จดหมายจากนักวิจัยเรื่องผู้สูงอายุ
เรียน อาจารย์สันต์ที่เคารพ
หนูรุ้สึกดีใจมากๆค่ะที่อาจารย์ให้ความกรุณาแก่หนูเรื่องวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งหนูมองว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แล้วในอนาคตอีกไม่เกิน 10 ปีที่ประเด็นนี้จะมาแรงแซงปัญหาต่างๆ ถ้าไม่เตรียมให้ดีและไม่เหมาะกับบริบทต่างของสังคมไทย ระบบสุขภาพที่จะรองรับ และต้องขอโทษที่มาแนะนำตัวช้าไป 1 วันที่อาจารย์ตอบรับ หนูขอแนะนำตัวก่อนค่ะ หนู ชื่อ … ชื่อเล่น .... ที่อยู่ปัจจุบัน จังหวัด...... ทำงาน ที่ ...... ได้นำเสนอร่างคำถามวิจัยเกี่ยวกับเรื่องcare giver ใน class อาจารย์เลยบอกว่าอยากให้ลองพูดคุยกับอาจารย์ดูว่า เพราะประสบการณ์ของอาจารย์มีมากและลึกซึ้ง ในวันนี้หนุขอส่งไฟล์ร่าง 2 ของวิจัย ให้อาจารย์ดูก่อนค่ะ อันนี้เป็นร่าง จริงๆที่มองดูมันใหญ่และกว้าง แต่ปัญหามันซ่อนในนี้ค่ะ ซ่อนจนหนุงงเอง จะได้มาปรับเพื่อให้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ สิ่งที่หนูอยากรุ้คือว่า การที่ผู้ดุแลผู้สูงอายุที่จะดูแลผู้สูงอายุให้อยู่ได้กับสังคมจนวาระสุดท้าย น่าจะมีลักษณะการดูแลเป็นหน้าตาอย่างไร มีรุปแบบอย่างไร ชุมชนต้องเตรียมอะไรและเตรียมแล้วเหมาะหรือไม่ มองถึงระยะยาว และมองศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุไทยด้วยค่ะ ลักษณะนี้เป็นคำถามวิจัยที่สร้าง new knowledge ได้หรือไม่ค่ะ อยากให้อาจารย์ได้ให้ข้อเสนอแนะ เยอะๆเลยค่ะ และขอเรียนปรึกษากับอาจารย์ไปตลอดเลยนะคะ
หนูรุ้สึกดีใจมากๆค่ะที่อาจารย์ให้ความกรุณาแก่หนูเรื่องวิจัยเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งหนูมองว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แล้วในอนาคตอีกไม่เกิน 10 ปีที่ประเด็นนี้จะมาแรงแซงปัญหาต่างๆ ถ้าไม่เตรียมให้ดีและไม่เหมาะกับบริบทต่างของสังคมไทย ระบบสุขภาพที่จะรองรับ และต้องขอโทษที่มาแนะนำตัวช้าไป 1 วันที่อาจารย์ตอบรับ หนูขอแนะนำตัวก่อนค่ะ หนู ชื่อ … ชื่อเล่น .... ที่อยู่ปัจจุบัน จังหวัด...... ทำงาน ที่ ...... ได้นำเสนอร่างคำถามวิจัยเกี่ยวกับเรื่องcare giver ใน class อาจารย์เลยบอกว่าอยากให้ลองพูดคุยกับอาจารย์ดูว่า เพราะประสบการณ์ของอาจารย์มีมากและลึกซึ้ง ในวันนี้หนุขอส่งไฟล์ร่าง 2 ของวิจัย ให้อาจารย์ดูก่อนค่ะ อันนี้เป็นร่าง จริงๆที่มองดูมันใหญ่และกว้าง แต่ปัญหามันซ่อนในนี้ค่ะ ซ่อนจนหนุงงเอง จะได้มาปรับเพื่อให้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ สิ่งที่หนูอยากรุ้คือว่า การที่ผู้ดุแลผู้สูงอายุที่จะดูแลผู้สูงอายุให้อยู่ได้กับสังคมจนวาระสุดท้าย น่าจะมีลักษณะการดูแลเป็นหน้าตาอย่างไร มีรุปแบบอย่างไร ชุมชนต้องเตรียมอะไรและเตรียมแล้วเหมาะหรือไม่ มองถึงระยะยาว และมองศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุไทยด้วยค่ะ ลักษณะนี้เป็นคำถามวิจัยที่สร้าง new knowledge ได้หรือไม่ค่ะ อยากให้อาจารย์ได้ให้ข้อเสนอแนะ เยอะๆเลยค่ะ และขอเรียนปรึกษากับอาจารย์ไปตลอดเลยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หมายเหตุ หนูเป็นfan page ใน facebook อาจารย์มาได้สัก
2 เดือนแล้วค่ะ แอบอ่านเม้นท์อาจารย์นะคะ ล่าสุด เรื่อง sensitivity
spec PPV NPV
..................................................
