้าวว่าหอมดี แต่คนข้างๆดมแล้วทำจมูกฟิตฟิต หิ หิ อันนี้ทศนิยมของใครของมันนะ ใครชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

พวกโยคีมีเทคนิคใช้การหายใจเพิ่มพลังชีวิตเยอะแยะมาก ซึ่งมีสององค์ประกอบย่อยที่ใช้ควบคู่กัน คือการหายใจให้มากกว่าปกติสลับกับการกลั้นหายใจ บางทีเรียกว่าการหายใจแบบสูบลม คือแรงและเร็วฟืดฟาดๆ จนร่างกายเป็นด่างได้ที่คือเบลอๆเหมือนจวนเจียนจะหมดสติ แล้วหายใจเข้าเต็มปอดแล้วตามด้วยการกลั้นหายใจที่ปลายการหายใจเข้า กลั้นไว้ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะกลั้นได้ ประมาณว่านับหนึ่งถึงร้อยอย่างช้าๆ จนร่างกายกลับเป็นกรดมากเกินไปและสมองเริ่มเบลอๆอีกครั้ง จนกลั้นต่อไม่ไหวก็ปล่อยลมออกจนหมดและแขม่วท้องไล่จนไม่เหลือลมในปอดเลยแล้วกลั้นหายใจในจังหวะปลายการหายใจเข้าต่ออีกครั้ง จนกลั้นไม่ไหวจึงค่อยปล่อยให้หายใจปกติ การทำเช่นนี้จะปลุกตัวเองที่ง่วงๆอยู่หรือปลุกถ่านที่กำลังจะหมดให้ตื่นขึ้นแบบว่างจากความคิดด้วยทันที ทำได้ทุกเวลาโดยเฉพาะขณะง่วงๆเช่นตอนขับรถหรือนั่งสมาธิ บางครั้งอาจกลั้นจนเหงื่อแตก บางครั้งอาจกลั้นมากจนร่างกายชักกระตุกด้วยก็ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรซีเรียสเพราะกลไกระบบประสาทอัตโนมัติจะไม่ยอมให้ใครกลั้นหายใจจนตายได้ดอก ถึงเราไม่ยอมปล่อย แต่ระบบประสาทอัตโนมัติมีวิธีบังคับให้เราปล่อยจนได้ในที่สุด รับประกันว่าจะไม่มีใครมีอันเป็นไปเพราะฝึกเพิ่มพลังชีวิตด้วยวิธีนี้

พวกโยคีใช้เทคนิคการควบคุมลมหายใจเป็นเครื่องมือในการไล่ความคิดและหันความสนใจให้กลับหลังจากนอกเข้าในเหมือนเต่าหดแขนขาหางและหัวเข้าในกระดอง หมายความว่าภาพเสียงกลิ่นรสสัมผัสและความคิดนั้นเป็นข้างนอก ส่วนความว่างดำดิ่งลึกลงๆนั้นเป็นข้างใน การดำดิ่งลึกลงๆนี้เป็นการนำความสนใจฝ่าข้าม (transcendent) จากชีวิตในมิติที่มีการแปลงสิ่งเร้าทุกอย่างออกมาเป็นภาษา ไปสู่มิติที่ไม่มีภาษา ไม่มีอีโก้ ไม่มีตัวตนสมมุติใดๆ ทุกอย่างปรากฎเป็นแค่คลื่นความสั่นสะเทือน ตรงนั้นที่เป็นที่ที่ปัญญาญาณหรือญาณทัศนะจะเกิดขึ้น

2.. ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มหัวเราะ การผ่อนคลายทำง่ายๆโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย ยิ้มไปด้วย ขณะมีความคิดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวและมีไฟฟ้าวิ่งในเส้นประสาทมากจนกลบพลังชีวิตซึ่งเป็นไฟฟ้าระดับแผ่วเบาไปหมด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทสงบลง จะรับรู้พลังชีวิตได้ง่าย

การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นยิ้มและหัวเราะให้เป็นกิจวัตร ชีวิตนี้ในวันหนึ่งๆไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เป็นไร เพราะอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นมันเป็นเรื่องของอีโก้หรือความคิดอย่าไปให้ราคามันเลย วันๆหนึ่งๆขอให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะก็พอแล้ว หรืออย่างน้อยยิ้มทั้งวัน เพราะนั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน

3.. ถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาสนใจพลังชีวิตแทน สนใจรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าบนผิวกายให้บ่อยๆหรือเกือบจะตลอดเวลา เรียกว่าขยันทำ body scan ขยันทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับรู้พลังชีวิตผ่านความรู้สึกบนร่างกาย เช่นรำมวยจีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำได้ดีหากผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะในชีวิตนี้ความสนใจคือที่มาของอำนาจ อะไรที่ความสนใจไปจดจ่อสิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่และสำคัญ ทุกวันนี้ความคิดช่างยิ่งใหญ่และสำคัญเสียเหลือเกิน เพราะเราปล่อยให้ความสนใจของเราไปขลุกอยู่ในความคิดตลอดเวลา ถ้าย้ายความสนใจมาจดจ่อที่พลังชีวิต พลังชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง

4.. ถ้าจะคิดให้คิดบวก การไม่ยุ่งกับความคิดดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังติดข้องอยู่ในความคิด เลิกยังไม่ได้ ถอนตัวยังไม่ขึ้น ก็ให้ใช้ประโยชน์จากความคิดเสียเลย คือให้มุ่งไปทางคิดบวก หนีความคิดลบ เพราะความคิดบวกจะบ่มเพาะพลังชีวิตให้เป็นปึกแผ่นขึ้น เนื่องจากพลังงานที่แผ่คลุมไปทั่วที่เราเรียกว่าพลังจักรวาลนั้นในแง่ของความคิดมันก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง โลกในทางจิตวิญญาณพื้นฐานของมันมีอย่างเดียวคือเมตตาธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ใครจะเข้าถึงเข้าไม่ถึงนั่นเป็นความแตกต่างในตัวแต่ละปัจเจกบุคคล หมายความว่าความเมตตา ให้อภัย ขอโทษ ขอบคุณ นี่เป็นความคิดบวกที่จะเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้ ความอิจฉาหรือทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นมีความสุข การหรือกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอนาคต กลัวอีโก้ของตัวเองจะอับเฉา นี่เป็นความคิดลบ การพิพากษาตัดสินว่าคนนั้นไม่ดียังงั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ประเทศนั้นไม่ดีอย่างนี้ ประเทศนี้ไม่ดีอย่างนั้น นี่ก็เป็นความคิดลบซึ่งชงขึ้นมาจากอีโก้ของเรา การหัดคิดบวกอาจเริ่มด้วยการหัดเขียนอะไรที่บวกๆในชีวิตเช่น “รายการขอบคุณ” คือเขียนว่าวันนี้เรามีเรื่องดีๆในชีวิตอะไรที่ควรขอบคุณบ้าง ขณะขับรถ หากจะใจลอยทั้งทีให้คิดถึงอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นมีพลัง เช่น โอ้..สีรถคันนั้นเจ๋งนะ ฮ้า..ดูแม่กุมมือลูกน้อยที่ข้างถนนนั่นสิ..น่ารัก จะดูหนัง ดูคลิป อ่านหนังสือ ฟังปอดแคสท์ ก็ขอให้เลือกเอาแต่เรื่องที่บวกๆชักจูงให้เกิดความรู้สึกมหัศจรรย์ในชีวิต

ไหนๆหากเป็นคนชอบยุ่งกับความคิดอยู่แล้ว ก็ให้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้น คือให้หัดสอบสวนความคิดของตัวเอง ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมาสอบสวนหมด ความคิดนี้ใครชงขึ้นมา เพื่ออะไร ความคิดไหนที่จับไต๋ได้ว่าชงขึ้นมาโดยอีโก้ก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดไร้สาระจากอีโก้ โผล่อีกทีจะได้ดีดทิ้งทันที่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขลุกด้วย สอบสวนความคิดเรื่อยไป ดีดทิ้งเรื่อยไป จนความคิดหมด ก็จะบรรลุธรรม หิ หิ

5.. จงใจทำอะไรใหม่ ๆ อะไรใหม่ๆที่นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แค่จงใจตั้งใจทำอะไรใหม่พลังชีวิตก็จะบู้ม..ม ขึ้นมาทันที เพราะในการทำอะไรใหม่ๆมันเปิดให้เราได้พบกับความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ก็คือด้านหนึ่งของพลังชีวิต ทั้งนี้มีประเด็นย่อยสี่ประเด็นคือ

5.1 ต้องเลือกอะไรที่ท่านชอบ (passion) คืออะไรที่ถูกจริต ทำให้ท่านกระดี๊กระด๊า ดลบันดาลความตื่นเต้นให้ท่านได้จะจะเห็นๆ อาศัยความรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่อาศัยเหตุผล ตรงนี้ต้องระวังนิดหนึ่ง ว่าสัญชาติญาณของสัตว์ที่มีอยู่ในตัวเราเช่นความอยากมีเซ็กซ์ก็เป็นพลังงานเหมือนกัน เมื่อเราฟังพลังงานในร่างกายเราต้องระวังสัญชาติญาณของสัตว์ปลอมมาด้วย มันก็เป็นพลังชีวิตในรูปแบบหนึ่งแต่เป็นพลังในระดับที่ฝังแฝงมากับเซลร่างกาย จมอยู่กับมันได้พอให้รู้จักมัน แล้วพาชีวิตให้ขึ้นมาสู่พลังชีวิตที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น อย่าไปจมอยู่กับเซ็กซ์ตลอดกาล

