มัวไปเล่นกับสังหรณ์จากลำไส้ เดี๋ยวก็จะเจอขี้เข้าจริงๆหรอก

เวลาผมตัดสินใจด้วยความรู้สึกลึกๆ หรือ gut feeling ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่อาจารย์หมอสันต์เรียกว่าปัญญาญาณ ผมมักจะถูกต่อต้านโดยคนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานว่าผมตัดสินใจโดยขัดกับหลักการของเหตุและผล และรุมถามผมว่าผมจะรู้ได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของผมถูก ผมควรจะตอบคำถามอย่างไรดีครับ และผมควรจะเชื่อถือและใช้ gut feeling ของผมนำทางต่อไปหรือไม่

........................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าเมื่อตัดสินใจอะไรลงไปโดยขัดกับหลักการของเหตุและผลแล้วทำไมถูกต่อต้านโดยคนอื่น ตอบว่าในการมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้ ถ้าคุณตัดสินใจอะไรที่ขัดกับผลประโยชน์ของคนอื่น คุณถูกต่อต้านแน่ แต่ถ้าคุณตัดสินใจให้เขาได้ผลประโยชน์ เขาจะเห็นด้วยกับคุณ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตรรกะของเหตุและผล และยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาญาณเลย การจะตัดสินใจโดยไม่ให้คนต่อต้าน คุณก็ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ของการประสานผลประโยชน์ให้ลงตัว สมัยผมยังทำงานอยู่ ผมชอบพูดติดตลกว่า

     "รอให้พระเจ้าแผ่นดินพูดก่อน"

     ผมหมายถึงว่าให้แก้ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ก่อน เช่นขึ้นค่าจ้างหรือเพิ่มค่าตอบแทนก่อน แล้วความขัดแย้งเรื่องอื่นค่อยมาตกลงกัน ผมไม่ได้บอกให้คุณเอาอย่างผมนะ แต่ผมแนะนำให้คุณใช้กลยุทธ์ประสานผลประโยชน์เชิงสังคม ทั้งหมดนี้เป็นการใช้เชาว์ปัญญาดุลพินิจตรรกะเหตุผลธรรมดา ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาญาณ

     2. ถามว่าควรขยันใช้สังหรณ์ในใจหรือ gut feeling บ่อยๆไหม ตอบว่าในการดำเนินชีวิตแบบปุถุชนนี้ ไม่มีอะไรเจ๋งกว่าเชาว์ปัญญา (intellect) ตรรกะ การวิเคราะห์ความเป็นเหตุเป็นผลหากใช้อย่างรู้จักใช้ คุณต้องพึ่งสิ่งนี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเสมอ ไม่ใช่เอาแต่พึ่งสังหรณ์จากลำไส้ สังหรณ์จากลำไส้นั้นมันมักจะเป็นของเก๊ อย่าลืมว่าถ้าคุณอ่านประวัติศาสตร์ในอดีต เหตุที่คนเราจะทำสงครามฆ่ากันตายทีละเป็นเบือมักจะเริ่มต้นที่เกิดจากมีใครสักคนไปเชื่อสังหรณ์จากลำไส้หรือความฝันของตัวเองว่าได้พบกับพระเจ้าเข้า แล้วก็เอาความเชื่อนี้ไปก่อสงครามโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองแยกแยะด้วยตรรกะของเหตุและผล

     จริงอยู่ มันมีบางครั้ง บางโอกาส กับปัญหาที่อยู่พ้นวิสัยที่จะได้คำตอบจากการใช้ตรรกะและหลักการเหตุผล แล้วเผอิญคุณอยู่ในสภาวะที่ปลอดความคิด หมายความว่ามีสมาธิอย่างยิ่ง มีแต่ความรู้ตัว ไม่มีความคิด แล้วก็มีอะไรบางอย่างมาเปิดเผยสาธิตสอนแสดง ให้คุณได้เห็นคำตอบของคำถามอย่างชนิดแจ่มแจ้งแดงแจ๋ (clarity) จนคุณไม่เหลือข้อขัดแย้งแม้ในแง่ของตรรกะเลย คุณเห็นด้วยชนิดที่คุณรับรู้ไป เผลอผงกหัวไปด้วยปะหลก ปะหลก ด้วยความเห็นด้วยอย่างยิ่ง โอเค.อย่างนั้นคุณตัดสินใจทำตามได้ กรณีอย่างนั้นเป็นกรณีที่คุณเชื่อปัญญาญาณของคุณได้ แต่ไม่ใช้เอะอะจะดันทุรังความคิดที่ไร้เหตุผลขึ้นมาก็อ้างปัญญาญาณตะพึด