ตอบครับ
ขอโทษที่ตอบเมลช้า ไม่ว่ากันนะ
คือการตอบช้ากับไม่ตอบ กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวผมไปเสียแล้ว ผมได้อ่านโครงร่างงานวิจัย
“การดูแลผู้สูงอายุของครอบครัวต้นแบบในชนบทไทย” ของคุณแล้ว
คุณอยากได้คำวิจารณ์ของผม ต่อไปนี้เป็นคำวิจารณ์นะ ห้ามโกรธกัน
ประเด็นที่ 1. คุณจะได้อะไรจากงานวิจัยนี้ (ไม่นับใบปริญญาเอกนะ) สิ่งที่จะได้จากงานวิจัยของคุณ
คือจะได้รู้ว่าครอบครัวต้นแบบที่ระดับชาวบ้านตัดสินว่าเป็นครอบครัวที่ดูแลผู้สูงอายุได้ดี
เขามีวิธีดูแลผู้สูงอายุตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันอย่างไร ถามว่าข้อมูลที่ได้มาจะวิลิศมาหราเลิศสะแมนแตนกว่าผลวิจัยเรื่องนี้ที่มีกันอยู่ทุกวันนี้แล้วไหม
ก่อนตอบคำถามนี้ ขอรำลึกย้อนหลังหน่อยนะว่าไม่นานมานี้สำนักวิจัยระบบสาธารณสุข
(สวรส.) ได้พิมพ์งานวิจัยชื่อ “การสังเคราะห์ระบบการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวสำหรับประเทศไทย”
ได้ให้ข้อมูลในส่วนที่คุณจะทำไว้แล้วมากพอควร และถ้าจะดูงานวิจัยระดับชุมชนที่คล้ายกัน
ผมรู้สึกจะทำโดยว.พยาบาลอุดรธานี ชื่อ “ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล
ครอบครัว สิ่งแวดล้อม และสังคม กับความมั่นคงในชีวิตของผู้สูงอายุจังหวัดอุดรธานี”
ซึ่งให้ข้อมูลระดับครอบครัวที่โอเค.ทีเดียว อีกอันหนึ่งผมจำไม่ได้ว่าใครทำ
แต่เป็นการศึกษาที่เทศบาลหนองตอง จำได้แต่ชื่อหนองตองเพราะชื่อมันแปลกดี
แต่จำชื่องานวิจัยไม่ได้ ประเด็นของผมก็คือข้อมูลที่จะได้จากงานวิจัยของคุณ
จะไม่ทำให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นดอก ประโยชน์มันจะมีน้อยมาก เพราะมันจะคล้ายๆกับข้อมูลที่วงการเรามีอยู่แล้ว
ทำไมคุณไม่ทำวิจัยในเรื่องที่วงการของเราจำเป็นต้องรู้
ถ้าไม่รู้เราจะพัฒนาการดูแลผู้สูงอายุต่อไปไม่ได้ละ มาฟังทัศนะของผมในเรื่องนี้บ้างนะ
ประเด็นที่ 2. อะไรคือสิ่งที่ขาดหายไปในการรับมือกับปัญหาผู้สูงอายุในบ้านเรา
จากมุมมองของผม ผมสรุปได้เป็นสองมุม คือ
1. มุมมองเชิงระบบ
สิ่งที่ขาดหายไปคือ
1.1 ความด้อยในเรื่องการให้บริการสุขภาพขั้นมูลฐาน (Primary
care) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น
1.1.1
การไม่ได้ค้นหาปัจจัยเสี่ยงโรคเรื้อรัง
เพื่อนำมาตั้งต้นจัดการปัจจัยเสี่ยงเสียแต่ต้นมือ
1.1.2
การไม่มีวิธีจัดการโรคเรื้อรังอย่างเป็นระบบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการนอกโรงพยาล
1.1.3
การไม่มีวิธีกระตุ้น
(motivate) ให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ และของคนวัยทำงาน
เพราะถ้าคนวัยทำงานถ้าเขาอมปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังไว้วันนี้