5.2 เมื่อลงมือทำ ต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ จดจ่ออยู่ที่การกระทำ นิ่ง แน่วแน่ จริงจัง ภาษาเหนือเรียกว่า “หนิมพิ่ว” คือดำเนินไปอย่างรวดเร็วถูกจังหวะจะโคนแต่แนบเนียนละเอียดมากจนมองจากภายนอกเหมือนหยุดนิ่งเหมือนลูกข่างที่หมุนเร็วจี๋แต่มองเหมือนตั่งปักอยู่อย่างนิ่งสนิท วิธีทำงานแบบนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า focus on process

5.3 อย่าไปพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะได้ จะเสีย จะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เรียกว่า zero result คือทำโดยยอมรับว่าผลมันอาจจะเป็นศูนย์ไว้ก่อน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้ได้ทำ ผมเคยไปเยี่ยมเนอร์สซิ่งโฮมของฝรั่ง ที่ห้องกิจกรรมเขาเขียนม็อตโต้แปะไว้ข้างฝาว่า

“Focus on enjoyment, not achievement”

นั่นแหละ วิธีทำงานที่จะเพิ่มพลังชีวิต

5.4 ทำเสร็จแล้วเฉลิมฉลองทุกครั้ง เช่นสมมุติตั้งใจว่าเมื่อเสร็จกิจจากโถส้วมแล้วจะซ้อมท่านั่งยอง (squat) หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บมาก แต่พอทำเสร็จแล้วอย่าลืมเฉลิมฉลอง ฮ่า.. ทำได้ละ การเฉลิมฉลองทำให้พลังชีวิตเดินทางครบรอบวงของมัน ซึ่งจะทำให้มันแกร่งขึ้นๆ ไม่รู้จบ นี่เป็นกลเม็ดที่จะใช้สร้างนิสัยใหม่ให้สำเร็จที่แรงกว่าการไปหวังพึ่งความบันดาลใจซึ่งเป็นความคิดที่มักมีลักษณะเป็นไฟไหม้ฟางซึ่งมักจะมอดดับเร็วไปหน่อย

ทุกเช้าตื่นขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมาทำไม วันนี้จะทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำสักอย่างได้ไหม อาจะเป็นอะไรเล็กๆเช่นรดน้ำต้นไม้ที่ไม่เคยรดมันเลยมานานแล้วสักครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำให้ครบสี่องค์ประกอบข้างต้น จบด้วยการเฉลิมฉลอง

6.. ออกกำลังกาย นี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง ทำให้เราหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขึ้น ไปสร้างเป็นพลังงานให้เซลร่างกายมากขึ้น

7.. กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต สำหรับพวกโยคีก็คืออาหารพืชผักผลไม้ถั่วนัท ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี เพราะโยคีไม่กินเนื้อสัตว์ สำหรับคนที่กินเนื้อสัตว์ไม่ควรกินเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพราะมันใกล้เคียงกับเรามากเกินไป นอกจากจะย่อยยากแล้วพวกโยคียังถือว่ามันมีความเสี่ยงที่จะก่อความสับสนต่อระบบร่างกาย

8.. อยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติเช่นป่าไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย ธรรมชาติเป็นสถานที่ดีที่สุดที่จะออกจากความคิดไปอยู่กับพลังชีวิต เพราะธรรมชาติเป็นสนามพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนอยู่แล้ว หาเวลาปลีกตัวออกไปจากผู้คน ไปอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เวลาอยู่ในธรรมชาติ แค่เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม สังเกตทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส และรับรู้มันโดยไม่พิพากษาหรือคิดตัดสินหรือคิดต่อยอดใดๆ

9.. อยู่กับน้ำ อยู่ใกล้น้ำ คลุกคลีกับน้ำ จุ่มน้ำ แช่น้ำ เที่ยวน้ำตก เพราะน้ำนั้นกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นพลังงานภายนอกตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานที่ดี ในตัวเราก็มีน้ำเสียตั้ง 70% เวลาอาบน้ำให้อาบน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายเรา เพื่อให้เราได้สัมผัสพลังชีวิตซึ่งเป็นความอุ่นจากภายในได้ง่าย เวลาผมรู้สึกว่าพลังของผมลดลง ผมจะไปเดินคลองมวกเหล็กซึ่งมีน้ำตกเล็กๆลดหลั่นกันอยู่ทั่วไป นั่งสมาธิอยู่ตามโขดหินกลางธารน้ำตกสักห้านาที ก็จะกลับกระดี๊กระด๊าขึ้นมาได้

10.. อยู่กับดนตรี เสียงเพลง เสียงดนตรีเป็นคลื่นความถี่ของพลังงานที่เป็นระเบียบทรงพลังซึ่งถือว่าดีกว่าคลื่นความคิดหรืออีโก้ของมนุษย์ซึ่งเป็นคลื่นสับสนเป็นลบมากกว่าเป็นบวกและไร้พลัง ข้อดีของดนตรีอีกอย่างหนึ่งก็คือความคิดหรืออีโก้ไม่ค่อยต่อต้านเพราะอีโก้มันไม่ค่อยกลัวว่าดนตรีจะมาทำให้ตัวมันเองไม่ปลอดภัย มันมัวพะวงแต่จะไปต่อต้านความคิดของคนอื่นที่คุกคามตัวตนของมันมากกว่า เวลาใช้ประโยชน์จากดนตรีและเสียงเพลงอย่าไปเอาเนื้อหาที่เป็นภาษาพูดของเพลงมาเป็นสื่อกระตุ้นความคิดนะ นั่นเป็นการเลือกใช้ส่วนที่ไม่ดี การอยู่กับดนตรีนี้ ทำไประดับหนึ่งเสียงอะไรก็กลายเป็นเสียงดนตรีหมด

11.. พาตัวเองเข้าไปใกล้ๆแหล่งพลังดีๆ ไม่ว่าจะเป็นคนบางคน หรือสถานที่บางแห่ง หรืออยู่ใกล้สัตว์บางตัว หรือสิ่งของบางชิ้น คืออะไรก็ตามที่เราอยู่ใกล้แล้วเรารู้สึกได้รับพลังงานดีๆ

หากจำเป็นต้องไปอยู่ในสถานที่หรืออยู่ใกล้คนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกจริตหรือรู้สึกแย่ ก็พยายามนั่งหรือยืนอยู่ห่างๆ พูดกับเขาให้น้อยที่สุด อย่าไปมองหน้าเขามาก เพราะเวลาเรามองหน้าใครเรามักจะเผลอเลียนสีหน้าเขา แล้วอารมณ์ลบๆของเขาก็จะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติ ยิ่งเราตั้งใจไม่เอามันยิ่งมาเร็ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

12 มีนาคม 2564

โรคเนื้องอกต่อมหมวกไต pheochromocytoma

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

ผมอายุ 45 เป็นความดันเลือดสูงมาราว 10 ปี ช่วงไม่ได้ยาความดันอยู่ประมาณ 160/100 มีชีพจรเร็วระดับ 100 – 105 มาตลอด เครียด นอนไม่หลับ ต้องดื่มเบียร์ก่อนนอนวันละขวดสองขวดทุกคืนจึงจะหลับได้ ตรวจต่อมไทรอยด์ก็ปกติดี หมอที่รักษาหลายคนพูดคล้ายๆกันว่าน่าจะตรวจดูเนื้องอกของต่อมหมวกไต แต่ก็ไม่เห็นหมอท่านไหนเอาจริงสักที อยากปรึกษาหมอสันต์ว่าอาการอย่างผมนี้เป็นเนื้องอกต่อมหมวกไตจริงไหม ผมควรตรวจเนื้องอกของต่อมหมวกไตไหม ตรวจอะไรบ้าง บางหมอว่าตรวจปัสสาวะอย่างเดียว บางหมอว่าตรวจทั้งเลือดและปัสสาวะ บางหมอว่าทำ CT ช่องท้องอย่างเดียวก็พอจริงไหม ผมควรทำอะไรบ้าง ผมต้องไปตรวจที่ไหน ถ้าเป็นแล้วมันเป็นมะเร็งหรือเปล่า ผมต้องรักษาอย่างไร

……………………………………………

ตอบครับ

ก่อนจะตอบคำถามของคุณขอพูดถึงคำนิยามโรคเนื้องอกของต่อมหมวกไต (pheochromocytoma) ว่าสมัยนี้สมาคมโรคต่อมไร้ท่อทั้งฝั่งอเมริกาและยุโรปได้เหมาเอาโรคเนื้องอกต่อมหมวกไต pheochromocytoma กับโรคเนื้องอกปมประสาท paraganglioma เข้าด้วยกันและรักษาเหมือนกันโดยเรียกรวมๆกันว่า PPGL โรคนี้กลไกของมันคือเซลชนิดหนึ่งชื่อ chromaffin cells ในตัวเนื้องอก จะคอยปล่อยสารเคมีที่ปกติใช้ในการกระตุ้นเส้นประสาทที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวและหัวใจเต้นเร็ว (catecholamine) ออกมาเป็นพักๆ ประมาณ 30% ของคนเป็นเนื้องอกแบบนี้มีพันธุกรรมเกี่ยวข้อง เมื่อสงสัยเนื้องอกชนิดนี้จำเป็นต้องวินิจฉัยให้เด็ดขาดเพราะหากปล่อยไว้จะมีโอกาสเกิดภาวะฉุกเฉินจากความดันเลือดสูงเฉียบพลันหรือหัวใจเต้นรัวเฉียบพลันได้ และโรคนี้ทำการผ่าตัดรักษาให้หายได้

