คุณอย่าใช้เวลาอยู่ในบ้านมากเกินไป
เรียนคุณหมอสันต์
ผมกำลังเป็นทุกข์กับลูกสาวที่ติดยาเสพย์ติด พยายามจะช่วยเธอทุกทางแต่ก็ไม่เป็นผล จนผมเองกลายเป็นคนจิตไม่สมประกอบ มักเผลอคิดเสียดายเมื่อครั้งอดีตที่ตัวเองไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ชีวิตมันหดหู่รันทด ทั้งวันผมเอาแต่นั่งคิดเสียจนเกิดความคิดว่าถ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปตลอดชาติก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม ถ้าผมตายไปอะไรมันอาจจะดีขึ้น แต่ก็ยั้งใจอยู่ว่าลูกยังต้องการคนช่วย รบกวนคุณหมอช่วยชี้ทางสว่างว่าผมควรจะช่วยลูกสาวอย่างไรดีครับ
......................................................
ตอบครับ
1. การแก้ปัญหาเรื่องนี้ วาระที่หนึ่งคือคุณกำลังเป็นทุกข์ เมื่อคุณเป็นทุกข์ ต้องแก้ที่คุณ ไม่ใช่ไปแก้ที่ลูกสาว แก้ที่ใจคุณ คือให้คุณวางความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ให้ได้ก่อน สถานะการณ์นอกตัวที่คุณอ้างว่าเป็นสาเหตุคือเรื่องราวในชีวิตของลูกสาวนั้นเอาไว้ก่อน เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และคุณก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ทันที มาลงมือแก้ที่ใจคุณ ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงมันได้ก่อน
2. ขั้นตอนปฏิบันขั้นแรกคือคุณอย่าใช้เวลาอยู่ในบ้านมากเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านเรามีแนวโน้มจะนั่ง เมื่อนั่งเรามีแนวโน้มจะเผลอคิดลำเลิกถึงอดีตอันหม่นหมอง ใช่ มันเป็นแค่ความคิดที่จรมา แต่ทุกครั้งที่มันมา คุณก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วมันก็มาถี่ขึ้นๆจนคุณรู้สึกว่ามันไม่ไปไหนแล้ว จริงอยู่การแก้ปัญหาถาวรคือการฝึกวางความคิด นั่นคุณก็ต้องทำ แต่มันเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนคุณอาจจะรอไม่ได้ คุณต้องมาแก้ปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้าก่อน คืออย่าให้ตัวเองมีเวลาจมอยู่ในความคิดมากเกินไป ออกไปจากบ้าน ไปอยู่นอกบ้านบ้าง ขยันเคลื่อนไหว ขยันพาตัวเองไปอยู่ในสถานะการณ์เฉพาะหน้า ที่ต้องตัดสินใจอะไรที่เดี๋ยวนี้ เช่น ต้องเดิน ต้องปั่น ต้องข้ามถนน ต้องผจญกับสุนัข ต้องซักต้องถาม ต้องพูดคุย
3. ขั้นต่อไปคือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก่อน คุณไปนั่งหวนคิดเสียดายอดีต นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน แต่มันเกิดขึ้นแล้ว โทนโท่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว คุณหวังว่าอนาคตเมื่อคุณตายแล้วลูกสาวน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสภาพที่ลูกสาวเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใจคุณจึงหนีไปอยู่ในอนาคตในรูปของความหวัง การตีอกชกหัวก็เช่นกัน มันคือการไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตราบใดที่คุณยังไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว คุณจะเริ่มการแก้ไขอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะคุณไม่ยอมรับว่าคุณยืนอยู่ที่ตรงไหนคุณจะเริ่มออกก้าวเดินได้อย่างไร ในการจะยอมรับอะไรนี้ ให้ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ท่องคำสำคัญไว้สี่คำ คือ ขอบคุณ, ขอโทษ, ให้อภัย, เมตตา กับทุกๆสิ่ง กับทุกๆคน ถ้ามีแม้แค่บางครั้งที่การมีลูกสาวทำให้คุณมีความสุข คุณขอบคุณเธอ ถ้าคุณทำผิดอะไรกับลูกสาว คุณขอโทษเธอ ถ้าลูกสาวทำอะไรที่คุณมองว่าไม่ดีกับคุณ คุณให้อภัยเธอ ถ้าคุณเป็นทุกข์แทนเธอที่ชีวิตของเธอไม่ดีอย่างที่คุณอยากให้เป็น คุณเผื่อแผ่ความรักและเมตตาของคุณไปยังเธอ เหมือนกับว่าเธอกับคุณลึกลงไปแล้วก็เป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นคนคนเดียวกัน
