หนูจะเป็นบ้าไหม


 ขอรบกวนเวลาคุณหมอนะคะ ขอคุณหมอทนอ่านด้วยนะคะ และโปรดให้ความเมตตากับหนูด้วย หนูทุกข์ใจแสนสาหัสมาตั้งแต่จำความได้    แต่หนูไม่เคยบอกใคร หนูอาย ขอใช้คำแทนตัวว่าหนูนะคะ เพราะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนได้คุยกับญาติผู้ใหญ่คนนึง

               หนูเคยรักษาอาการที่ รพ.ศรีธัญญาอยู่ 2 ปี หมอให้กินแต่ยา ไม่ให้เวลาคุย  จากนั้น หันหน้าเข้าวัด ศึกษาถึงกิเลส ขันธ์ 5 อะไรทำนองนี้ สัก ปีกว่า ไม่ดีขึ้น  หนูเกิด ..... อายุ 45 ปี เรียนจบมัธยมจาก ....... จบ ป.ตรี ....... ธรรมศาสตร์ ปี 32 เข้าทำงาน แบงค์ ...... ประมาณ  13 ปี แต่งงาน พ.ศ. .... มีลูก 2 คน ลาออกจากธนาคารปี 2545 ตอนลูกคนที่ 2 อายุ 2 ปี เพราะไม่มีใครเลี้ยงลูก 
                 อาการที่ทำให้มีความทุกข์คือ  หนูจะชอบคิดด่าในใจ ด้วยประโยคว่า ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ......สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์องค์เจ้าสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือธรรมชาติ สิ่งใครเทิดทูนศักด์สิทธิ์  แล้วอีกใจนึงก็จะคอยบอกว่ามันผิด มันบาป เราจะต้องมีอันเป็นไป ตกนรก ชาติหน้าต้องเกิดเป็นเปรต..... แล้วร่างกายหนูก็จะสั่น ใจเต้นแรง ด้วยความกลัว กลัวทุกสิ่งจะเกิดจริงขึ้นมา  กลัวมากมาก
            การแก้ปัญหาตั้งแต่เด็กมา คือ อีกใจกล่าวคำขอโทษ ขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจด่า  แต่ขณะเดียวกัน อีกใจที่คอยด่านั้นก็จะรัวคำด่าเป็นชุดชุด เหมือนสะใจ ที่อีกใจนึงมันกลัวมากมาก  เมื่อร่างกายทนไม่ไหว ก็จะลุกขึ้นมานั่ง เปลี่ยนอิริยาบถ  หนูจะบังคับใจให้ท่องพุทโธ ไป ขณะนั้นใจมันก็จะด่าไปได้อีก จนบางทีกลัวจนร้องไห้หลับไป
            บางทีความคิดก็ไม่ด่าแต่จะเป็นเห็นอวัยวะเพศชายของบุคคลนั้นแทนค่ะ  เห็นการร่วมเพศ อะไรแบบเนี้ย ซึ่ง ผิดมากที่คิดแบบนี้ลงไป หนูกลัวความรู้สึกแบบนี้เหลือเกินคะ  คือคนปกติ เค้าเห็นสิ่งที่ต้องเคารพ เค้าก็ต้องมีใจที่ดี คิดดีดี แต่ทำไมหนูถึงเป็นแบบนี้  มันทำให้หนูไม่กล้าไปวัด ไปไหนเลย 
             หนูพยายามสังเกตว่าบุคคลที่หนูจะคิดแบบนี้ ต้องเป็นเพศชาย ที่มีบุคลิก นุ่ม สุภาพ ใจเย็น อบอุ่น มีอำนาจเหนือคนอื่น หนูเพียงแต่คิดนะคะ แต่ไม่เคยอยากที่จะทำอะไรแบบนี้  มันเหมือนใจฝ่ายที่มันคิดมันแกล้งให้อีกใจทีดี ซึ่งหนูคิดว่ามันคือตัวหนู 