เอาละคราวนี้มาตอบคำถามของคุณ

1.. ถามว่าอาการอย่างคุณนี้เป็นโรคเนื้องอกต่อมหมวกได้ไหม ตอบว่าได้ครับ อาการคลาสสิกของโรคนี้มีสี่อย่างคือ (1) ปวดหัว (2) ใจสั่น (3) เหงื่อออกง่าย และ (4) ความดันเลือดสูง อาการมาเป็นพักๆ (spell) ยิ่งนานไปยิ่งมาถี่ มาทีอยู่นานตั้งแต่หลายวินาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ช่วงที่อาการมาอาจจะมีอาการร่วมเช่นมือสั่น คลื่นไส้ กระวนกระวาย แน่นลิ้นปี่ ท้องผูก ความดันสูง ลุกแล้วหน้ามืด น้ำหนักลด ซีด ตัวอุ่นๆแบบเป็นไข้

2.. ถามว่าคุณควรตรวจวินิจฉัยการเป็นเนื้องอกต่อมหมวกไตไหม ตอบว่าควรครับ เพราะคุณมีความดันเลือดสูงตั้งแต่อายุน้อย และมีอาการหัวใจเต้นเร็วทั้งๆที่ฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ปกติ อาการแบบนี้โรคที่พบบ่อยท็อปสองโรคคือ ถ้าไม่เป็นโรคกลุ่มเนื้องอกต่อมหมวกไตหรือ PPGL ก็เป็นโรคปสด. (ประสาทแด๊กซ์)

3. ถามว่าการตรวจวินิจฉัยทำอย่างไร ตอบว่าตามปกติที่แนะนำโดยสมาคมโรคต่อมไร้ท่ออเมริกันหรือยุโรปจะทำสองขั้นตอน คือ

ขึ้นตอนที่หนึ่ง ตรวจเลือดหาสาร metanephrine หรือปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมงหาสาร catecholamine และ metanephrine หรือตรวจมันทั้งเลือดและปัสสาวะ แล้วแต่หมอชอบ

ขั้นตอนที่สอง หากผลการตรวจเลือดหรือปัสสาวะพบว่าผิดปกติ จึงค่อยเดินหน้าไปทำ CT ช่องท้อง เพื่อดูภาพของเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต

แต่มีหมอจำนวนหนึ่งที่ชอบทำอะไรแหกโผ (รวมทั้งหมอสันต์ด้วย) หมอพวกนี้จะลัดไปตรวจ CT ช่องท้องเลย หากพบมีเนื้องอกจึงค่อยตรวจระดับ metanephrine ในเลือดไว้เทียบผลกับหลังการผ่าตัดแล้วให้ผ่าตัดเลย แต่หาก CT ช่องท้องไม่พบเนื้องอกก็จบข่าว ให้กินยาลดความดันต่อไปไม่ต้องไปสืบค้นตรวจเลือดตรวจปัสสาวะอะไรอีก เพราะถึงไปสืบค้นต่อและพบว่ามี metanephrine หรือ catecholamine สูง แผนการรักษาก็ไม่เปลี่ยน การรักษาโรคนี้ในภาวะที่หาเนื้องอกไม่เจอก็คือการให้กินยาลดความดันสาระพัดชนิดต่อไป..เหมียนเดิม

4.. ถามว่าการตรวจ CT ช่องท้องอย่างเดียวจะทำให้พลาดโอกาสวินิจฉัยโรคนี้ไปได้บ้างไหม ตอบว่าเนื้องอกที่ผลิต metanephrine จะอยู่ที่ต่อมหมวกไตเสีย 85% และจะอยู่ในท้องนั่นแหละ 98% หากทำ CT ช่องท้องไม่เจอโอกาสที่จะวินิจฉัยพลาด ได้ผลลบเทียม มีเพียง 2% ส่วนที่อยู่นอกท้องนี้จะอยู่ที่ปมประสาท (paraganglion) ข้างกระดูกสันหลังตรงไหนก็ได้ตั้งแต่ฐานของกระโหลกศีรษะไล่ลงมาจนถึงกระเพาะปัสสาวะ แต่ตัวผมเองเป็นหมอประชาธิปไตยคือชอบเสียงข้างมาก ผมจะเอาแค่ 98% ไม่ยุ่งกับ 2% หมายความว่าถ้า CT ช่องท้องไม่พบอะไรผมถือว่าจบข่าว นี่วิธีของหมอสันต์นะ ส่วนหมอคนอื่นที่มีนิสัยไม่ยอมจบอะไรง่ายๆก็มีอยู่ ในกรณีเช่นนั้นก็ต้องไปทำ total body CT เพื่อลุ้นกับโอกาสที่จะพบ 2% นั้นเอาเอง

5.. ถามว่าเนื้องอกชนิดนี้มันเป็นมะเร็งไหม ตอบว่าหากมันเป็นเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต โอกาสเป็นมะเร็งของ pheochromocytoma มีเพียง 10% แต่หากมันไปอยู่นอกต่อมหมวกไต มีโอกาสเป็นมะเร็ง 35% แต่ประเด็นสำคัญคือการตรวจชิ้นเนื้อวินิจฉัยการเป็นมะเร็งไม่ได้ ต้องวินิจฉัยจากการเกิดการแพร่กระจาย (metastasis) แล้วเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่แพร่กระจายไปตับ กระดูก และต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นคุณอย่าไปคิดข้ามช็อตไปถึงการเป็นมะเร็งเลย หากเป็นโรคเนื้องอกต่อมหมวกไตจริงก็ผ่าตัดออกแล้วดูเชิงด้วยการตรวจติดตามดู metanephrine ไป หากมันยังสูงอยู่ก็ค่อยไปสืบค้นการแพร่กระจายเอาหลังจากนั้น อย่ารีบข้ามช็อต เพราะโอกาสเกิดเรื่องแบบนั้นมีเพียงไม่เกิน 10%

6. ถามว่าการตรวจโรคนี้ต้องไปตรวจที่ไหน ตอบว่าที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ที่มีเครื่อง CT และมีหมอต่อมไร้ท่อหรือหมอหัวใจ ถ้าไม่มีทั้งหมอต่อมไร้ท่อทั้งหมอหัวใจ ก็ตรวจกับหมออายุรกรรมทั่วไปก็ได้เขาก็ตรวจโรคนี้ได้ ส่วนเรื่องแล็บมีหรือไม่นั้นไม่ต้องห่วง เพราะเดี๋ยวนี้โรงพยาบาลที่คุณเห็นว่าใหญ่ๆเท่ๆนั้น มีจำนวนมากไม่มีแล็บของตัวเอง อาศัยส่งไปตรวจแล็บขนาดใหญ่ข้างนอกเพราะแล็บยิ่งใหญ่ยิ่งแม่น ทำให้การมีแล็บทุกอย่างในโรงพยาบาลเป็นเรื่องไม่จำเป็น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Chen H, Sippel RS, O’Dorisio MS, Vinik AI, Lloyd RV, Pacak K. The North American Neuroendocrine Tumor Society consensus guideline for the diagnosis and management of neuroendocrine tumors: pheochromocytoma, paraganglioma, and medullary thyroid cancer. Pancreas. 2010 Aug. 39(6):775-83. 
[อ่านต่อ...]

11 มีนาคม 2564

หมอสันต์เปิด Cooking Class Online

มีคนถามผมอยู่เรื่อยว่าเมื่อไหร่จะมาเรียนทำอาหารหรือเข้า Cooking Class ที่เวลเนสวีแคร์ได้อีก แหะ..แหะ คำตอบนั้นอยู่ในสายลม เพราะโควิด19 ทำให้อะไรที่ว่าง่ายๆยากไปหมด ในระหว่างนี้ผมสังเกตว่าพวกฝรั่งที่เปิดสอนชั้นเรียนทำอาหารแพงๆต่างหันมาสอนแบบออนไลน์กันหมด จึงคิดขึ้นได้ว่าเออ..ผมก็น่าจะทำบ้างนะ จึงให้หนูใบเตยซึ่งเป็นนักโภชนาการของเวลเนสวีแคร์ไปทำหลักสูตรร่วมกับเชฟเปิดสอนทำอาหารแบบออนไลน์ตามฝรั่งเขาดูบ้าง ซึ่งเธอก็ทำการบ้านมาเรียบร้อยแล้ว โดยเรียกชื่อคอร์สว่า Plant-Based Cooking We Care รูปแบบของคอร์สเป็นชั้นเรียนออนไลน์ ให้สิทธิผู้เข้าเรียนเปิดเข้าไปชมการสอนวิธีทำอาหารเมื่อไหร่ก็ได้ที่ท่านว่าง ไม่มีกำหนดสิ้นสุด (ยกเว้นเวลเนสวีแคร์เจ๊งเมื่อไหร่ก็สิ้นสุดกันเมื่อนั้น หิ หิ) ท่านที่สนใจก็ลองอ่านรายละเอียดข้างล่างแล้วสมัครเรียนได้นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

Plant-Based Cooking We Care

ใบเตย (บุณฑริก กุพิมาย)

วัตถุประสงค์ของคอร์ส

  1. ให้รู้วิธีทำอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ (low fat, plant-based, whole food) ที่มีความหลากหลายและครบถ้วนคุณค่าทางโภชนาการ วิธีเลือกวัตถุดิบ วัตถุทดแทน วิธีใช้อุปกรณ์ครัว
  2. ให้มีทักษะในการทำอาหารตามรายการเมนูที่กำหนดจนสามารถทำอาหารได้ด้วยตนเองทุกเมนู
  3. สร้างชุมชนปฏิบัติเพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการทำอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ
  4. สร้างเจตคติใหม่ว่าอาหารพืชเป็นหลักนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้วยังทำให้อร่อยน่าทานโดยใช้ต้นทุนต่ำได้ด้วย

สื่อการสอน

วีดีโอสอนการทำอาหารโดยเชฟและนักโภชนาการของเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ พร้อมทั้งคู่มือการทำอาหารแบบออนไลน์ (E-Cookbook) ผู้เรียนจะเปิดดูเมื่อใดก็ได้ ไม่มีกำหนดสิ้นสุด

