คนรุ่น Y ไม่กินผัก
(บทความเขียนให้นิตยสาร Guitar Affection)
ตัวผมมีอาชีพรับจ้างรักษาคนเจ็บไข้
ความที่เป็น “หมอแก่”
ทำให้ได้รู้เช่นเห็นชาติคนไข้มาหลายรุ่น ดังนั้นนอกจากรุ่นคนเฒ่าคนเถิบ ((baby-boomers) ที่เป็นโรคเรื้อรังมาจวนจะครบทุกโรค
และคนทำงาน (generation-X) ที่มีปัจจัยเสี่ยงครบถ้วนพร้อมจะเป็นโรคเรื้อรังไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้
ผมยังมีรุ่นเด็กเอียดอายุไม่ถึง 30 ปี (generation-Y) อยู่ในความดูแลอีกจำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งผมขอเรียกคนรุ่นนี้สั้นๆว่า “คนรุ่น
Y”
เอกลักษณ์ของคนรุ่น
Y ในสายตาของผมมีสามอย่าง คือ
(1) โตไม่พ้นอกพ่อแม่
(2) เป็นโรคซึมเศร้าแต่เยาว์วัย และ
(3) ไม่กินผัก
วันนี้ผมจะขอคุยแต่เรื่องสุดท้ายเรื่องเดียว
คือเรื่องคนรุ่น Y ไม่กินผัก ผมเริ่มสังเกตเห็นปัญหานี้มาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว
ตอนนั้นผมต้องไปรับส่งลูกชายที่รร.สาธิตเกษตร ตอนเย็นขณะรอลูกผมมักเกร่ไปดูเด็กเบียดเสียดกันซื้ออาหารที่โรงอาหารของโรงเรียน
อาหารหลักที่เด็กแย่งซื้อกันมากที่สุดก็คือแฮมเบอร์เก้อร์
ซึ่งมีผักหนึ่งชิ้นแทรกอยู่ใต้แผ่นเนื้อสับ
แล้วเด็กทุกคนที่ได้รับแฮมเบอร์เกอร์มาจากแม่ค้าก็จะทำเหมือนกันหมด
คือบรรจงเปิดฝาแฮมเบอร์เก้อร์อ้าออก หยิบเอาผักซึ่งมีอยู่ชิ้นเดียวในนั้นทิ้งเสีย
ก่อนที่จะลงมือกินแฮมเบอร์เก้อร์อย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งแม่ค้าก็ช่วยอำนวยความสะดวกโดยจัดถังขยะไว้รองรับผักที่เด็กหยิบออกทิ้งไว้ให้ที่ตรงนั้นเลย
นอกจากนี้ผมเข้าใจว่าไหนๆเด็กก็ไม่กินอยู่แล้ว
เพื่อเป็นการลดต้นทุนแม่ค้าจึงปรับตัวโดยเอาผักเหี่ยวๆเหลืองๆยัดกลางแฮมเบอร์เก้อร์ให้เด็กแทนผักเขียวๆสดๆตามปกติ
ผมพยายามจะแคะไค้หาสาเหตุว่าทำไมคนรุ่น Y ถึงไม่ชอบกินผัก
คำตอบที่ได้ก็หลากหลายจนจับสาระหลักไม่ได้ เช่น คนหนึ่งเป็นหนุ่มตอบว่า
“เพราะสลัดมันมีหอมหัวใหญ่
ผมไม่ชอบกลิ่นหอมหัวใหญ่”
ส่วนคนเป็นสาวตอบว่า
“..ผักมันไม่มีอะไรให้ละเลียดหรือเล่นด้วย
หนูทานเค้กทานไอติมหรือสมู้ตตี้มันมีลูกเล่นแยะ อย่างหน้าเค้ก ท็อปปิง สีสัน แต่ผักก็คือผัก
มันไม่โรแมนติก”
อีกคนเป็นเพศกลางๆซึ่งมีงานรับผิดชอบที่จัดว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
เขาตอบคำเดียวว่า
“แหวะ..เหม็นเขียว”
จะอย่างไรเสีย ไม่วันใดวันหนึ่งคนรุ่น Y
ก็ต้องกินผัก มันน่าจะมีใครทำอะไรสักอย่างให้คนรุ่นนี้หันมากินผักนะ
ต้องได้บุญแยะแน่เลย ไม่แน่นะ ถ้าผมเกษียณและว่างงานแล้วผมอาจจะทำร้านสลัดผักขายให้คนรุ่น
Y ก็ได้ และผมจะทำทุกอย่างให้คนรุ่น Y หันมาทานสลัดของร้านผม
ผักสลัดจะอร่อยหรือไม่อร่อยอยู่ที่ความสด ความมีชีวิตชีวาของผักอยู่ที่การไม่บอบช้ำจากการขนส่ง
ผักของผมจะปลูกแบบไฮโดรให้คนรุ่น Y เห็นที่ในร้านนั่นแหละ
จะได้ไม่งอแงว่าผักของผมเหี่ยวไปบ้าง เหลืองไปบ้าง
ประเด็นความเหม็นเขียวที่คนรุ่น Y ใช้เป็นข้ออ้างนั้น
ผมว่าส่วนหนึ่งมาจากแม่ค้าไทยนิยมเอากระหล่ำปลีดิบๆมาทำผักสลัด
ไม่เชื่อคุณจอดรถแวะข้างทางที่ไหนสักแห่งแล้วสั่งสะเต๊กหรือสลัดดูสิ
ถ้าไม่ได้กระหล่ำปลีดิบมาทานผมให้เหยียบ กระหล่ำปลีดิบนี้นอกจากจะเหม็นเขียวสุดใจขาดดิ้นแล้วมันยังมีสาร
goitrin ที่ทำให้ทานมากๆแล้วเป็นคอพอกได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญคือน้ำสลัด ผมจะทำให้มันกลบความเหม็นเขียวของผักให้ได้