4. เมื่อคุณยอมรับได้แล้วคุณก็เริ่มวางแผนแก้ไข คุณใช้เวลาวางแผนเรื่องทั้งหมดไม่ว่าแผนนั้นจะยาวกี่ปีหรือเป็นแผนที่ยาวตลอดชีวิตก็ตาม คุณใช้เวลาวางแผนอย่างมากไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แล้วเริ่มลงมือทำตามแผนไปทีละขั้น โดยจดจ่ออยู่กับการลงมือทำ ไม่ไปพะวงถึงผลลัพท์ อย่าไปคาดการณ์ในทางร้ายล่วงหน้าเพื่อให้ตัวเองได้จมอยู่กับความโศกเศร้านั้นไปตลอดเหมือนกับว่าคุณเองได้เสพย์ติดความโศกเศร้านั้นไปเสียแล้ว เลิกมันไม่ได้เสียแล้ว แต่มันไม่จริงที่ว่าเราเสพย์ติดอะไรแล้วเราจะเลิกไม่ได้ เพราะการเสพย์ติดอะไร หรือแนวโน้มที่ใจเราจะคิดถึงอะไร มันเป็นแค่ความคิด เพียงแค่คุณตั้งหลักให้ได้ก่อนว่า "ความคิดไม่ใช่คุณ" คุณก็เลิกมันได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว และถ้าคุณขยันสังเกตเมื่อมันมา ขยันเฝ้าดูมันอย่างผู้สังเกตโดยไม่ไปคิดต่อยอด ในที่สุดความคิดนั้นมันก็จะฝ่อไป คุณก็จะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ แต่ว่าคุณจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมว่าจริงหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ทดลองลงมือทำ
5. เมื่อคุณลงมือทำกิจอะไรไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดถามล่วงหน้าว่าคุณจะทำได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเป้าหมายใหญ่ของคุณไม่ใช่การทำอะไรนอกตัวให้สำเร็จ แต่เป้าหมายใหญ่คือวางความคิดมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ให้สำเร็จก่อน ถ้าคุณง่วนอยู่กับการลงมือทำกิจที่เดี๋ยวนี้โดยไม่พะวงถึงผลลัพท์ได้เมื่อใด นั่นคุณสำเร็จแล้ว เมื่อคุณวางความคิดมาอยู่กับสิ่งที่ลงมือทำที่ตรงหน้าได้แล้ว เมื่อคุณมาอยู่ที่เดี๋ยวนี้ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเข้ามามันจะไม่มีล้มเหลว มันจะมีแต่ความมหัศจรรย์ของชีวิต ถ้าการณ์เป็นไปดังคาดก็มหัศจรรย์ ถ้าการณ์ไม่เป็นไปดังคาดก็ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ เพราะได้เรียนรู้ชีวิตแบบก้าวกระโดดที่หากไม่ลงมือทำก็จะไม่รู้เลยว่าแบบนี้มันไม่เวิร์ค สรุปว่าชีวิตนี้จากนี้ไปไม่มีล้มเหลว มีแต่จะได้เรียนรู้ แต่ละช็อตที่เข้ามาจะเป็นฐานให้เราตั้งหลักรอรับการเข้ามาของช็อตต่อไปอย่างตื่นตัวระแวดระวัง ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีใครรู้ว่าช็อตต่อไปอะไรจะเข้ามา นี่แหละความมหัศจรรย์ของชีวิต