สิบเมนูแรกมีอะไรบ้าง

1. น้ำเต้าหู้ (ใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน)
2. ขนมปังหน้าถั่วลูกไก่ อโวคาโด้ (ใช้เครื่องปั่น)
3. เทมเป้ ถั่วเหลือง (ใช้ครก)
4. เทมเป้ ถั่ว 5 สี
5. ทอดมันข้าวโพด
6. สลัดโรล น้ำจิ้มซีฟู้ด
7. น้ำพริกเห็ด ผักต้ม
8. การหุงข้าวกล้องให้นิ่ม
9. ผัดฉ่าเทมเป้
10. แกงส้ม

กำหนดเวลาเปิดรับสมัคร

สมัครได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่มีกำหนดปิดรับสมัคร

กำหนดเปิดเรียนและเข้าร่วมกลุ่มได้

ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564

ค่าลงทะเบียนเรียน

คนละ 1200 บาท

วิธีสมัครลงทะเบียนเรียน

1. แอดไลน์ @wellnesswecare ก่อน แล้วแจ้งความประสงค์สมัครเรียนทางไลน์
2. โอนเงินค่าเรียนจำนวน 1,200 บาท เข้ามาตามวิธีที่ระบุในไลน์ แล้วส่งหลักฐานการชำระเงินมาทางไลน์ แล้วทางทีมงานจะแจ้งข้อความ confirm การรับสมัครสำเร็จ

3. แจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อเฟสบุค พร้อมแคปหน้าจอโปรไฟล์เฟสบุคที่ใช้ในการเรียนภายในกลุ่ม แล้วทีมงานจะตอบกลับเพื่อแจ้งขั้นตอนการเข้ากลุ่มเฟสบุค ผ่านลิงค์ https://www.facebook.com/Wellnesswecare/groups/?ref=page_internal
(ชั้นเรียนจะเริ่ม 25 มีค. 64)

………………………………………………..

[อ่านต่อ...]

10 มีนาคม 2564

กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเอ็นไซม์กล้ามเนื้อ (CK) สูงต่อเนื่องแม้จะหยุดยาลดไขมันไปนานแล้ว

เรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 62 ปี กินยาลดไขมันชื่อ atorvastatin วันละ 20 มก.อยู่ประมาณสามเดือนแล้วมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจึงหยุดยาเอง หลังจากนั้นอีกสามเดือนอาการยังอยู่จึงไปตรวจซ้ำพบว่าเอ็นไซม์ CK สูงถึง 800 หมอบอกว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบแต่ยังไม่ทราบสาเหตุ ผมสงสัยว่าผมหยุดยา atorvastatin ไปตั้งสามเดือนแล้วยังจะเป็นกล้ามเนื้ออักเสบจากยาลดไขมันอยู่ได้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เกิดจากยามันเกิดจากอะไรได้บ้าง และผมควรจะทำอย่างไรต่อไป

………………………………………………..

ตอบครับ

  1. ถามว่ากินยาสะแตตินแล้วปวดกล้ามเนื้อ เอ็นไซม์ CK สูง แต่หยุดยาไปหลายเดือนแล้วทำไมยังปวดอยู่และ CK ไม่ลง มันยังเกิดจากยาได้ไหม ตอบว่าผลของยาลดไขมันกลุ่มสะแตติน (statin) ต่อกล้ามเนื้อนี้มันมีได้ 3 แบบ คือ

แบบที่ 1. อาการทางกล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับสะแตติน (statin-associated muscle symptoms – SAMS) คือกินยาแล้วปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว หรือเจ็บกล้ามเนื้อ ซึ่งพบได้ถึง 60% จากการวิจัยสอบถามผู้เคยใช้ยาสะแตตินทั้งหมด เมื่อหยุดยาสะแตตินไม่กี่สัปดาห์อาการก็จะหายไป

แบบที่ 2. โรคกล้ามเนื้อสลายตัว (rhabdomyolysis) คือมีอาการของกล้ามเนื้อร่วมกับมีเอ็นไซม์ของกล้ามเนื้อ (creatinine kinase – CK ) ในกระแสเลือดสูงผิดปกติ มีโอกาสเกิดขึ้นได้ 0.6-1.2 ต่อหมื่นคนต่อปี ถ้าเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันและวินิจฉัยได้ไม่ทัน อาจทำให้เสียชีวิตจากไตวายและโปตัสเซียมคั่งได้

แบบที่ 3. โรคภูมิคุ้มกันตนเองทำลายกล้ามเนื้อหลังกายใช้ยาสะแตติน (statin-induced necrotizing autoimmune myopathy – SINAM) คือมีอาการของกล้ามเนื้อรุนแรงและ CK สูงทั้งๆที่หยุดยาสะแตตินไปนานแล้วก็ไม่หาย ตรวจเลือดพบมีภูมิคุ้มกันต่อต้าน HMG-CoA และต้องรักษาโดยยากดภูมิคุ้มกันจึงจะดีขึ้น

ดังนั้นของคุณหากจะเกี่ยวกับยาสะแตตินก็เป็นไปได้ คือเป็นแบบที่่ 3 หรือที่เรียกว่า SINAM

2. ถามว่าหากไม่เกี่ยวกับยาสะแตติน ภาวะกล้ามเนื้อลีบลง อ่อนแรง และปวดเมื่อย ร่วมกับมีเอ็นไซม์จากกล้ามเนื้อ(CK) สูงขึ้นในเลือด เกิดจากโรคอะไรได้บ้าง ตอบว่า มันเกิดขึ้นได้จากหลายโรคมากชนิดที่ว่าถือเอาตามที่นักศึกษาแพทย์ท่องจำกลุ่มสาเหตุของโรคทั้งเก้ากลุ่มได้เลย คือ (1) ติดเชื้อ, (2) อักเสบ, (3) บาดเจ็บ, (4) เนื้องอก, (5) เป็นแต่กำเนิด, (6) เกิดจากการเผาผลาญ, (7) ภูมิต้านทาน, (8) ฮอร์โมน, และ (9) โรคจากการรักษา ทั้งหมดเป็นสาเหตุได้หมด

ดังนั้นก่อนการสืบค้นสาเหตุต้องรอให้แน่ใจก่อนว่าการอาการมันมีมากจริงจังหรือเปล่า และที่ว่า CK สูงนี้มันสูงจนมีนัยสำคัญไหม ผมหมายถึงว่าค่าปกติที่ทางแล็บยึดถือกันทั่วไปคือผู้ใหญ่ชาย ไม่เกิน 170 IU/L นั้นมันยังไม่ใช่ค่าที่มีนัยสำคัญ กรณีที่ไม่มีอาการอะไรเลยค่าที่มีนัยสำคัญสำหรับผู้ชายฝรั่งผิวขาวคือเกิน 504 IU/L ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นผู้ชายอเมริกันผิวดำต้องเกิน 1200 IU/L ขึ้นไปจึงจะมีนัยสำคัญ ของคุณที่ว่าสูงถึง 800 นั้นผมเองยังไม่แน่ใจว่ามันมีนัยสำคัญหรือเปล่า เพราะคนไทยเป็นคนผิวสีเหมือนกัน และเราไม่มีข้อมูลว่าค่าปกติของ CK ในคนไทยจริงๆแล้วคือเท่าไร

ผมแนะนำว่าถ้าอาการทางกล้ามเนื้อมาก คุณไปหาหมอทางด้านประสาทวิทยาเพื่อเริ่มการสืบค้นหาสาเหตุเลยก็ได้ แต่ถ้าอาการมันน้อยไม่มีนัยสำคัญ ผมแนะนำให้ใช้นโยบายดูเชิงไปก่อนสามเดือนหกเดือนแล้วเจาะเลือดดู CK ซ้ำ ถ้ามันนิ่งๆหรือมันลดต่ำลงมาก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นก็ค่อยไปสืบค้นหาสาเหตุจริงจัง ซึ่งต้องไปเริ่มที่หมอประสาทวิทยา และหมอเขาก็จะตรวจเลือดปูพรมเพื่อคัดกรองโรคที่อาจเป็นสาเหตุได้ ตรวจไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ (EMG) อาจจะต้องตัดตัวอย่างชิ้นกล้ามเนื้อออกมาตรวจด้วย ถ้าพบสาเหตุก็รักษาไปตามเหตุ แต่มันมีโอกาสสูงมากที่จะไม่พบสาเหตุอะไรเลย ถ้าไม่พบสาเหตุคุณก็ต้องหันมาเน้นที่การทำการฟื้นฟูหรือกายภาพบำบัดตัวเองเพื่อให้ใช้ชีวิตเคลื่อนไหวทำงานอย่างปกติไปให้ได้นานที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Efficacy and tolerability of lovastatin in 459 African-Americans with hypercholesterolemia. Prisant LM, Downton M, Watkins LO, Schnaper H, Bradford RH, Chremos AN, Langendörfer AAm J Cardiol. 1996 Aug 15; 78(4):420-4.
  2. EFNS guidelines on the diagnostic approach to pauci- or asymptomatic hyperCKemia.Kyriakides T, Angelini C, Schaefer J, Sacconi S, Siciliano G, Vilchez JJ, Hilton-Jones D, European Federation of Neurological Societies.Eur J Neurol. 2010 Jun 1; 17(6):767-73.
[อ่านต่อ...]

09 มีนาคม 2564

ตัวอย่างคนเป็นๆที่เปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองจนเอาชนะความผอม ไขมันสูง ลำไส้แปรปรวน นอนไม่หลับ และภูมิแพ้ได้

วันนี้ผมขอลงคำบอกเล่าของผู้ที่ได้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของตัวเองจนเอาชนะความผอม ไขมันสูง ลำไส้แปรปรวน ภูมิแพ้ และนอนไม่หลับ ได้สำเร็จ

……………………………………………..