แบบว่าให้เป็นของเหลวที่มีมนต์ขลัง จิ้มๆ ราดๆ คลุกๆ แล้วอร่อย ผมจะไม่ประหยัดปริมาณของเดรสซิ่งด้วย
จะใส่โถบะเล่งเท่งมาให้มากเกินพอที่จะราดดับเหม็นเขียวเลยเชียว แต่ที่ผมจะสงวนสิทธิ์ไม่ยอมตามใจคนรุ่น
Y อย่างหนึ่ง ก็คือการทำน้ำสลัดให้ออกรสหวาน ซึ่งทุกวันนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมน้ำสลัดไทยไปแล้ว
ทุกวันนี้เวลาผมไปสั่งอาหารแถวริมทางมวกเหล็ก ผมอดไม่ได้ต้องสั่งแบบประชดว่า
“เอาสลัดราดน้ำเชื่อมหนึ่งที่”
เพราะไม่ว่าผมจะสั่งด้วยคำพูดที่เท่อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ได้ท้ายที่สุดก็คือสลัดราดน้ำเชื่อม...อยู่ดี
ประเด็นที่คนรุ่น Y บ่นว่าสลัดมันน่าเบื่อไม่มีอะไรให้เล่นนั้น
ผมก็จะทำรายการทอปปิ้งและเดรสซิ่งให้เลือกเล่นสนุกไปเลย จะท็อปด้วยข้าวเม็ดโพด
ถั่วแดง ลูกเดือย แอปเปิล มะละกอ หรืออะไรก็ได้เลือกเอาตามใจชอบจะจัดให้ สำหรับคนที่เป็นสัตว์กินเนื้อจะให้เติมเนื้อสัตว์เช่นแซลมอน
เนื้อวัว เบคอน ไก่ย่าง คอหมูย่าง หรือชีส ก็ได้ เรื่องเดรสซิ่งก็ขอให้บอกมา จะเอา ซีซาร์
ทาวซันด์ไอส์แลนด์ ซีอิ๊วญี่ปุ่น น้ำสลัดใส น้ำมันมะกอกอิตาลี ก็บอกมา ทำให้ได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ชอบละเลียดจะสั่งแบบรูดมหาราชก็เลือกเมนูชื่อ
“สลัดหมอสันต์” ก็จะได้สลัดแบบที่ผมทานอยู่ทุกวันคือผักบวกสาระพัดท็อปปิ้งและบวกนัทอีกแปดชนิดพร้อมเสริฟให้ทันที ทำไว้ถ้าไม่มีใครซื้อทานก็ไม่เป็นไร เพราะตกเย็นหมอสันต์เอาไปทานเอง
การตกแต่งร้าน
สถาปนิกจะให้สีฉูดฉาดเอาใจคนรุ่น Y ยังไงก็ได้ผมไม่เกี่ยง
แต่ขออย่างเดียวคือดนตรีป๊อบฝรั่งที่ขับร้องโดยนักร้องแถวบ้านเราที่คนรุ่น Y
ชอบเปิดกรอกหูกันนั้นผมไม่เอานะ อย่างเลวที่สุดก็ขอเป็นเพลงแจ๊สแบบนุ่มๆหูหน่อยก็ยังดี
ทีนี้ก็มาเรื่องการให้บริการ คือคนรุ่น Y
นี้ฝรั่งเรียกว่าเป็น me generation คือตัวข้าเป็นใหญ่
เอาใจยาก แถมคนที่ผมจำใจจะต้องจ้างมาเป็นผู้ให้บริการก็เป็นคนรุ่น Y อีกนั่นแหละ ซึ่งในประสบการณ์ของผมเกือบจะร้อยทั้งร้อยเขาหรือเธอบริการใครเป็นซะที่ไหนละ
อย่างดีเขาหรือเธอก็จะเอาของมาส่งที่โต๊ะแล้วก็จากไป หรืออย่างดีก็ถอยห่างออกไปยืนมองเพดาน
ไม่พูดไม่จา จะพูดก็แต่กับเพื่อนร่วมชาติในโทรศัพท์เท่านั้น ยังไม่นับว่าอาจจะมีการส่งของผิดๆถูกๆ
สั่งของไม่อร่อย ได้กินของอร่อยที่โต๊ะข้างๆสั่ง แบบนี้เป็นต้น
เพื่อแก้ปัญหานี้ร้านของผมจะบังคับให้คนรุ่น Y บริการตัวเอง มาถึงร้านแล้วก็เดินชมตัวอย่าง
ดูรูป อยากทานอะไรพิษดารแค่ไหนติ๊กลงไปบนแบบฟอร์มกระดาษ ยื่นที่เคาน์เตอร์
จ่ายเงิน แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะ พนักงานจะเอาไปส่งให้ตามเบอร์ และนั่นจะเป็นการพบหน้าพนักงานครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
หลังจากนั้นอยากได้อะไรต้องลุกมาตั้งต้นใหม่ เดินชมตัวอย่าง ดูรูป... วิธีนี้ถึงจะเวอร์คกับคนรุ่น
Y ที่ใครทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจ
ผมฝันเพ้อเจ้อไปงั้นแหละ ในชีวิตจริงตัวเองมีเวลาซะที่ไหนละ อย่างดีก็แวะนั่งทานสลัดใส่น้ำเชื่อมริมทาง
แต่ผมเขียนไว้เผื่อว่ามีคนเอาความฝันของผมไปทำร้านสลัดจริงๆ กุศลผลบุญจะได้ตกแก่คนรุ่น
Y ไงครับ
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์