ถึงเวลาจริงก็ได้แต่ชายตามอง To do list

เดือนนี้ผมก็จะเกษียณได้ครบสามปี ผมเพิ่งรู้ว่าผมอาศัยตำแหน่งหน้าที่การงานมากแค่ไหนในการบอกตัวเองว่าผมเป็นใคร พอหลุดจากตรงนั้นแล้ว ผมเคว้งคว้าง กังวล และสงสัยในคุณค่าของตัวเอง คำถามที่ผมเกลียดมากก็คือตอนที่ถูกถามว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ ภรรยาพาผมไปหาหมอ หมอให้ยา mitrazapine มากิน ก็งั้นๆ ผมเคยดื่มเบียร์ประจำ มันช่วยได้บ้าง แต่ก็ต้องพยายามลดลงเพราะความดันสูง ส่วนที่แย่ที่สุดคือผมนอนไม่หลับ บางคืนหลับได้แค่ 2-3 ชั่วโมง ผมลองนั่งสมาธิก็ไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมา พยายามตั้งใจจะทำอะไรตั้งหลายอย่าง เขียนไว้เป็น To do list ยาวเป็นหางว่าว แต่ถึงเวลาจริงก็ได้แต่ชายตามอง To do list แล้วหันไปจิ้มคอมเล่นก๊อกๆแก๊กๆต่อไปตามเดิม มันไม่มีแรงไม่มีอารมณ์จะทำอะไร บางแว้บก็มีความรู้สึกอยากตายขึ้นมา ผมไม่แน่ใจว่าเป็นความอยากของผมจริงๆหรือเปล่า ยังสงสัยอยู่
ขอคำแนะนำครับ

..........................................

ตอบครับ

     ผมจะบอกให้ว่าคนเกษียณเจออย่างนี้เกือบทุกคน เป็นกลุ่มอาการที่ผมเรียกว่า

     "เป็นเสือ..ที่กลัวกรงถูกเปิด" 

     คนป่วยโรคนี้มีสองระดับนะ ระดับที่หนึ่ง เป็นพวกที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในกรง คิดว่าตัวเองมีอิสระเสรี เช่นคนชอบเที่ยวผู้หญิงชอบมีเซ็กซ์พร่ำเพรื่อกับคนไม่เลือกหน้า ชอบดื่มแอลกอฮอล์หัวราน้ำ ชอบเสาะหากินอาหารอร่อยๆแม้จะอ้วนหรือไขมันในเลือดสูงอยู่หรือรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ก็หัวปักหัวปำไปทางที่ชอบนั้นด้วยความภาคภูมิใจว่าตูข้านี้มีอิสระเสรีนิวฟรีด้อม อยากทำอะไรก็ได้ทำอย่างใจไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งสิ้น แต่หารู้ไม่ว่าที่ตนเองคิดว่ามันเป็นเสรีภาพนั้นแท้จริงมันเป็นการถูกจองจำอยู่ในกรงของความย้ำคิด (compulsiveness) คือเป็นความคิดวนลูปซ้ำซากอยู่ในหัว เมื่อความคิดนี้วนมาเมื่อใด ตัวเองก็เหมือนทาสที่ต้องวิ่งโร่ไปทำตามนั้น ออกจากความคิดซ้ำซากนี้ไปไม่พ้น แบบว่า

     "..ถึงโลกกว้างใหญ่
     ผมก็ไปไม่พ้น
     สุดแผ่นดิน สิ้นกระแสชล
     ไม่พ้นคุณ
     ทุกลมหายใจ ทุกอุทัยโลกหมุน
     ต้องซมเซา เฝ้าคิดถึงคุณ วุ่นวายใจ..."

     คือแบบว่าหากออกไปจากวงจรย้ำคิดย้ำทำนี้ ก็จะลงแดง ซึ่งก็จะทนไม่ได้ต้องกลับเข้ามาใหม่ ออกไปอยู่นอกกรงไม่ได้ ต้องอยู่แต่ในกรง