ชื่อจิ๊บค่ะ อายุ 61 ปี น้ำหนัก 39.5 กก. ส่วนสูง 151 ซม. วัดดัชนีมวลกายได้ 17.3 ต่ำกว่ามาตรฐานต่ำสุดคือ 18.5 โขอยู่ แต่แม้จะผอมก็ยังมีไขมันในเลือดสูง คือ LDL 163 มาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (REBY-17) หมอตรวจแล้วสรุปเรียงปัญหาได้หกอย่างคือ

  1. ดัชนีมวลกายต่ำ
  2. กระดูกพรุน
  3. ลำไส้แปรปรวน
  4. ภูมิแพ้
  5. นอนไม่หลับ (primary insomnia)
  6. ไขมันเลือดสูง

พอกลับจากแค้มป์ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองตามที่เรียนมา การจะปรับเปลี่ยนตัวเองจำเป็นต้องตั้งคำถาม เราต้องมีเป้าหมายว่า ทำไปทำไม กินแพลนท์เบสทำไม ออกกำลังกายทำไม ต้องตอบได้ รู้คำตอบแล้วลงมือทำ อันที่จริง ก็ทำมาบ้างแล้ว คือกินผัก ผลไม้มากๆ เนื้อสัตว์น้อยที่สุด ออกกำลังด้วยการเดินให้ได้ย่างน้อย 10,000 ก้าว ต่อเมื่อไปเข้าแคมป์ พลิกผันโรคด้วยตนเอง RD17 จึงได้รู้ว่า การกินของตนเองไม่ถูกหลัก ทั้งปริมาณ และคุณภาพ การออกกำลังกายก็ เช่นกัน เดิน เกือบทุกวัน วันละประมาณ 40-45 นาที แต่ไม่ได้ฝึกกล้ามเนื้อต่างๆ อย่างที่ สว.ควรฝึก

หลังจาก รับวิทยายุทธจากหมอสันต์ที่แคมป์(8-12ตค.63) ก็เริ่มปรับเปลี่ยนอย่างเอาจริง

การกิน

1) กินถั่วต่างๆในมื้ออาหารให้ได้สารพัดถั่ว ให้ครบทุกมื้อ หาซื้อมาเรียงใส่ขวดไว้ จะกินถั่วชนิดใดบ้างก็นำออกมาแช่น้ำ 24 ชม. แล้วต้ม ใส่ภาชนะเก็บเข้าตู้เย็น ส่วนอาหารว่าง ก็ไม่พ้นถั่วเปลือกแข็ง ไปหามาอบ เก็บใส่ขวด ตักกินแทนขนม (หากถั่วแข็งๆจะส่งผลต่อฟัน ควรบดให้ละเอียด) อาจมีอย่างอื่นบ้าง แต่หลักๆคือถั่วเปลือกแข็ง เรียงไว้บนโต๊ะกินข้าวนะแหละ ตั้งแต่ตั้งใจกินถั่วต่างๆ ให้ได้ทุกมื้อภูมิแพ้ที่เป็นอยู่หายไป ไม่ปรากฎอาการแอ้มๆที่คอ น้ำมูกแทบไม่มารบกวน อาการลำไส้แปรปรวน(ปวดท้อง)ก็หายไปเลย (3 เดือนแล้ว)

2)ผักสด/ผลไม้ พยายามให้ได้ 3-5 serve/วัน กินผักสดด้วยการทำสลัดเสียเป็นส่วนใหญ่ (ได้ใช้จินตนาการในการจัดผัก หั่นแครอทเพื่อเพิ่มสีสรรให้น่ากิน อีกด้วย มีของเล่นทุกวัน ว่างั้นเหอะ) วันใดน้ำสลัดงาขาวหมดเกลี้ยง ก็แก้ปัญหาโดยนำอัลมอนด์ หรืองาดำทดมาแทน ได้คิดค้น อะไรใหม่ๆไม่จำเจ

  1. ข้าวกล้อง และหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวกล้อง กินเป็นประจำอยู่แล้ว.กินต่อไป จะดีมากหากหุงแล้วแพคใส่ภาชนะเก็บในฟรีซ จะกินเมื่อใด นำออกมาอุ่นได้ทันที

4.กินของทอดให้น้อยที่สุด เจียวไข่ก็ใช้กะทะเทฟรอน หรือผัดผักใส่กระเทียมบุบ จะมีน้ำมันออกมาจากกระเทียม พอไม่ให้ติดกะทะ หรือหากจะทอดใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน แต่ไม่ควรใช้บ่อยนัก เพราะหม้อทอดไร้น้ำมันใช้ความร้อนสูงมาก

การออกกำลัง

1)เนื่องจากมีปัญหากระดูกพรุน หมอสันต์แนะนำให้ออกแดดอย่างน้อย 30 นาที/วัน 5วัน/wk จึงตั้งใจออกไปเดินให้ได้ตามหมอสั่ง และจัดเวลาเดินออกกำลังช่วงเย็นหรือค่ำ เพื่อให้จำนวนก้าวเกิน 10500ก้าว/วัน

2) หมอสันต์แนะนำให้สว. ฝึกสร้างกล้ามเนื้อ จึงพยายามทำ สลับวันระหว่าง กล้ามเนื้อแขน ไหล่ อก หลัง กับกล้ามเนื้อขา น่อง สะโพก

3) และฝึกการออกกำลังการเสริมการทรงตัว โดยมีคัมภีร์เล่มใหญ่ที่หมอแจกให้เป็นแนวทางในการฝึก

การเข้านอน

พยายามให้ตรงเวลา แม้นจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่การตื่นกลางดึกไปเข้าห้องน้ำ แทบไม่ปรากฏ(เมื่อเทียบกับแต่เดิมที่ไม่เคยออกแดด) ออกแดดแล้วทำให้หลับสบาย หลับง่ายขึ้นเป็นเรื่องจริงที่ประสบด้วยตนเอง

ผลลัพธ์

ผ่านมาได้หลายเดือน น้ำหนักคืบขึ้นมาพ้นหลักสี่แล้ว คือ 40.94 กก. ไขมันเลว LDL ลดลงจาก 163 เหลือ 143 อาการนอนไม่หลับดีขึ้นเพราะได้ออกแดด อาการสำไส้แปรปรวนหายสนิท อาการภูมิแพ้​หายสนิท

สำคัญที่…

ทั้งนี้ ทั้งนั้น วินัยสำคัญมาก ใครจะแซว จะล้อ จะทักว่ามากเกินไป (เดิน) หรือไม่กลัวดำ ไม่ต้องสนใจ เป้าหมายเราสำคัญที่สุด ให้สัจจะแม้กับตนเองก็ละทิ้งไม่ได้ ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือมีฉันทะ มีความพอใจในการทำ การปรุง การไปหาซื้อ เตรียมต่าง ทำให้สนุก การออกกำลังก็เช่นกัน อย่างที่ผู้รู้สอน นั่นแหละ คืออยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวว่าทำอะไร สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องลงมือทำเอง แต่จะให้ดี สุขภาพจะดีต้องมีผู้ไกด์ ที่เป็นผู้รู้จริง และเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ขอขอบพระคุณ คุณหมอสันต์ คุณหมอสมวงศ์ ใจยอดศิลป์ ที่จัดแคมป์คุณภาพชั้นเลิศ นี้ค่ะ

จิ๊บ

[อ่านต่อ...]

07 มีนาคม 2564

ผลวิจัยความเสี่ยงขาดวิตามินบี.12 ในคนไทยที่กินมังสวิรัติกับที่กินอาหารทั่วไป

วันนี้ผมขอแปลบทคัดย่อผลวิจัยเรื่องความเสี่ยงขาดวิตามินบี.12 ในคนไทยที่กินอาหารมังสวิรัติกับที่กินอาหารทั่วไปซึ่งผมเป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัยเอง งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Bangkok Medical Journal สาระของงานวิจัยน่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันโรคอันเกิดจากการขาดวิตามินบี.12 ในหมู่ผู้กินอาหารมังสวิรัติแบบไม่กินไข่ไม่กินนม

โปรดสังเกตว่าในงานวิจัยนี้ใช้วิธีวัดโฮโมซีสเตอีนซึ่งเป็นสารที่จะคั่งค้างในร่างกายเมื่อขาดวิตามินบี.12 เป็นตัวชี้วัดแทนการวัดค่าวิตามินบี.12 โดยตรง เนื่องจากค่าโฮโมซีสเตอีนมีความไวในการตรวจคัดกรองภาวะขาดวิตามินบี 12. (95.6%) มากกว่าการวัดตัววิตามินบี.12 โดยตรง (50%) เพราะตัววิตามินบี.12 มีโมเลกุลชนิดที่ไม่ออกฤทธิ์ที่ทำให้เกิดผลลบเทียมได้มาก

อนึ่ง ก่อนอ่านงานวิจัยผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมนิดหน่อยว่าโรคขาดวิตามินบี. 12 แสดงอาการผิดปกติบนร่างกายได้ 3 แบบใหญ่ๆคือ

(1) เป็นโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงโต (megaloblastic anemia)

(2) เป็นโรคเกี่ยวกับความเสื่อมหรือการอักเสบของระบบประสาทและสมอง รวมทั้งโรคปลายประสาทอักเสบและโรคสมองเสื่อม

(3) เป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งรวมถึงหลอดเลือดสมองและหลอดเลือดหัวใจด้วย อันสืบเนื่องจากการคั่งของสารโฮโมซีสเตอีน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอิสระต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงตีบแข็ง

(คำแปล) บทคัดย่อ

วัตถุประสงค์:

เพื่อตรวจดูสถานะของวิตามินบี.12 โดยอาศัยการวัดระดับโฮโมซีสเตอีนในเลือดในคนไทยผู้ใหญ่สามกลุ่ม แต่ละกลุ่มจำนวน 100 คน คือ กลุ่มที่ 1. คนไทยที่กินอาหารทั่วไปซึ่งไม่ใช่มังสวิรัติ กลุ่มที่ 2. คนไทยที่กินอาหารมังสวิรัติชนิดไม่กินไข่ไม่กินนม (vegan) กลุ่มที่ 3 คนไทยที่กินอาหารมังสวิรัติไม่กินไข่ไม่กินนมและเป็นผู้มีความเสี่ยงขาดวิตามินบี.12 สูงคือกินมังสวิรัติมาเกิน 20 ปี หรืออายุเกิน 64 ปี หรือมีอาการหรืออาการแสดงที่สงสัยว่าเกิดจากการขาดวิตามินบี.12

ระเบียบวิธีวิจัย:

งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณาแบบตัดขวาง (descriptive cross sectional study) เพื่อตรวจดูระดับโฮโมซีสเตอีนในคนไทยที่กินอาหารทั่วไปและอาหารมังสะวิรัติรวม 300 คน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 โดยใช้เทคนิคทางห้องปฏิบัติการ chemiluminescent microparticle immunoassay (CMIA) โดยใช้เครื่องตรวจ Architec machine เมื่อได้ผลระดับโฮโมซีสเตอีนแล้วก็เอาของแต่ละกลุ่มมาเปรียบเทียบกัน

ผลการวิจัย:

มีอาสาสมัครคนไทยวัยผู้ใหญ่เข้าร่วมการวิจัย 300 คน (เป็นชาย 105 คน เป็นหญิง 195 คน) ในจำนวนนี้ 100 คนเป็นผู้กินอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่มังสวิรัติ อีก 100 คนเป็นผู้กินอาหารมังสวิรัติ อีก 100 คนเป็นผู้กินอาหารมังสวิรัติที่มีความเสี่ยงขาดวิตามินบี.12 สูงร่วมด้วย พบว่าในจำนวน 100 คนที่เป็นผู้กินอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่มังสวิรัตินั้น พบผู้มีระดับโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูงผิดปกติ (มากกว่า 15.4 Umol/L) เพียง 1 คน (1%) ขณะที่ในจำนวน 100 คนของไทยที่กินอาหารมังสวิรัติชนิดไม่กินไข่ไม่กินนม พบผู้มีระดับโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูงผิดปกติ 52 คน (52%) และในจำนวน 100 คนของคนไทยที่กินอาหารมังสวิรัติไม่กินไข่ไม่กินนมที่เป็นผู้มีความเสี่ยงขาดวิตามินบี.12 อยู่แล้วด้วย พบผู้มีระดับโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูงผิดปกติ 70 คน (70%)

บทสรุป:

คนไทยวัยผู้ใหญ่ที่กินอาหารมังสวิรัติแบบไม่กินไข่ไม่กินนมมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินบี.12 ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการสะสมของสารโฮโมซีสเตอีนในเลือดสูงกว่าคนไทยที่กินอาหารทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ (p 0.001) คณะผู้วิจัยจึงแนะนำว่าคนไทยวัยผู้ใหญ่ที่กินอาหารมังสวิรัติแบบไม่กินไข่ไม่กินนมควรกินวิตามินบี.12 เสริมอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ขนาดการกินเสริมที่แนะนำโดยสมาคมแพทย์มังสวิรัติอเมริกัน (AVMA) คือ 50-100 ไมโครกรัม ต่อวัน หรือ 500-1000 ไมโครกรัมต่อสัปดาห์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Chaiyodsilp, MD S, Phuriwattanapong, MD S, Chaiyaphak, MD W, Chaiyodsilp, MD S, Pruisart, MSc P. Determination of Vitamin B12 Deficiency Status in Vegan and Non-Vegan Thais by Assessment of Homocysteine Level. BKK Med J [Internet]. 2021Feb.27 [cited 2021Mar.7];17(1):15-9. Available from: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/bkkmedj/article/view/216161
[อ่านต่อ...]

คุณจะเรียนชีวิตเอาจากอดีตไม่ได้

กราบเรียนคุณหมอสันต์

หนูกำลังตั้งใจเรียนรู้ชีวิตให้ลึกซึ้งจริงจัง ทั้งอ่าน ดู ฟัง และฝึกปฏิบัติจากครูบาอาจารย์สายต่างๆ ตอนนี้เรียน ป.เอกอภิธรรมที่ … ด้วย อ่านบล็อกหมอสันต์ซึ่งหนูถือว่าเป็นพวกไม่มีสายด้วย อิ อิ อยากจะขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากคุณหมอ

…………………………………………………………………

ตอบครับ

คุณเป็นคนมีความรู้สูง แต่เคยมองคอนเซ็พท์ที่คุณยึดมั่นมาตลอดว่ามันไร้สาระบ้างไหม อย่างเช่นปริญญาตรี โท เอก นี่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิงในแง่ของการเรียนรู้ชีวิต แม้ในแง่ของการจะเอาไปหางานทำเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว 80% จะมียกเว้นก็เฉพาะวิชาชีพเฉพาะ อย่าง แพทย์ พยาบาล บัญชี เป็นต้น คุณเรียนรู้อะไรมากมายจากหนังสือ ครูอาจารย์ และจากประสบการณ์ของคุณเอง ผมไม่เถียง แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นล้วนเป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต เป็นเพียงแค่ความทรงจำเก่าๆซึ่งส่วนใหญ่บูดอีกต่างหาก ความรู้อย่างนั้นไม่มีทางทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไปสู่มิติใหม่แบบขุดรากถอนโคนได้หรอก การจะเปลี่ยนชีวิตคุณอย่างขุดรากถอนโคนคุณต้องเรียนจากตัวชีวิตสดๆ เป็นๆ คุณเรียนเอาจากอดีตไม่ได้ คุณต้องเรียนเอาจากการมีชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ เพราะชีวิตที่เดี๋ยวนี้มันมีความสมบูรณ์ในตัวมัน มีทุกอย่างให้คุณเรียนรู้ได้อยู่แล้ว

ความตั้งใจของเราก็ดี ความคิดของเราก็ดี คอนเซ็พท์เรื่องชั่วดีถี่ห่างก็ดี ทัศนคติของเราก็ดี การกระทำของเราก็ดี มีรากเหง้ามาจากการผสมพันธ์กันระหว่างความรู้ตัวกับสำนึกว่าเป็นบุคคล ที่ผมเรียกว่าความรู้ตัวนั้นในภาษาอังกฤษใช้คำว่า consciousness บ้างหรือ awareness บ้าง ไม่มีคำไหนในภาษาไหนสื่อถึงมันได้ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เป็นไร ประเด็นสำคัญคือคุณอย่าไปเข้าใจสลับที่กันว่าชีวิตนี้อะไรเป็นรากกำเนิด อะไรเป็นผลผลิต ยกตัวอย่างเช่นหากคุณทำฟาร์ม ถ้าคุณไพล่ไปเข้าใจว่าผลไม้เป็นต้นกำเนิดให้ตัวมันเองโดยไม่เข้าใจว่าดินเป็นรากกำเนิดของผลไม้ ด้วยความเข้าใจสลับที่กันอย่างนี้แล้วคุณก็จะผลิตผลไม้ให้มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ไหม

ความคิดมีรากกำเนิดมาจากการที่ความรู้ตัวมาสนใจหรือมาให้การยอมรับ “สำนึกว่าเป็นบุคคล” ยอมรับและเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นของจริงที่ประกอบขึ้นจากร่างกาย ความคิด ประวัติความเป็นมา การมีพวก มีสังกัด สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เป็นผู้แบ่งเขตว่านี่คือฉัน นั่นไม่ใช่ฉัน เครื่องมือในการแบ่งเขตก็คืออายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจที่รับรู้ความคิดได้ ตาหูจมูกลิ้นผิวหนังนั้นแบ่งเขตโดยอาศัยการรับรู้เชิงประสาทวิทยา เช่นถ้าหยิกแล้วเจ็บก็เป็นร่างกายของเรา ถ้าหยิกแล้วไม่เจ็บก็ไม่ใช่ร่างกายเรา แต่ความคิดนั้นแบ่งเขตกันไปด้วยจินตนาการซึ่งมักกว้างไกลไม่รู้จะไปจบที่ไหน เช่น ประเทศ ชาติ ศาสนา สีผิว เผ่าพันธ์ สถาบัน ปริญญา พวก ฝ่าย สิทธิความเป็นเจ้าของ ทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน เป็นต้น เมื่อต่างคนต่างมีเขตมีพวก การตีกันเรื่องเขตเรื่องพวกก็ตามมาเพราะเรามองการปกป้องเขตปกป้องพวกว่าเป็นความปลอดภัย (security) หรือเป็นความจำเป็นเพื่อการอยู่รอด (survival) ชีวิตคนเราจึงเสียเวลาไปกับความคิดที่กุขึ้นโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เสียตลอดชีวิตไม่มีโอกาสได้โงหัวเป็นอิสระจากความคิดเลย เป็นเช่นนี้มาแล้วตั้งแต่อดีตนานกี่พันปีไม่รู้

