ตรวจคัดกรองก่อนแต่งงาน หรือก่อนมีบุตร
รบกวนสอบถามอาจารย์เรื่องการเตรียมตัวมีบุตรครับ
ตอนนี้ผมกับภรรยา วางแผนไว้ว่าจะมีบุตรและคลอดประมาณเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ 2557
1. ตอนนี้ผมกับภรรยาสามารถไปพบสูตินารีแพทย์ได้หรือยังครับ (ไม่ได้มีภาวะมีบุตรยากครับ)
2. ขอทราบรายการ
lab ที่ทั้งผมและภรรยา ต้องตรวจคัดกรองก่อนมีบุตรครับ
ผมวางแผนไว้ว่าจะไปตรวจเองก่อนแล้วนำผลการตรวจเลือดไปพบสูตินารีแพทย์ครับ
3. วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับครับ
ขอบคุณอาจารย์มากครับ
...................................................
ตอบครับ
แหม.. นี่ชัวร์ถึงกับกำหนดวันคลอดล่วงหน้าเลยนะเนี่ย
เข้าทำนองยังไม่เห็นน้ำรีบตัดกระบอก ยังไม่เห็นกระรอกรีบโก่งหน้าไม้ซะแล้ว การมีบุตรสมัยนี้เนี่ย มันไม่ได้ง่ายเหมือนเสิร์ชหาข้อมูลจากกูเกิ้ลแล้วกดเอ็นเตอร์นะตัวเอง
ไม่งั้นเพื่อนผมที่หากินทางทำเด็กหลอดแก้วคงไม่อู้ฟู่ซู่ซ่าหรอก หิ..หิ ช่างเป็นเด็กน้อยที่มองโลกในแง่ดีซะจริงจริ๊ง
พูดถึงการมองโลกในแง่ดี วันหนึ่งผมไปงานแต่งงานครูสอนเปียโนของลูกชาย
เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวนักดนตรี และเล่นดนตรีเพลงนี้ให้ฟังด้วย เพราะมาก
“...เมื่อดวงใจมีรัก
มอบแด่ใครสักคน หมดทุกห้องหัวใจ
ขอให้คุณมั่นใจรักจริง ฉันจะยอมมอบกายพักพิง
แอบแนบอิงนิรันดร์...”
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นด้วยนะที่คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นคุณนับเป็นคนไข้ของผมคู่แรกของปีนี้นะครับเนี่ย ที่ “วางแผน” การมีบุตรแบบล่วงหน้า
ต่างจากคู่อื่นที่ล้วนมาตาลีตาเหลือกเอาเมื่อประจำเดือนไม่มา แบบหลังนี้เมลมากันชนิดหัวกะไดไม่เคยแห้งจนต้องคอยลบทิ้งเป็นพักๆ
แถมคุณยังคิดจะตรวจคัดกรองสุขภาพฉีดวัคซีนที่จำเป็นก่อนการมีบุตรซะด้วย เยี่ยม.. ผมยกให้เป็นคู่แต่งงานตัวอย่างแห่งปี 2012 ประจำบล็อกหมอสันต์เลยครับ
คราวนี้ มาตอบคำถามของคุณกันนะ
1.. การตรวจเลือดก่อนมีบุตร
อย่างน้อยควรครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้
1.1 ตรวจคัดกรองโรคเอดส์ (anti HIV) เพราะหากกรณีแม่ติดเชื้อเอดส์มาก่อน ก็จะได้ชะงักไตร่ตรองนิดหนึ่งว่าจะมีลูกดีหรือไม่มีดี
หากยืนยันจะมีลูก หมอเขามีวิธีลดโอกาสที่ลูกจะติดเชื้อเอดส์จากแม่ได้ กรณีฝ่ายชายติดเชื้อเอดส์มาก่อนโดยฝ่ายหญิงไม่ได้ติดเชื้อ
ก็จะได้พิถีพันป้องกันไม่ให้ฝ่ายหญิงได้รับเชื้อจากฝ่ายชาย
ซึ่งสมัยนี้การป้องกันทำได้ง่ายๆและได้ผลดีระดับเกือบ 100%
1.2 ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส (VDRL) เพราะโรคซิฟิลิสนำไปสู่ความพิการของทารกได้ ถ้าพบว่าไม่ว่าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้
ก็จะได้รักษาเสียก่อน แล้วค่อยมีบุตร เพราะโรคนี้สมัยนี้รักษาได้ไม่ยากเลย
1.3 ตรวจสถานะภูมิคุ้มกันของตับอักเสบไวรัสบี.