     ปัญญาญาณ (intuition) หรือที่ภาษาพุทธเรียกว่าญาณทัศนะนี้ไม่ใช่จะเป็นของดีทั้งหมดเสมอไปนะครับ ที่เป็นขี้ก็มี (ขอโทษ) ที่ทำให้คนเป็นบ้าไปแล้วก็มาก เราต้องใช้เชาว์ปัญญาและตรรกะในการคิดวินิจฉัยประกบด้วยเสมอ แม้ในคำสอนของศาสนาพุทธเองก็ยังจัดญาณทัศนะว่าเป็นเพียงแค่กระพี้ หมายถึงเปลือกนอกของไม้ ไม่ใช่แก่นไม้ที่ช่างไม้เสาะแสวงหา การจะใช้ประโยชน์จากปัญญาญาณ เราต้องมีเชาว์ปัญญา (intellect) เป็นตัวประกบอยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่เชื่อสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญญาญาณอย่างมืดบอด ปัญญาญาณช่วยพาเราฝ่าข้ามอุปสรรคไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น แต่เราจะต้องมีธงปักไว้ข้างหน้าก่อนแล้วว่าเราจะเดินไปทางไหน จะได้ไม่ถูกปัญญาญาณพากลับหลังหันหรือพาไปผิดทาง เหมือนเช่นที่คนจำนวนมากไปผิดทางเข้ารกเข้าพงแบบไปแล้วไปลับกู่ไม่กลับเลย บ้างไปมัวเหาะเหินเดินอากาศ บ้างไปรับจ๊อบเสกหนังควายเข้าท้องชาวบ้าน อย่างเบาะหน่อยก็รับจ๊อบคนทรงหรือดูหมอ ถ้าหากคุณหวังพึ่งปัญญาญาณ ก็ขอให้หวังพึ่งเฉพาะเรื่องที่อยู่บนเส้นทางที่คุณตั้งใจจะเดินไปอยู่แล้ว และพึ่งเฉพาะตอนที่ตรรกะความคิดวินิจฉัยด้วยเหตุผลทำไม่ได้

     หากเปรียบเทียบกับปัญญาญาณ ตรรกะนั้นทำได้แค่สอนให้เราเข้าใจว่าความคิดเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น แต่ตรรกะไม่สามารถทำให้เราจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยึดมั่นถือมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคล เรื่องที่ลึกซึ้งอย่างนี้ ณ จุดหนึ่งปัญญาญาณอาจโผล่เข้ามาช่วยคุณเปิดเส้นผมที่บังภูเขาให้ได้ หรือบางครั้งปัญญาญาณมันช่วยเสนอทางออกยามคุณคับขันจวนเจียนเอาตัวไม่รอดคิดอะไรไม่ทันให้คุณได้เหมือนเช่นคนที่ไฟไหม้บ้านสามารถแบกหีบสมบัติวิ่งฝ่าความมืดที่มีแต่สิ่งกีดขวางระเกะระกะที่ตามองไม่เห็นออกมาได้ถึงถนนใหญ่ได้โดยไม่บาดเจ็บเลย ผมพูดถึงบางครั้งบางโอกาสเท่านั้นนะ แต่คุณจะหวังอาศัยไหว้วานให้มันช่วยนำทางคุณทุกจังหวะทุกย่างก้าวของชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้ การจะปักธงว่าชีวิตคุณจะมุ่งไปทางไหนและจะก้าวเดินไปอย่างไรคุณต้องอาศัยเชาว์ปัญญาและตรรกะความคิดวินิจฉัยของคุณเอง อย่าเอะอะก็จะอาศัย gut feeling มานำทางชีวิต คุณมัวไปเล่นกับสังหรณ์จากลำไส้มากเกินไปอย่างน้้น เดี๋ยวคุณก็จะเจอขี้เข้าจริงๆหรอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี (Healthy Life Bible) จะพิมพ์ครั้งที่ 3 แน่นอนแล้ว เชิญสั่งซื้อได้

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67