     ระดับที่สอง ก็คือคนทำงานที่เกษียณออกมาอย่างคุณนี้ คุณรู้ดีแล้วว่าการทำงานคือการจองจำให้คุณอยู่กับเวลาทำงาน ความรับผิดชอบ ยอดขาย ผลงาน หรืออะไรก็ตาม คุณต้องยอมทำอย่างซ้ำซากอยู่กับงานนั้นเพื่อให้ได้เงินได้เกียรติหรือได้อะไรก็แล้วแต่ พอได้เกษียณคุณดีใจว่าจะได้หลุดเป็นอิสระจากการจองจำ แต่ในความเป็นจริงนั้นการจองจำจากการทำงานนั้นมันจิ๊บจ๊อย แต่การทำงานได้จองจำคุณในอีกรูปแบบหนึ่งคือได้สร้างความคิดซ้ำซากขึ้นในหัวคุณว่าคุณนี้มีตัวตน (identity) สิ่งแวดล้อมของการทำงานเช่น ตำแหน่ง ประสบการณ์ คุณวุฒิ ปริญญา หน้าที่ ลูกน้อง ก็ล้วนเป็นเครื่องคอยตอกย้ำให้คุณหมุนวนอยู่ในสำนึกว่าคุณเป็นบุคคลนั้นโดยคุณไม่รู้ตัว พอเกษียณปุ๊บ คุณหลุดจากตรงนั้นพลั้วะ คุณก็ลงแดง เพราะสำนึกว่าเป็นบุคคลมันก็เป็นกรงแห่งความซ้ำซากหรือ compulsiveness ที่บีบบังคับคุณเหมือนก้บที่บีบคนติดเหล้าให้ไปดื่มเหล้าทุกวันนั่นแหละ ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าไร้ความหมายแท้จริงแล้วก็คือการดิ้นรนของสำนึกว่าเป็นบุคคลที่จะกลับเข้าไปสู่ความซ้ำซากเดิมๆใหม่ เพราะตัวตนมันอยู่ไม่ได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นใครสักคนที่มีคุณค่ามีความหมาย

     คุณอายุขนาดนี้แล้ว เวลาในชีวิตคุณเหลืออยู่ไม่มาก หมดเวลาที่จะวิ่งตามความย้ำคิดหรือ compulsiveness ในหัวอย่างไม่รู้จะไปสิ้นสุดกันที่ไหนแล้ว นี่เป็นเวลาที่คุณจะต้องหันมาเผชิญกับอาการลงแดงของสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณอย่างตรงๆ ว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นแค่ความคิด รวมทั้งความคิดว่าตายเสียตอนนี้เลยจะดีไหม นั่นก็เป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณนะ เพียงแค่มันโผล่ขึ้นมาในจิตสำนึกรับรู้ของคุณ ทำให้คุณเข้าใจผิดว่ามันเป็นคุณ คุณคือจิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัว แต่ความคิดก็คือความคิด ไม่ว่าจะมาจากความจำจากอดีตหรือมาจากการรู้เห็นเรื่องนอกตัวในปัจจุบัน อย่างเช่นการได้ยินคนทักว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนแล้วหงุดหงิด นั่นก็คือความคิด รากของความคิดทั้งหมดสืบสาวลงไปแล้วมันล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน คือจากสำนึกว่าเป็นบุคคล ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสิ่งถูกสมมุติขึ้นและตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องปล่อยให้มันแตกสลายได้แล้ว ทางเลือกของคุณมีอยู่ทางเดียว คือวางความคิดลงไปเสีย มาอยู่กับความรู้ตัว แล้วหันมาใช้ชีวิตแบบอิสระอย่างแท้จริง คืออิสระจากความย้ำคิดหรือ compulsiveness ในหัวของคุณ คุณถึงจะได้มีชีวิตเสรี คืออยู่เพื่อใช้ชีวิตที่เหลือให้เต็มศักยภาพที่เรามี โดยไม่เกี่ยวกับสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือตัวตนของเรา มันจะเป็นชีวิตที่มีแต่เดี๋ยวนี้ เพราะการใช้ชีวิตเขาใช้กันที่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่ใครจะไปใช้ชีวิตในอดีตหรือในอนาคต

    จากจุดนี้ไปคุณควรจะทำอย่างไรต่อ เบื้องต้นมันเป็นเรื่องการฝึกปฏิบัติฝึกใช้เครื่องมือในการวางความคิด ในเวลาอันสั้นที่ตอบจดหมายนี้ ผมคงชี้ให้คุณเห็นขั้นตอนปฏิบัติทีละขั้นๆอย่างละเอียดไม่ได้ เอาแค่หัวข้อบุลเล็ทก่อนก็พอนะ เครื่องมือที่คุณจะต้องใช้มี

(1) ความสนใจของคุณเอง หรือสติ (attention)

(2) การรู้จักรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan)

(3) การผ่อนคลายร่างกาย (relaxation)

(4) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นตัวกระตือรือล้นที่จะใช้ชีวิต ณ เดี๋ยวนี้อยู่ตลอดเวลา (motivation)