ต่อไปเขาก็จะกลายเป็นผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง
1.1.4
การขาดระบบเกื้อหนุนให้ผู้คนได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี
อันเป็นวิธีสากลที่ดีในการค้นพบปัจจัยเสี่ยงโรคเรื้อรังแต่ต้นมือ
ระบบปัจจุบันเกื้อหนุนให้เข้าถึงการรักษา แต่ไม่เกื้อหนุนให้เข้าถึงการป้องกัน
1.2 ความด้อยในเรื่องระบบฟื้นฟูสุขภาพ
ผมหมายถึงระบบฟื้นฟูนอกโรงพยาบาล จะเป็นที่ชุมชนหรือที่บ้านก็ตาม
คนไข้ที่จำเป็นต้องฟื้นฟูสุขภาพวันนี้ ถ้าไม่ได้ admit ไว้นอนในโรงพยาบาลก็จะไม่ได้ทำ
1.3 ความด้อยในเรื่องระบบดูแลผู้ป่วยที่พ้นระยะ
acute
care ไปแล้ว คือโรงพยาบาลทั่วโลกออกแบบมาสำหรับการดูแลในระยะ acute
care แต่ทุกวันนี้โรงพยาบาลบ้านเราทั้งของรัฐและเอกชน
คนที่นอนป่วยอยู่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ต้องการ chronic care แบบว่าฝากนอนเพราะไม่มีที่ไป
มีอยู่วันหนึ่งผมไปเยี่ยมคนไข้หนักที่ศิริราช
เห็นป้ายเตียงแต่ละเตียงล้วนเป็นผู้ป่วยอายุเหยียบร้อย
อ่านชื่อจับความได้ว่าเป็นศาสตราจารย์นั้นบ้าง ศาสตราจารย์นี้บ้าง ที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ก็มีสภาพไม่ต่างกัน
เกินครึ่งของคนไข้ไอซียูเป็นผู้ป่วยสูงอายุเรื้อรัง ถ้าเราไม่เลิกจับเอาผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเฉพาะแบบผู้ป่วยเรื้อรังไปฝากไว้ในไอซียู.ของโรงพยาบาล
ไม่มีทางที่เราจะสร้างสรรค์ระบบดูแลผู้สูงอายุที่ดีขึ้นมาได้
เราจะต้องพัฒนารูปแบบการดูแลที่เป็น chronic care จริงๆขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นลักษณะ assisted living หรือ nursing
home care หรือเป็นบ้านกึ่งวิถี (half way house) แม้กระทั่งเป็น home care
1.4 ประเด็นผู้ดูแลหรือ
cargiver
ที่คุณสนใจเป็นพิเศษนั้น ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า
แต่จะเป็นปัญหาเมื่อเราสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุนอกโรงพยาบาลขึ้นมาแล้ว สาระหลักของปัญหาก็คือการผลิตผู้ดูแลของบ้านเราทุกวันนี้เป็นโมเดลผลิต
“พนักงานผู้ช่วยเหลือคนไข้” หรือ “ชุดเหลือง” ในโรงพยาบาล ซึ่งผลิตบนสะเป๊กที่ว่าสวนฉี่ต้องทำอย่างนี้นะ
หยอดข้าวหยอดน้ำต้องทำอย่างนี้นะ แต่สะเป๊กนี้ไม่ใช่สะเป๊กของคนที่จะมาเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เราอยากได้
ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เราอยากได้มีสะเป๊กสองข้อเท่านั้น คือ (1) เธอต้องมีความรู้
ทักษะ และเจตคติ ในการดูแลสุขภาพตัวเอง และดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีแล้วก่อน เธอจึงจะมาดูแลผู้สูงอายุได้
และ (2) เธอต้องมีความสุขกับการดูแลผู้สูงอายุ