คือตรวจทั้งว่ามีไวรัสอยู่ในตัวแบบเป็นพาหะ (HBsAg) หรือไม่ และตรวจว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสบี. (HBsAb) หรือไม่ ถ้าพบว่าแม่เป็นพาหะของโรคนี้
หมอเขาก็จะได้วางมาตรการป้องกันลูกไม่ให้ติดเชื้อจากแม่ ถ้าพบว่าสามีเป็นพาหะ
หมอเขาก็จะได้แนะนำวิธีป้องกันไม่ให้โรคติดมาถึงภรรยา ถ้าพบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่ได้เป็นพาหะแต่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้
ก็จะได้จับฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้เสียก่อน อนึ่ง พึงเข้าใจนะว่าโรคนี้เป็นโรคสำคัญ
เป็นปากทางที่นำไปสู่ตับอักเสบเรื้อรังแล้วกลายเป็นมะเร็งตับ
ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยทุกวันนี้
1.4 ตรวจสถานะภูมิคุ้มกันของหัดเยอรมัน (Rubella IgG, IgM) เพราะหัดเยอรมันนี้ถ้าไปเป็นเอาตอนตั้งครรภ์อาจได้ลูกที่พิการตาบอดแขนด้วนได้
ถ้าตรวจแม่แล้วพบว่ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน
ก็ควรจะชลอการตั้งครรภ์ออกไปสักสามเดือนเพื่อฉีดวัคซีนก่อน
ส่วนฝ่ายชายนั้นไม่ต้องตรวจหาภูมิคุ้มกันก็ได้ ใช้วิธีจับฉีดวัคซีน MMR แบบรูดมหาราชไปเลย
อันที่จริงตามทฤษฏีก็ต้องตรวจสอบประวัติว่าในวัยเด็กเคยได้วัคซีน MMR มาหรือยัง แต่ตามปฏิบัติคนไข้ก็จะตอบหมอว่าโฮ้ย พ่อแม่ผมรวย วัคซีนอะไรดีๆสมัยเด็กๆผมได้มาหมดแล้วแหละ
แต่พอถามหาหลักฐานเช่นสมุดวัคซีนก็จะพบว่าร้อยทั้งร้อย..ไม่มี ครั้นจะไปตามดูที่โรงพยาบาลก็ขอโทษ
โรงพยาบาลในเมืองไทยเรานี้แสนดีหนักหนา อย่าว่าแต่หลักฐานการฉีดวัคซีนเมื่อยี่สิบปี่ก่อนเลยครับ
ผมเคยเห็นศาลเรียกหาหลักฐานการใช้ยาที่เพิ่งใช้กันไปหลัดๆไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง
คำตอบที่ได้จากรพ.แห่งนั้นก็คือ..