(5) การฝึกสมาธิ (meditation) ซึ่งก็คือการหัดจดจ่อความสนใจอยู่ที่อะไรสักอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว สนใจมันให้ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป 

     เครื่องมือเหล่านี้ต้องรู้จักหยิบและสลับสับหว่างมาใช้ในจังหวะอันควร เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ปัญญาญาณที่จะสาธิตสอนแสดงให้คุณเห็นทุกอย่างในชีวิตตามที่มันเป็นจะโผล่มาสอนคุณต่อเอง ถึงจุดนั้นคุณจึงจะรู้ว่าศักยภาพของคุณที่เกิดมาเป็นคนนี้มีอยู่แค่ไหน และคุณควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นการใช้ชีวิตให้เต็มศัยกภาพที่คุณมี ทั้งหมดนี้เป็นแค่หัวข้อ ในรายละเอียดนั้นผมได้ตอบจดหมายเกี่ยวกับเรื่องวิธีวางความคิดเพื่อมาอยู่กับความรู้ตัวไปแล้วแยะมาก ให้คุณค่อยๆหาอ่านย้อนหลังเอาเองในบล็อกนี้แล้วลงมือทำอย่างจริงจัง

    พูดถึงการหมดสิ้นแรงขับเคลื่อน ไร้พลังขับดัน ได้แต่ชายตามองแผนการทำงานที่บรรจงเขียนว่าจะทำอะไรบ้าง รับรู้ รู้แล้ว แต่..ไม่ทำ หมดแรงกระตุ้นตัวเอง พูดแบบภาษาทั่วไปก็คือการขาดความบันดาลใจ lack of motivation การฝึกวางความคิดด้วยเครื่องมือห้าอย่างข้างต้นจนวางความคิดลบๆที่ผูกพันกับอดีต (ความผิดหวัง) ผูกพันกับอนาคต (ความกลัว) แล้วหันมาใช้ชีวิตที่ปัจจุบันได้สำเร็จ จะเป็นการแก้ปัญหาการขาดความบันดาลใจได้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

     แต่เพื่อเจาะลึกเรื่อง motivation นี้ ผมขอเจาะจงพูดถึงประเด็น "พลัง" นี้หน่อยนะ วิชาแพทย์รู้จักแต่พลังงานที่เซลเผาผลาญอาหารแล้วได้เป็นความร้อนขึ้นมา ที่เรียกว่าแคลอรี่ แต่วิชาแพทย์ไม่รู้ว่าพลังแบบที่เรียกว่าความบันดาลใจนี้หน้าตาเป็นอย่างไร ตรวจวัดได้อย่างไร และมาจากไหน เรื่องที่ผมจะพูดกับคุณจึงเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือหลักวิชาแพทย์ เป็นประสบการณ์ของผมเองที่ได้จากการเอาขี้ปากของคนอื่นมาทดลองปฏิบัติดู อันไหนใช้ได้ผมก็เก็บไว้ใช้ อันไหนใช้การไม่ได้ผมก็ทิ้งไป จึงไม่มีเอกสารอ้างอิงหรืออะไรให้คุณเทียบเคียงได้ดอกว่าประสบการณ์ของผมถูกหรือผิด คุณต้องเอาไปลองปฏิบัติดูเอง หากใช้ได้ก็เก็บไว้ใช้เอง หากใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป อย่างที่ผมทำกับตัวเองมาแล้ว

     คือผมสรุปจากประสบการณ์ของผมเองว่าพลังที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปนี้มันมีสองระดับ ไม่เกี่ยวอะไรกับแคลอรี่ของวิชาแพทย์นะ

     ระดับที่หนึ่ง คือพลังชีวิต ซึ่งภาษาแขกเรียกว่า "ปราณา" ภาษาจีนเรียกว่า "ชี่" เราสัมผัส รับรู้ ทำความคุ้นเคย และดึงมันมาใช้ได้ โดยการถอยความสนใจของเราออกมาจากความคิดมารับรู้ความรู้สึกบนผิวกาย (body scan) สิ่งที่อายตนะบนผิวกายรับรู้ได้เป็นความรู้สึกวูบๆวาบๆจิ๊ดๆจ๊าดๆซู่ๆซ่าๆ นั่นเป็นการรับรู้การมีอยู่ของพลังชีวิตหรือปราณาหรือชี่นี่แหละ การจะใช้พลังนี้คุณต้องทำความคุ้นเคยกับมัน โดยขยันเอาความสนใจของคุณมาสนใจรับรู้มันบ่อยๆทั้งวัน