2. มุมมองเชิงศักยภาพของผู้สูงอายุแต่ละคน
ถ้าเรามองจากประเทศที่มีคนแก่มากทั่วโลก ท้ายที่สุดแล้วคนที่จะดูแลคนแก่ได้ดีที่สุดก็คือตัวคนแก่เองนั่นแหละ
ประเด็นก็คือเรายังไม่ได้เร่งสร้างศักยภาพให้คนแก่ดูแลตัวเองได้เท่าที่ควร
ยังมีช่องว่างที่จะทำได้อีกมาก เช่น
2.1 การสร้างความรู้และทักษะสุขภาพให้ผู้สูงอายุที่บ้านโดยตรง
จะด้วยทีมเคลื่อนที่เร็วหรืออาสาสมัครที่เข้าถึงรากหญ้าก็แล้วแต่
2.2 มาตรการชักจูงให้บริษัทใช้งบรับผิดชอบสังคม
(CSR)
ไปกับการเรียนรู้ของผู้สูงวัย
2.3 มาตรการชักจูงให้ปัจเจกบุคคลออกไปอาสาพัฒนาการเรียนรู้ให้ผู้สูงวัย
2.4 การทำงานวิจัยเพื่อหาวิธีจัดสร้างระบบครอบครัวศึกษาแบบพหุวัย
(transgeneration
family-based education system) หมายถึงระบบกิจกรรมร่วมกันระหว่างพ่อแม่ลูกปู่ย่าตายายในลักษณะที่ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้จากกันและกัน
ซึ่งมันอาจจะเคยมีในอดีตอันไกลโพ้นแต่หายสาบสูญไปแล้ว
2.5 งานวิจัยที่มุ่งให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีพของผู้สูงวัย
2.6 งานวิจัยที่มุ่งให้ชุมชนสร้างระบบเรียนรู้ตลอดชีพแก่ผู้สูงวัย
2.7 มหาวิทยาลัยวัยทอง
คำนี้ผมคิดขึ้นเองนะ คือพอผมเป็นคนแก่เองผมจึงรู้ว่าคนแก่เนี่ยแหละ
ต้องกลับไปเข้าโรงเรียนใหม่ ทุกวันนี้ถ้าคนแก่คนไหนใจถึงก็จะไปนั่งเรียนกับเด็ก
แต่วิชาและวิธีที่เรียนมันไม่ค่อยตรงกับสะเป๊กที่จะมีประโยชน์กับคนแก่มากนัก
ทำไม่ไม่ทำมหาวิทยาลัยวัยทองขึ้นมาละ รูปแบบมันอาจพิสดารพันลึกอย่างไรก็ได้ แต่สาระก็คือให้คนแก่ได้เรียน
เรียน เรียน education, education, education
2.8 การเตรียมความพร้อมก่อนการเกษียณ
อันนี้รากมันก็มาจากคอนเซ็พท์มหาวิทยาลัยวัยทองนั่นแหละ
คือผมไปสอนชั้นเรียนของคนเกษียณบ่อย แล้วก็พบว่านักเรียนที่เป็นคนฉลาดล้ำลึกทำคุณประโยชน์แก่ประเทศก็มาก
แต่ส่วนใหญ่ไม่เดียงสาว่าการจะเป็นคนแก่นี้ตัวเองจะไปเจออะไร
จะต้องเตรียมตัวอย่างไร
ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือสิ่งที่ขาดหายไป และเราต้องการผลการวิจัยมา back
up อย่างแรงให้มันเกิดขึ้น ผมเสนอให้คุณเปลี่ยนการวิจัยของคุณมาทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งข้างต้นนี้ดีกว่าไหม แล้ว ขอโทษ... มันคันปาก ขอ ป.ม. อีกหน่อยนะ
คุณก็รู้ว่างานวิจัยแบบพรรณานั้นจริงอยู่มันทำง่าย แต่มันมีคนทำแยะแล้ว และใช้ประโยชน์ได้น้อย
ทำไมคุณไม่ทำงานวิจัยแบบทดลองเปรียบเทียบละครับ (experimental research) มันอาจจะใช้เงินมาก แต่ผมเชื่อว่าจะมีแหล่งเงินให้ถ้าคุณจะทำจริง
มันอาจจะเหนื่อย แต่ผลที่ได้กับสังคมมันคุ้มนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์