การจะเรียนชีวิตที่ลีกซึ้งลงไปกว่าแค่การจะอยู่รอดพอให้ถึงแก่แล้วตายไปอย่างไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเติมเลยนั้น คุณต้องถอยเข้าไปให้ถึงความรู้ตัว การจะไปตรงนั้นได้คุณต้องเริ่มด้วยการลงมือฝึกปฏิบัติในการทิ้งความคิด จนสามารถหดหรือถอยความสนใจจากอายนะทั้งหกรวมทั้งจากความคิดด้วย เอาความสนใจเข้าไปกบดานนิ่งอยู่ในที่ว่างๆตรงนั้นซึ่งไม่มีอะไรเลย ทิ้งสำนึกว่าเป็นบุคคลเดิมไปเป็นอะไรที่ไม่ใช่อะไรสักอย่าง ไม่ใช่ใครสักคน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเวลา (nobody, no place, no time) จุ่มแช่รออยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็นไม่ว่าจะนานกี่เดือนกี่ปี ความจริงจะใช้คำว่ารอก็ไม่เชิง เพราะตรงนั้นมันก็คือการใช้ชีวิต มันเป็นการใช้ชีวิตแบบสบายๆไม่ร้อนรนอะไร ไม่ต้องรออะไร แค่ไหลไปตามชีวิตที่ดำเนินไป ยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่ยอมให้ความคิดมาชักใบให้เรือเสีย การดำรงอยู่โดยไม่คิดมันเป็นที่ที่จะเกิดการเรียนรู้ชีวิตในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการเรียนรู้ผ่านอายตนะทั้งหกจะรู้ได้ วิธีการเรียนรู้ตรงนั้นไม่ใช่การคิดพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญเอาจากความจำหรือหลักเหตุผล แต่เป็นการเรียนรู้แบบยามปลอดความคิดนิ่งๆนานๆไปแล้วมันจะเกิดรู้ขึ้นมาเองดื้อๆเหมือนความรู้ในรูปแบบที่ใช้ภาษาอธิบายไม่ได้ถูกดาวน์โหลดลงมาจากท้องฟ้า จะเรียกว่าปัญญาญาณ หรือญาณทัศนะ ก็ได้ นี่จึงจะเป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้ชีวิตที่แท้จริง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 มีนาคม 2564

้เรื่องถั่วเหลืองกับสมองเสื่อม ความเข้าใจผิดที่เกิดจากการไม่เทียบเคียงชั้นของหลักฐาน

มีจดหมายสองสามฉบับมารอให้ผม “เม้นท์” ที่มีแพทย์ท่านหนึ่งให้ความรู้ประชาชนผ่านรายการโทรทัศน์ว่าถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อม คือคนที่พูดให้ชาวบ้านงุนงงก็เป็นแพทย์ ชาวบ้านที่ฟังแล้วงุนงงส่วนหนึ่งก็เป็นแพทย์ เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากทั้งสองฝ่ายมีความเจนจัดในการแบ่งชั้นความน่าเชื่อถือของหลักฐานวิทยาศาสตร์แล้วเอาหลักนั้นมากลั่นกรองข้อมูลในเน็ทว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเป็นข้อสันนิษฐาน ตราบใดที่ผู้บริโภคยังใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์เองไม่เป็น ตราบนั้นคนพูดให้คนงงเพื่อขายของก็จะยังมีไม่เลิก ทางแก้ปัญหานี้ไม่ใช่ใครว่าอะไรให้งุนงงมาทีก็มาคนนั้นคนนี้เม้นท์ที แต่อยู่ที่การที่ผู้บริโภคทุกคนรู้วิธีกลั่นกรองชั้นของหลักฐานวิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง ซึ่งผมเขียนบทความนี้ด้วยจุดประสงค์นี้

ประเด็นที่ 1. เรื่องเล่าและความเห็นผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ คำพูดที่ว่า “จังหวัดไหนมีโรงเจมาก จังหวัดนั้นผู้ป่วยพาร์คินสันสูง” นี่จัดเป็นเรื่องเล่า (anecdote) หรืออย่างดีหากคนพูดมีคุณวุฒิมากก็จัดเป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าหรือเป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญล้วนไม่นับเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์เลยไม่ว่าชั้นสูงหรือชั้นต่ำ คือมองจากมุมของวิทยาศาสตร์แล้วถือว่าไม่มีความน่าเชื่อถือเลย

ประเด็นที่ 2. การก๊อปลิ้งค์อินเตอร์เน็ทแปะไว้ท้ายข้อความ ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์ สมัย่ก่อนการเขียนอะไรมั่วๆแต่อยากให้คนเชื่อก็แค่พูดว่า “มีงานวิจัยว่า…” แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว แต่สมัยนี้จะให้หนักแน่นต้องก๊อปลิ้งค์แยะๆแปะไว้ท้ายบทความ เป็นที่รู้กันว่าคนอ่านเขาไม่ตามไปดูลิงค์พวกนั้นหรอก หากตามไปก็เจอแต่ขยะซึ่งคนทั่วไปแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นขยะอะไรเป็นของจริง

เหตุที่วิธีแปะลิ้งค์ไว้ท้ายบทความสามารถหลอกคนได้ว่าเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ก็เพราะคนทั่วไปยังไม่รู้ว่าลิงค์เหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์เลย เหมือนบ้านเลขที่ไม่ได้บอกอะไรเลยว่าบ้านใครเป็นบ้านคนดีบ้านคนชั่ว ต้องรอจนคนทั่วไปรู้ความจริงข้อนี้ การแปะลิ้งค์หลอกคนจึงจะหมดไป

หลักฐานวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพที่แท้จริงไม่อ้างด้วยวิธีแปะลิ้งค์ เพราะหลักฐานเหล่านั้นต้องตีพิมพ์ไว้ในวารสารการแพทย์มาตรฐานซึ่งมีรายชื่อวารสารเหล่านั้นเรียงไว้แล้วในดัชนีชื่อ index medicus การอ้างอิงถึง (citation)งานวิจัยเหล่านั้นต้องมีวิธีอ้างอิงที่เป็นมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเพื่อให้ผู้อ่านตามไปเปิดเอกสารอ่านเอาเองได้ ซึ่งต้องประกอบด้วยการแจ้งชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อหัวเรื่องการวิจัย ชื่อวารสารที่ตีพิมพ์ ปีที่ตีพิมพ์ เลขที่เล่ม (volume) ของวารสาร และเลขหน้าซึ่งงานวิจัยนั้นตีพิมพ์ว่าเริ่มจากหน้าไหนไปจบที่หน้าไหน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านตามไปอ่านได้สะดวก ท่านดูตัวอย่างการอ้างอิงที่ถูกต้องจากท้ายบทความนี้ก็ได้

ประเด็นที่ 3. งานวิจัยในห้องทดลองหรือในสัตว์เป็นหลักฐานระดับต่ำ ไม่ใช่หลักฐานที่จะนำมาใช้ในคนได้ทันที ยกตัวอย่างเช่นการบอกว่าถั่วเหลืองมีโปรตีนบางชนิดซึ่งลดการทำงานของเอ็นไซม์บางชนิดเช่น trypsin นี่เป็นข้อมูลจากห้องทดลอง และเป็นธรรมดาตามธรรมชาติที่โมเลกุลโปรตีนต่างชนิดกันเมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วก็จะบล็อคฤทธิ์กันบ้าง จะเสริมฤทธิ์กันบ้าง แต่ประเด็นคือข้อมูลจากห้องทดลองที่ทางการแพทย์เรียกว่า in vitro นั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในร่างกายคนซึ่งทางแพทย์เรียกว่า in vivo หลักฐานจากห้องทดลองจึงเป็นหลักฐานระดับต่ำที่จะเอาไปใช้กับร่างกายคนไม่ได้ เพราะในร่างกายคนมันมีความซับซ้อนมีโมเลกุลเกี่ยวข้องเป็นหมื่นๆโมเลกุลจะเอาผลวิจัยในห้องทดลองซึ่งทำกับสองสามโมเลกุลและมีปัจจัยกวนน้อยมากไปใช้ตรงๆไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้วงการแพทย์จึงให้หลักฐานจากห้องทดลองเป็นหลักฐานระดับต่ำ

ประเด็นที่ 4. งานวิจัยในคนเองก็มีหลายระดับชั้นความน่าเชื่อถือ

งานวิจัยในคนเป็นหลักฐานระดับที่วงการแพทย์นำมาใช้ แต่ว่างานวิจัยในคนก็มีหลายระดับ ระดับที่วงการแพทย์ยอมรับทันทีคือการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่งานวิจัยที่อ้างกันในอินเตอร์เน็ทเป็นงานวิจัยระดับนี้น้อยกว่า 1% งานวิจัยระดับนี้ต้องไปอ่านเอาจากวารสารการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเพราะงานวิจัยดีๆจะไปตีพิมพ์กันที่ตรงนั้น งานวิจัยที่เชื่อถือได้รองลงมาคือการวิจัยแบบแบ่งกลุ่มคนเป็นสองกลุ่มโดยไม่ได้สุ่มตัวอย่างในการแบ่งกลุ่ม แล้ววิจัยเปรียบเทียบกันแบบติดตามดูไปในอนาคต (prospective cohort) ส่วนงานวิจัยในคนที่ถือเป็นหลักฐานต่ำสุดคือการวิจัยเชิงระบาดวิทยา (epidermiologic) หรือวิจัยแบบตัดขวาง (cross section) หรือย้อนดูข้อมูลในอดีต (retrospective) ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกัน (match case control) หรือไม่เปรียบเทียบกัน (case series) ก็ตาม

ประเด็นที่ 5. ระเบียบวิธีวิจัยของแต่ละงานวิจัยก็เป็นตัวบ่งบอกความน่าเชื่อถือ

ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยของอินโดนีเซียที่มักมีผู้อ้างเป็นหลักฐานว่าเต้าหู้และถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อมที่ถูกอ้างถึงในรายการโทรทัศน์ที่คุณส่งมานี้ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบตัดขวาง (cross section) ออกแบบสอบถามให้คนแก่ 719 คนกรอกคำตอบว่าวันๆกินเต้าหู้เท่าไหร่กินเทมเป้เท่าไหร่ แล้วให้ทุกคนทำโจทย์ทดสอบการจำคำ (word learning test) แล้วสรุปผลวิจัยออกมาว่าคนที่กินเต้าหู้มากทำคะแนนจำคำได้น้อย แต่คนที่กินเทมเป้มาก ทำคะแนนจำคำได้มาก แต่คนที่จะขายเนื้อสัตว์ก็เอางานวิจัยนี้มาเผยแพร่ว่าเต้าหู้ซึ่งเป็นถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อม ไม่พูดสักคำว่าเทมเป้ (ซึ่งก็เป็นถั่วเหลืองเหมือนกัน) ทำให้สมองดี ที่ผมเล่ามาตัวอย่างเดียวนี้มันมีหลายประเด็นย่อยมาก ผมจะยกตัวอย่างประเด็นย่อยเหล่านั้นให้ท่านลองใช้ดุลพินิจตามนะ