     ระดับที่สอง คือพลังจากส่วนลึก ตรงนี้ผมถือว่ามันน่าจะตรงกับที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Grace ตรงกับที่ภาษาชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าพลังรักหรือพลังศรัทธา หรือพลังเมตตา หรือพลังจักรวาล ผมถือว่าคำทั้งหมดนี้พูดถึงสิ่งเดียวกันหมด มันไม่ใช่สมบัติของเรา มันคล้ายๆจะเป็นของกลาง แต่มันไหลเข้ามาสู่ตัวเราได้ มาคลุกเคล้าและเสริมสร้างพลังชีวิตได้ และแผ่ออกจากเราไปสู่ชีวิตอื่นได้

     การจะใช้ประโยชน์จากพลังทั้งสองระดับนี้คุณต้องออกไปจากความคิด ไปอยู่กับสมาธิ อยู่กับความรู้ตัว แล้วรับรู้ (feel) ทั้งรับรู้การมีอยู่ของพลังชีวิตด้วยเทคนิค body scan และรับรู้การไหลเข้ามาของพลังจากภายนอกด้วยเทคนิคหายใจเข้าแล้วเปิดรับ (acceptance) ดึงเอาพลังงานจากภายนอกหรือจากส่วนลึกขึ้นมา แล้วอาศัยพลังนี้ปลุกตัวเองให้ตื่นตัว ให้ขยับออกก้าว ก้าวที่หนึ่ง ที่เดี๋ยวนี้ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ได้ให้ไปจดจ่อที่เป้าหมายนะ เป้าหมายเป็นเพียงธงปักไกลโน้นให้เห็นทิศทางว่าเราจะหันหน้าไปทางนี้เดินไปทางนี้ โดยไม่สนใจว่าจะถึงเมื่อไหร่ จะถึงหรือไม่ถึง เพราะถ้าไปสนใจอย่างนั้นก็จะกลายเป็นกลับเข้าไปอยู่ในความคิด ให้แค่ใช้พลังปลุกตัวเองให้ตื่นเพื่อออกก้าวก้าวที่หนึ่ง ที่เดี๋ยวนี้ ก้าวที่หนึ่งก้าวเดียว แล้วก็ก้าวที่หนึ่ง แล้วก็ก้าวที่หนึ่ง คือเดี๋ยวนี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ แล้วก็เดี๋ยวนี้.... นี่แหละคือการใช้ชีวิตที่ปัจจุบันแบบขับดันด้วยพลังชีวิตและพลังรักและศรัทธา ทีละช็อต ทีละช็อต มันจะเป็นชีวิตที่ตื่นตา ตื่นใจ ตื่นเต้น เพราะหนึ่งวินาทีข้างหน้า เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจะโผล่เข้ามาในชีวิต เราตื่นตัว ปลุกตัวเองให้ตื่นเตรียมพร้อม รับรู้มันตามที่มันเป็น แล้วสนองตอบออกไปอย่างสนใจจดจ่อหรืออย่างมีสติ ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีสำนึกว่าเป็นบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีความคิดซ้ำซากแบบว่าเคว้งคว้าง กังวล สงสัยในคุณค่าของตัวเอง ฯลฯ เข้ามาวุ่นวาย เพราะเราไม่ได้เล่นในสนามความคิด เราเล่นในสนามพลังงาน

     อย่าเพิ่งไปพูดถึงการฆ่าตัวตาย จะฆ่าดี ไม่ฆ่าดี เพราะนั่นมันเป็นแค่ความคิด อย่าไปให้ราคาความคิด การให้ราคาหมายความว่าการไปคิดต่อยอด ในทางตรงกันข้าม ให้คุณวางความคิดทุกอย่างลงไปเสีย เพราะมันเป็นแค่ความคิด มันไม่ใช่เรื่องของเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต เดี๋ยวนี้คุณยังไม่ตาย คุณยังตัวเป็นๆอุ่นๆอยู่ คุณก็ใช้ชีวิตที่เดี๋ยวนี้ให้เต็มศักยภาพที่คุณมีก่อนสิ นั่นคือเป้าหมายของการเกิดมามีชีวิตไม่ใช่หรือ คือคนเราเกิดมาเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่ตนเองมี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี (Healthy Life Bible) จะพิมพ์ครั้งที่ 3 แน่นอนแล้ว เชิญสั่งซื้อได้

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67