6. ควบคู่ไปกับการง่วนอยู่กับการปฏิบัติกิจในขั้นตอนที่วางแผนไว้สำหรับเดี๋ยวนี้แล้ว คุณยังต้องฝึกวางความคิดด้วยการ (1) ฝึกสังเกตความคิดหรือความเศร้าเมื่อมันมา สังเกตอยู่ข้างนอก นั่นเป็นความเศร้า นี่เป็นเรา มันไม่ใช่เรา อย่าไปเผลอจมอยู่ในนั้น (2) ฝึกถอยความสนใจออกจากความคิด มาอยู่กับลมหายใจหรือมาอยู่กับความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกาย (3) ฝึกผ่อนคลายร่างกาย หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆหายใจออกทางปากพร้อมกับบอกกล้ามเนื้อร่างกายที่เกร็งอยู่ให้ผ่อนคลายตั้งแต่หัวจรดเท้า (4) ฝึกสมาธิ ด้วยการนั่งหลับตาสังเกตการหายใจเข้าออก ควบคู่ไปกับการถอยความสนใจมาไว้ที่ความว่างที่ตรงหน้า ปล่อยให้ความสนใจจมดิ่งลึกลงไป..ลึกลงไป..ลึกลงไป ในความว่างที่ตรงหน้าโดยไม่ไปยุ่งกับความคิด ทำอย่างนี้วันละสัก 20-30 นาที ทำก่อนนอนก็ได้ ถ้าทำแล้วง่วงก็ยิ่งดี จะได้หลับไปโดยไม่มีความคิด (5) ฝึกกระตุกตัวเองหรือสะดุ้งตัวเองให้ตื่นมาอยู่กับเดี๋ยวนี้อยู่เสมอ เหมือนทหารอาชีพที่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยืดออก ระวังตรง เมื่อนายมาตรวจแถว การอยู่กับเดี๋ยวนี้เป็นการรู้สึก (feel) ไม่ใช่การคิด (think) รู้สึกทั้งข้างนอกคือซาบซึ้งภาพเสียงสัมผัสที่มากระทบ และข้างในคือการรับรู้ลมหายใจและพลังชีวิตของตัวเองในรูปของความรู้สึกซู่ซ่าวูบวาบบนร่างกาย
7. ถามว่าเมื่อวางความคิดมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้วไงต่อ อ้า..นี่แหละ นี่แหละ "แล้วไงต่อ" นี่คือการไม่ยอมรับปัจจุบันนะ นี่คือการหนีจากปัจจุบันไปอยู่กับความคาดหวังในอนาคต คุณจะต้องอยู่กับเดี๋ยวนี้จนคำว่าแล้วไงต่อหมดเกลี้ยงไปจากหัว ยอมรับเดี๋ยวนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ แค่นี้พอแล้ว ดีแล้ว เอาไว้มีอะไรโผล่มาก็ค่อยรับมือไปทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีแล้วไงต่อ สิ่งที่คุณต้องทำที่เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้วรู้อยู่แล้วเพราะแผนการณ์ระยะยาวคุณก็วางไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณก็แค่ก้าวไปทีละก้าวตามแผนที่คุณวางไว้ โดยสนใจเฉพาะก้าวที่เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้วไงต่อ
ผมให้คุณได้แต่วิธีปฏิบัติในภาพใหญ่ของการวางความคิดนะ แต่ผมขอไม่ชี้แนะลงไปถึงรายละเอียดของสถานะการณ์ชีวิตของคุณหรือของลูกสาว เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของเรื่อง ถ้าคุณทำสาระสำคัญของเรื่องคือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ และวางความคิดทุกข์กังวลลงมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันก็จะเป็นเรื่องง่ายระดับสะเต๊ะสำหรับคุณโดยอัตโนมัติ
ถ้าคุณยังมีปัญหากับการฝึกวางความคิด ให้หาเวลามาเข้า SR ดู มันอาจช่วยคุณให้แก้ไปอุปสรรคประเภทเส้นผมบังภูเขาได้ง่ายขึ้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมกำลังเป็นทุกข์กับลูกสาวที่ติดยาเสพย์ติด พยายามจะช่วยเธอทุกทางแต่ก็ไม่เป็นผล จนผมเองกลายเป็นคนจิตไม่สมประกอบ มักเผลอคิดเสียดายเมื่อครั้งอดีตที่ตัวเองไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ชีวิตมันหดหู่รันทด ทั้งวันผมเอาแต่นั่งคิดเสียจนเกิดความคิดว่าถ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปตลอดชาติก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม ถ้าผมตายไปอะไรมันอาจจะดีขึ้น แต่ก็ยั้งใจอยู่ว่าลูกยังต้องการคนช่วย รบกวนคุณหมอช่วยชี้ทางสว่างว่าผมควรจะช่วยลูกสาวอย่างไรดีครับ
......................................................