"...เวชระเบียนหาย"
ขำตายแหละ ข้าแต่ศาลที่เคารพ แหะ..แหะ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
"...เวชระเบียนหาย"
ขำตายแหละ ข้าแต่ศาลที่เคารพ แหะ..แหะ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
1.5 ตรวจคัดกรองโรคเลือดจางทาลาสซีเมีย (Hb typing และ Alpha
gene PCR test) คือโรคทาลาสซีเมียนี้เป็นโรควิบากของคนไทย
ผมเคยตอบคำถามเรื่องโรคนี้ไปแล้วหลายครั้งหลายหนซึ่งผู้สนใจพลิกหาอ่านเอาได้ กล่าวโดยสรุปก็คือมันเป็นโรคที่ส่งต่อมาทางพันธุกรรมผ่านยีนจากพ่อแม่
ซึ่งมีทั้งแบบยีนโต้งๆคือเป็นโรคให้เห็นเห็นๆ หรือยีนแฝงหรือพาหะซึ่งไม่มีอาการป่วยให้เห็นแต่มียีนของโรคนี้ส่งต่อมาให้ลูก
ถ้าพ่อก็มียีนแฝง แม่ก็มียีนแฝง ก็มีโอกาสที่ลูกคนที่แจ๊คพอตยีนแฝงสองข้างมาจ๊ะกันจะเป็นโรคทาลาสซีเมียแบบโจ๋งครึ่มได้
การตรวจคัดกรองยีนโรคนี้ก่อนแต่งงานมีประโยชน์กรณีที่ทั้งพ่อทั้งแม่ต่างมียีนแฝง
จะได้วางแผนเรื่องการมีบุตรได้ เช่นว่ามีโอกาสที่จะได้ลูกเป็นโรคกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าลูกคนที่ซวยเป็นโรคขึ้นมา
จะเป็นโรคทาลาสซีเมียชนิดไหน รุนแรงหรือไม่รุนแรง
ซึ่งก็จะนำไปสู่การตัดสินใจสุดท้ายว่า สำหรับคนที่แต่งมาแล้วอย่างคุณนี้ก็คือการตัดสินใจว่าจะมีลูกดีหรือไม่มีดี สำหรับคนที่กำลังจะแต่งก็คือการตัดสินใจว่าจะถือโอกาสนี้เป็นการประกาศอิสรภาพจากกันและกันซะเลยดีไหม
ประเด็นสำคัญที่ผมขอย้ำไว้ตรงนี้เพราะคนส่วนใหญ่ รวมทั้งหมอส่วนหนึ่ง ยังไม่เข้าใจ ก็คือว่าการตรวจคัดกรองยีนทาลาสซีเมียต้องตรวจคัดกรองทั้งยีนที่ควบคุมสายเบต้า
และยีนที่ควบคุมสายอัลฟา
การตรวจก่อนแต่งงานที่รพ.ส่วนใหญ่จัดให้ใช้วิธีตรวจวิเคราะห์ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin
typing) ซึ่งเป็นการตรวจหาเฉพาะยีนที่ควบคุมสายเบต้าเท่านั้น
จึงมีกรณีที่ตรวจได้ผลปกติแล้วแต่ได้ลูกออกมาเป็นทาลาสซีเมีย
ที่ถูกคือควรจะต้องตรวจวิเคราะห์ยีนสายอัลฟ่าควบไปด้วย (Alpha gene PCR
test) ซึ่งการตรวจอย่างหลังนี้รพ.ส่วนใหญ่ยังทำไม่ได้
ต้องส่งเลือดไปให้รพ.ที่มีแล็บระดับซับซ้อนกว่าทำให้
1.6 ตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน
ซึ่งทำได้สองวิธีคือตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (FBS) หรือตรวจน้ำตาลสะสมในเม็ดเลือดโดยไม่ต้องอดอาหาร (HbA1c)
จะตรวจวิธีไหนก็ได้ผลเท่ากัน การคัดกรองเบาหวานก่อนตั้งครรภ์มีความจำเป็น
เพราะการตั้งครรภ์ขณะเป็นเบาหวานเรียกว่าเป็นการตั้งครรภ์ชนิดความเสี่ยงสูง หมอสูติเขาจะมีวิธีรับมือมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ
1.7 เอ็กซเรย์ปอด (CXR) เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานเผื่อต้องทำการผ่าตัดระหว่างตั้งครรภ์หรือตอนคลอด
หมายความว่าการเอ็กซเรย์ปอดคนปกติที่ไม่มีอาการไอปัจจุบันนี้ไม่มีประโยชน์อะไรในแง่การคัดกรองโรค
ไม่ว่าจะเป็นการคัดกรองวัณโรคหรือมะเร็งปอด
แต่สำหรับคนที่จะต้องท้องมันมีประโยชน์ในแง่ของการเป็นข้อมูลพื้นฐานไว้เปรียบเทียบเผื่อเจ็บป่วยหรือต้องผ่าตัดขณะตั้งครรภ์
เพราะเราไม่ต้องการไปเอ็กซเรย์ขณะตั้งครรภ์ อย่างเช่นถ้าจะผ่าตัดอะไรขณะที่ตั้งครรภ์
หมอดมยาก็อยากดูภาพเอ็กซเรย์ปอดเพื่อประเมินปัญหาของการดมยาสลบ
แต่หมอสูติก็ไม่อยากให้ทำเพราะกลัวทารกในครรภ์ได้รังสีเอ็กซเรย์
การเอ็กซเรย์ไว้ก่อนการตั้งครรภ์จึงมีประโยชน์ฉะนี้
2. วัคซีนที่จำเป็นต้องได้รับก่อนการตั้งครรภ์และมีบุตร
คือ
2.1 วัคซีนไวรัสตับอักเสบ
บี. (Hepatitis B) ในกรณีที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน
2.2 วัคซีนหัดเยอรมัน
ซึ่งมัดรวมในเข็มเดียวชื่อวัคซีน MMR
ในกรณีที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน
2.3 วัคซีนไข้หวัดใหญ่
(Influenza)
2.4 วัคซีนอีกตัวหนึ่ง
ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ แต่หมอสูติก็ต้องบังคับให้ฉีดซ้ำ ทั้งนี้เนื่องจากมันเป็นกรรมเวรของคนไทยที่ถูกสาปมาให้โดนฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
(Tetanus) รอบละสามเข็มแบบเบิ้ลแล้วเบิ้ลอีกตั้งแต่เกิดจนตาย
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงฉีดซ้ำเข็มเดียวทุกสิบปีก็เหลือแหล่แล้ว
ที่ว่าเป็นกรรมเวรของคนไทยก็คือเนื่องจากชาติไทยไม่ใช่นักบันทึก
ในชีวิตหนึ่งคุณเคยถูกฉีดวัคซีนอะไรที่ไหนมาบ้างไม่มีใครเก็บบันทึกไว้ดอก
ไม่ต้องไปหา พอตกมอเตอร์ไซค์ได้รับบาดเจ็บทีหนึ่ง หรือจะออกลูกทีหนึ่ง หมอก็จับฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักแบบสามเข็มครบคอร์ส
ทุกคราวไป มีใยที่คุณจะบอกว่าเคยฉีดมาแล้วหมอก็ไม่ฟัง เพราะเวลาคนได้รับบาดเจ็บหรือออกลูกเป็นบาดทะยักตายแล้วญาติไปฟ้องศาล
ถ้าหมอให้การว่าข้าน้อยถามคนไข้แล้วเขาบอกว่าเคยได้วัคซีนมา ศาลก็ไม่เชื่อหมอ เพราะศาลไม่เคยเชื่อลมปากหมอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เชื่อแต่หลักฐานบันทึก เมื่อไม่มีหลักฐานบันทึก ก็แปลว่าหมอผิด สรุปคือหมอต้องจับคนไข้ฉีดบาดทะยักใหม่ตะพึดง่ายสุด
อย่างนี้เรียกว่าเป็นกรรมมั้ยละ
3.. ที่ถามว่าเวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะจะไปพบหมอสูติ ตอบว่าที่คุณวางแผนว่าจะไปตรวจต่างๆให้ครบก่อนแล้วเอาผลไปพบหมอสูตินั่นก็เป็นแผนที่เหมาะแล้วครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์