(1) ระเบียบวิธีการวิจัยซึ่งเป็นการวิจัยแบบตัดขวางคือสำรวจวันเดียวจบแล้วรายงานเลย จะไปบอกได้อย่างไรว่าอะไรทำให้เกิดอะไร อย่างดีก็บอกได้แต่ว่าอะไรพบร่วมกับอะไรบ่อย แต่จะเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอย่างไรนั้นบอกไม่ได้ดอก

(2) การวิจัยออกแบบสอบถามถามข้อมูลย้อนหลังไปหาอดีต (retrospective) คำตอบที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือต่ำกว่าการวิจัยแบบตามไปดูข้างหน้า (prospective) เพราะทุกคนก็จะนั่งเทียนตอบเรื่องเก่าๆผิดบ้างถูกบ้างเท่าที่ความจำหรืออคติในใจตัวเองจะอำนวย

(3) การวิจัยแบบ cross section นี้เรียกอีกอย่างว่าเป็นการวิจัยเชิงระบาดวิทยา ซึ่งปกติจะทำกับคนจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนหรือเป็นล้านคน แต่งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาแต่ทำกับคนแค่ 719 คนเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเมืองไทยก็ยังไม่ถึงครึ่งหมู่บ้านเลย แล้วจะไปสรุปว่าข้อมูลเชิงระบาดวิทยาเล็กๆแค่นี้จะมีผลแบบเดียวกันในคนหมู่มากเป็นแสนเป็นล้านได้อย่างไร

(4) การทดสอบความจำด้วยวิธี word learning test หากจะใช้ติดตามดูความจำของตัวเองละก็พอได้ แต่ไม่ใช่วิธีเปรียบเทียบคนหลายคนว่าใครเป็นสมองเสื่อมมากกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่นหากคนหนึ่งเป็นครูเกษียณ อีกคนเป็นชาวนาเกษียณ ให้สอบจำคำแข่งกันครั้งเดียวสองคนนี้จำคำได้ไม่เท่ากันดอกเพราะรู้จักคำมาไม่เท่ากันแต่แรกแล้ว ผลการทดสอบแบบนี้จะเอาไปบอกว่าสองคนนี้สมองเสื่อมต่างกันได้อย่างไร

(5) อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตเทมเป้นะ ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนเต้าหู้

(ุ6) ประเด็นการจับผลวิจัยไปกระเดียดเพื่อขายสินค้า ท่านที่เคยได้ยินเกี่ยวกับงานวิจัยนี้มาเลาๆจะจับความได้แต่ว่าเต้าหู้และถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อม ไม่ระแคะระคายว่างานวิจัยนี้บอกด้วยว่าเทมเป้ซึ่งก็เป็นถั่วเหลืองเหมือนกันทำให้สมองดี เพราะคนเอางานวิจัยนี้มาเผยแพร่ถึงหูท่านส่วนใหญ่เป็นพวกจะขายเนื้อสัตว์ ไม่ใช่พวกจะขายเทมเป้ เขาก็จะแพล็มให้ท่านเห็นแต่ส่วนที่จะทำให้ท่านเลิกกินถั่วเหลืองไปกินเนื้อสัตว์ ส่วนอื่นที่จะทำให้เขาขายเนื้อสัตว์ไม่ได้เขาก็ไม่พูด

เห็นไหมครับ แค่งานวิจัยเล็กๆกระจอกๆงานเดียวก็ยังมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมากมาย งานวิจัยขนาดใหญ่ที่บริษัทใหญ่ลงทุนทำเป็นร้อยๆล้านเหรียญจะยิ่งมีประเด็นซุกซ่อนมากแค่ไหนท่านคงนึกภาพออก

ประเด็นที่ 6. การคาดการณ์ (extrapolation) ไม่ใช่หลักฐานวิทยาศาสตร์

extrapolation หมายถึงการใช้วิธีคิดแบบตรรกะต่อจากผลวิจัยกลุ่มประชากรหนึ่ง แล้วสรุปว่าความจริงน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้กับอีกกลุ่มประชากรหนึ่ง หรือการคิดคาดการณ์ดื้อๆโดยไม่มีการวิจัยในประชากรรองรับเลย ยกตัวอย่างเช่นการพูดว่าถั่วเหลืองระงับเอ็นไซม์ทริปซิน การขาดเอ็นไซม์ทริปซินทำให้ขาดโปรตีน การขาดโปรตีนทำให้สมองเสื่อม ดังนั้นการกินถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อม อย่างนี้เป็นตัวอย่างของการคาดการณ์แบบ extrapolation โดยหยิบเอาข้อสรุปหลายๆท่อนจากหลายๆทางมาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราว ซึ่งวงการแพทย์ไม่ได้ถือว่าเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์

อธิบายแบบบ้านๆก็คือสมมุติว่าผมพูดว่า การฆ่าแมวนี่บาปเท่ากับการฆ่าพระอรหันต์เลยนะ ดังนั้นการฆ่าพระสักองค์หนึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะบาปเท่ากับการฆ่าแมวตัวเดียวเอง มัันฟังขึ้นไหม การใช้ตรรกะเอาเรื่องมาต่อกันมันเป็นการ “มะโน” เอาเองทั้งนั้น แต่เมื่อพูดแบบนี้แต่ใส่ศัพท์แสงทางวิทยาศาสตร์เข้าไปคนฟังไม่รู้เท่าทันนึกว่าเป็นผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การที่คนหลอกง่ายทำให้มีการหากินโดยสร้างเรื่องราวปะติดปะต่อพฤติการณ์ของโมเลกุลต่างๆในห้องทดลอง เอาไปเชื่อมโยงกับความรู้ทางกายวิภาคว่าร่างกายส่วนไหนมีโมเลกุลอะไรอยู่มาก แล้วก็เล่าเรื่องเป็นตุเป็นตะเพื่อขายสินค้าบำรุงร่างกายส่วนนั้นโดยใช้ศัพท์แสงทางการแพทย์ชักจูง บอกชื่อโมเลกุลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ขายสินค้าได้จริงๆเสียด้วย

ประเด็นที่ 7. งานวิจัยส่วนใหญ่มีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง

เรื่องนี้ผมขออนุญาตไม่พูดมากเพราะพูดไปเดี๋ยวผมเองจะเจ็บตัว แต่ผมยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะเคยนั่งเป็นคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเอางานวิจัยมาออกคำแนะนำให้กับสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) อยู่ช่วงหนึ่ง ได้รู้เช่นเห็นชาติเบื้องหลังของการออกเงินสนับสนุนการทำวิจัยแต่ละงานเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าด้วยตาตัวเองมาแล้วอย่างชัดแจ้ง จึงยืนยันกับท่านได้เต็มปากเต็มคำว่าผลประโยชน์เบื้องหลังมันมีจริง

กล่าวโดยสรุป

บทความนี้ผมเน้นให้ท่านสนใจการแบ่งชั้นความน่าเชื่อถือของหลักฐานวิทยาศาสตร์แล้วให้ท่านเอาไปวินิจฉัยบทความบนอินเตอร์เน็ทด้วยตัวท่านเอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปหาคนมาเม้นท์แบไต๋บทความส่งเสริมการขายสินค้าได้หมด อีกอย่างหนึ่ง การขยันเม้นท์ก็จะทำให้คนเม้นท์อายุสั้นด้วย หิ หิ

ส่วนท่านที่อุตส่าห์อ่านมาจนจบเพื่อจะดูว่าถั่วเหลืองทำให้สมองเสื่อมจริงหรือเปล่า ผมสรุปให้สั้นๆว่าในภาพใหญ่ของหลักฐานวิทยาศาสตร์หากนับรวมกันทั้งหมดถึงวันนี้ ซึ่งทราบจากการวิจัยแบบยำรวมข้อมูลจากทุกงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ที่ตีพิมพ์ไว้แต่อดีตมาจนถึงปี 2020 งานวิจัยรวมข้อมูลนี้ซึ่งตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Nutrition Review ถือว่าเป็นหลักฐานระดับสูงสุดและดีที่สุดที่วงการแพทย์มีตอนนี้ สรุปได้ว่าการกินถั่วเหลืองมีความสัมพันธ์กับการมีความจำดีขึ้นครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Hogervorst E, Sadjimim T, Yesufu A, Kreager P, Rahardjo TB. High tofu intake is associated with worse memory in elderly Indonesian men and women. Dement Geriatr Cogn Disord. 2008;26(1):50-7. doi: 10.1159/000141484. Epub 2008 Jun 27. PMID: 18583909.
  2. Cui C, Birru RL, Snitz BE, Ihara M, Kakuta C, Lopresti BJ, Aizenstein HJ, Lopez OL, Mathis CA, Miyamoto Y, Kuller LH, Sekikawa A. Effects of soy isoflavones on cognitive function: a systematic review and meta-analysis of randomized controlled trials. Nutr Rev. 2020 Feb 1;78(2):134-144. doi: 10.1093/nutrit/nuz050. PMID: 31504836; PMCID: PMC7808187.

[อ่านต่อ...]