ตอบครับ
1. การแก้ปัญหาเรื่องนี้ วาระที่หนึ่งคือคุณกำลังเป็นทุกข์ เมื่อคุณเป็นทุกข์ ต้องแก้ที่คุณ ไม่ใช่ไปแก้ที่ลูกสาว แก้ที่ใจคุณ คือให้คุณวางความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ให้ได้ก่อน สถานะการณ์นอกตัวที่คุณอ้างว่าเป็นสาเหตุคือเรื่องราวในชีวิตของลูกสาวนั้นเอาไว้ก่อน เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และคุณก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ทันที มาลงมือแก้ที่ใจคุณ ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงมันได้ก่อน
2. ขั้นตอนปฏิบันขั้นแรกคือคุณอย่าใช้เวลาอยู่ในบ้านมากเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านเรามีแนวโน้มจะนั่ง เมื่อนั่งเรามีแนวโน้มจะเผลอคิดลำเลิกถึงอดีตอันหม่นหมอง ใช่ มันเป็นแค่ความคิดที่จรมา แต่ทุกครั้งที่มันมา คุณก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วมันก็มาถี่ขึ้นๆจนคุณรู้สึกว่ามันไม่ไปไหนแล้ว จริงอยู่การแก้ปัญหาถาวรคือการฝึกวางความคิด นั่นคุณก็ต้องทำ แต่มันเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนคุณอาจจะรอไม่ได้ คุณต้องมาแก้ปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้าก่อน คืออย่าให้ตัวเองมีเวลาจมอยู่ในความคิดมากเกินไป ออกไปจากบ้าน ไปอยู่นอกบ้านบ้าง ขยันเคลื่อนไหว ขยันพาตัวเองไปอยู่ในสถานะการณ์เฉพาะหน้า ที่ต้องตัดสินใจอะไรที่เดี๋ยวนี้ เช่น ต้องเดิน ต้องปั่น ต้องข้ามถนน ต้องผจญกับสุนัข ต้องซักต้องถาม ต้องพูดคุย
3. ขั้นต่อไปคือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก่อน คุณไปนั่งหวนคิดเสียดายอดีต นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน แต่มันเกิดขึ้นแล้ว โทนโท่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว คุณหวังว่าอนาคตเมื่อคุณตายแล้วลูกสาวน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสภาพที่ลูกสาวเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใจคุณจึงหนีไปอยู่ในอนาคตในรูปของความหวัง การตีอกชกหัวก็เช่นกัน มันคือการไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตราบใดที่คุณยังไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว คุณจะเริ่มการแก้ไขอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะคุณไม่ยอมรับว่าคุณยืนอยู่ที่ตรงไหนคุณจะเริ่มออกก้าวเดินได้อย่างไร ในการจะยอมรับอะไรนี้ ให้ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ท่องคำสำคัญไว้สี่คำ คือ ขอบคุณ, ขอโทษ, ให้อภัย, เมตตา กับทุกๆสิ่ง กับทุกๆคน ถ้ามีแม้แค่บางครั้งที่การมีลูกสาวทำให้คุณมีความสุข คุณขอบคุณเธอ ถ้าคุณทำผิดอะไรกับลูกสาว คุณขอโทษเธอ ถ้าลูกสาวทำอะไรที่คุณมองว่าไม่ดีกับคุณ คุณให้อภัยเธอ ถ้าคุณเป็นทุกข์แทนเธอที่ชีวิตของเธอไม่ดีอย่างที่คุณอยากให้เป็น คุณเผื่อแผ่ความรักและเมตตาของคุณไปยังเธอ เหมือนกับว่าเธอกับคุณลึกลงไปแล้วก็เป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นคนคนเดียวกัน
4. เมื่อคุณยอมรับได้แล้วคุณก็เริ่มวางแผนแก้ไข คุณใช้เวลาวางแผนเรื่องทั้งหมดไม่ว่าแผนนั้นจะยาวกี่ปีหรือเป็นแผนที่ยาวตลอดชีวิตก็ตาม คุณใช้เวลาวางแผนอย่างมากไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แล้วเริ่มลงมือทำตามแผนไปทีละขั้น โดยจดจ่ออยู่กับการลงมือทำ ไม่ไปพะวงถึงผลลัพท์ อย่าไปคาดการณ์ในทางร้ายล่วงหน้าเพื่อให้ตัวเองได้จมอยู่กับความโศกเศร้านั้นไปตลอดเหมือนกับว่าคุณเองได้เสพย์ติดความโศกเศร้านั้นไปเสียแล้ว เลิกมันไม่ได้เสียแล้ว แต่มันไม่จริงที่ว่าเราเสพย์ติดอะไรแล้วเราจะเลิกไม่ได้ เพราะการเสพย์ติดอะไร หรือแนวโน้มที่ใจเราจะคิดถึงอะไร มันเป็นแค่ความคิด เพียงแค่คุณตั้งหลักให้ได้ก่อนว่า "ความคิดไม่ใช่คุณ" คุณก็เลิกมันได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว และถ้าคุณขยันสังเกตเมื่อมันมา ขยันเฝ้าดูมันอย่างผู้สังเกตโดยไม่ไปคิดต่อยอด ในที่สุดความคิดนั้นมันก็จะฝ่อไป คุณก็จะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ แต่ว่าคุณจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมว่าจริงหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ทดลองลงมือทำ
5. เมื่อคุณลงมือทำกิจอะไรไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดถามล่วงหน้าว่าคุณจะทำได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเป้าหมายใหญ่ของคุณไม่ใช่การทำอะไรนอกตัวให้สำเร็จ แต่เป้าหมายใหญ่คือวางความคิดมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ให้สำเร็จก่อน ถ้าคุณง่วนอยู่กับการลงมือทำกิจที่เดี๋ยวนี้โดยไม่พะวงถึงผลลัพท์ได้เมื่อใด นั่นคุณสำเร็จแล้ว เมื่อคุณวางความคิดมาอยู่กับสิ่งที่ลงมือทำที่ตรงหน้าได้แล้ว เมื่อคุณมาอยู่ที่เดี๋ยวนี้ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเข้ามามันจะไม่มีล้มเหลว มันจะมีแต่ความมหัศจรรย์ของชีวิต ถ้าการณ์เป็นไปดังคาดก็มหัศจรรย์ ถ้าการณ์ไม่เป็นไปดังคาดก็ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ เพราะได้เรียนรู้ชีวิตแบบก้าวกระโดดที่หากไม่ลงมือทำก็จะไม่รู้เลยว่าแบบนี้มันไม่เวิร์ค สรุปว่าชีวิตนี้จากนี้ไปไม่มีล้มเหลว มีแต่จะได้เรียนรู้ แต่ละช็อตที่เข้ามาจะเป็นฐานให้เราตั้งหลักรอรับการเข้ามาของช็อตต่อไปอย่างตื่นตัวระแวดระวัง ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีใครรู้ว่าช็อตต่อไปอะไรจะเข้ามา นี่แหละความมหัศจรรย์ของชีวิต
6. ควบคู่ไปกับการง่วนอยู่กับการปฏิบัติกิจในขั้นตอนที่วางแผนไว้สำหรับเดี๋ยวนี้แล้ว คุณยังต้องฝึกวางความคิดด้วยการ (1) ฝึกสังเกตความคิดหรือความเศร้าเมื่อมันมา สังเกตอยู่ข้างนอก นั่นเป็นความเศร้า นี่เป็นเรา มันไม่ใช่เรา อย่าไปเผลอจมอยู่ในนั้น (2) ฝึกถอยความสนใจออกจากความคิด มาอยู่กับลมหายใจหรือมาอยู่กับความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกาย (3) ฝึกผ่อนคลายร่างกาย หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆหายใจออกทางปากพร้อมกับบอกกล้ามเนื้อร่างกายที่เกร็งอยู่ให้ผ่อนคลายตั้งแต่หัวจรดเท้า (4) ฝึกสมาธิ ด้วยการนั่งหลับตาสังเกตการหายใจเข้าออก ควบคู่ไปกับการถอยความสนใจมาไว้ที่ความว่างที่ตรงหน้า ปล่อยให้ความสนใจจมดิ่งลึกลงไป..ลึกลงไป..ลึกลงไป ในความว่างที่ตรงหน้าโดยไม่ไปยุ่งกับความคิด ทำอย่างนี้วันละสัก 20-30 นาที ทำก่อนนอนก็ได้ ถ้าทำแล้วง่วงก็ยิ่งดี จะได้หลับไปโดยไม่มีความคิด (5) ฝึกกระตุกตัวเองหรือสะดุ้งตัวเองให้ตื่นมาอยู่กับเดี๋ยวนี้อยู่เสมอ เหมือนทหารอาชีพที่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยืดออก ระวังตรง เมื่อนายมาตรวจแถว การอยู่กับเดี๋ยวนี้เป็นการรู้สึก (feel) ไม่ใช่การคิด (think) รู้สึกทั้งข้างนอกคือซาบซึ้งภาพเสียงสัมผัสที่มากระทบ และข้างในคือการรับรู้ลมหายใจและพลังชีวิตของตัวเองในรูปของความรู้สึกซู่ซ่าวูบวาบบนร่างกาย
7. ถามว่าเมื่อวางความคิดมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้วไงต่อ อ้า..นี่แหละ นี่แหละ "แล้วไงต่อ" นี่คือการไม่ยอมรับปัจจุบันนะ นี่คือการหนีจากปัจจุบันไปอยู่กับความคาดหวังในอนาคต คุณจะต้องอยู่กับเดี๋ยวนี้จนคำว่าแล้วไงต่อหมดเกลี้ยงไปจากหัว ยอมรับเดี๋ยวนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ แค่นี้พอแล้ว ดีแล้ว เอาไว้มีอะไรโผล่มาก็ค่อยรับมือไปทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีแล้วไงต่อ สิ่งที่คุณต้องทำที่เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้วรู้อยู่แล้วเพราะแผนการณ์ระยะยาวคุณก็วางไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณก็แค่ก้าวไปทีละก้าวตามแผนที่คุณวางไว้ โดยสนใจเฉพาะก้าวที่เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้วไงต่อ
ผมให้คุณได้แต่วิธีปฏิบัติในภาพใหญ่ของการวางความคิดนะ แต่ผมขอไม่ชี้แนะลงไปถึงรายละเอียดของสถานะการณ์ชีวิตของคุณหรือของลูกสาว เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของเรื่อง ถ้าคุณทำสาระสำคัญของเรื่องคือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ และวางความคิดทุกข์กังวลลงมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันก็จะเป็นเรื่องง่ายระดับสะเต๊ะสำหรับคุณโดยอัตโนมัติ
ถ้าคุณยังมีปัญหากับการฝึกวางความคิด ให้หาเวลามาเข้า SR ดู มันอาจช่วยคุณให้แก้ไปอุปสรรคประเภทเส้นผมบังภูเขาได้ง่ายขึ้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์