             หนูขอเล่าประวัติส่วนตัวของหนูบางอย่างที่หนูวิเคราะห์ว่ามันน่าจะทำให้หนูเป็นอาการแบบนี้หรือเปล่า  สมัยที่เรียน หนูชอบเรียนจิตวิทยามากมากค่ะ เคยไปขอคำปรึกษาอาจารย์ที่สอนอยู่หลายครั้ง หนูเป็นลูกคนสุดท้อง พ่อเป็นทหารยศ ... แม่ตัดเสื้อ  และออกเงินกู้อยู่ในกรมทหารตรงแถว.... มาแต่เกิด  บ้านยายกะตาอยู่ .... แถววัด .... พ่อเงียบไม่เคยพูดคุย เล่นกับลูก คอยแต่จะด่า ตะคอก โดยไม่มีเหตุผล  แม่ชอบด่าพ่อว่าไม่เอาไหน เป็นแค่ทหารยศต่ำ ทุกวันนี้ที่มีเงินขึ้นมาก็เพราะแม่จัดการทุกอย่าง เหตุการณ์ที่หนูจำฝังใจคือ  ตอนเด็กไปวิ่งเล่นแล้วหกล้ม หัวเข่าเป็นแผล  กลับบ้านพี่ชายก็จะช่วยบังไม่ให้พ่อเห็น  แต่ก็ไม่พ้น โดยตีด้วยเข็มขัด ฝังใจมาก  อีกทีตอนเช้า พ่อทำข้าวต้มปลา หนูกินไปก้างติดคอ โดนตีอีก พ่อไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ เวลาจะพูดคือตะคอกใส่ ....ไอ้เหี้ย ไอ้ห่าลากใส้...........  หนูและพี่พี่ กลัวพ่อมาก กลัวสายตาทีดุดัน คำพูด เสียงดังดัง  กลัวจนโต จนเรียนมหาลัย เลยค่ะ  หนูอยู่ในกรมทหารหนูไม่มีเพื่อน แม่ห้ามไปเล่นกับเด็กทั่วไป เย็นลงกลับจาก รร. หนูจะยินที่ระเบียงหน้าห้อง .... ชั้น ... บ้านเป็นแฟลตทหารค่ะ มองไปหน้าแฟลตที่เป็นสนามเด็กเล่น ดูเด็กเค้าเล่นกัน แม่ห้ามเพราะ ไม่ให้ไปเกลือกกลั้วกับเด็กพวกนั้น คล้ายแบบว่าเรารวย อย่าไปสุงสิง สมัยนั้นบ้านหนูมีทีวีสีดูก่อนคนในกรมเลยนะคะ แต่ตัวหนูไม่ใช่เด็กเกเรนะ หนูไม่ค่อยพูด เงียบเงียบ ไม่กล้าแสดงออก เก็บกด เวลาไป รร.หนูจะอายเพื่อนมากที่บ้านเราอยู่แฟลต พ่อเป็นแค่.... คุณหมอคิดดูนะ รร.สาธิต .... พ่อเพื่อนแต่ละคะ หมอ นายพัน นักธุรกิจ ใหญ่โตทั้งนั้น บ้านก็เป็นบ้านส่วนตัว หนูอายเวลาเขียนประวัติส่งครู คำนำหน้าพ่อหนูจะเว้นไว้ กลัวเพื่อนเห็น พอถึงโต๊ะครูค่อยแอบใส่ไม่ให้เพื่อนเห็น  ลืมบอกไปที่หนูเข้ารร.นี้ได้ไม่ใช่เรียนเก่งอะไร น้าสาว น้องแม่เป็นอาจารย์ที่นี่ ฝากเข้าให้ค่ะ
       หนูไม่มีเพื่อนชายเลย เพราะหนูรู้ตัวว่าอ้วน ไม่สวย หน้าแบน จมูกบี้  แล้วหนูก็ไม่กล้าด้วยแต่ใจจริงอยากคุยด้วยนะ อิจฉาเพื่อนที่หน้าตาดี มีเพื่อนชายเยอะ  จิงจิงหนูแค่อยากคุยด้วย ไม่อยากเป็นแฟน   
       ตอนขึ้น ม.4 หนูโดนเพื่อนในกลุ่มทิ้ง เพราะหนูเรียนศิลป์คำนวณคนเดียว กลางวันเค้าก็ไม่รอกินข้าว ทำเหมือนไม่รู้จัก รังเกียจเรา  ตอนนั้นหนูเศร้ามาก ร้องไห้ทุกวัน กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เจ็บปวดเป็นครั้งแรก ทุกวันนี้นึกถึงแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรไม่ดี เค้าถึงทำกับเรา ทุกวันนี้ยังร้องไห้ได้เมื่อนึกถึง
     ม.6 หนูเริ่มติดต่อกับเพื่อนชายต่าง รร. เขียนจม.คุยกัน หลายคนมาก คุยแบบไม่เห็นหน้ากัน เพื่อนหนูอยู่ รร.ชายดังดังทั้งนั้น แค่คุยนะคะ ไม่เคยเจอหน้า คุยเฮฮากัน ไม่จีบ ทุกคนชมว่าเสียงหนูเพราะดี  จนมีคนนึง ชื่อ .... ทีทำให้ชีวิตหนูแย่มาก หนูคบกับเค้ามา เกือบ 10 ปี จนเรียนจบ  เค้ารังแกหนู ตบตีหนูตลอด แต่หนูไม่กล้าเลิก ไม่กล้าหนี เคยพาไปบ้าน แม่ไม่ชอบมาก เค้าเป็นคนก้าวร้าว ชอบหาว่าหนูโง่ ไม่สวย แต่ดีกับเค้า ทุกครั้งทีเค้าโทรมา หนูต้องคอยแอบแม่ ต้องหลบหลบซ่อนซ่อน โชคดีนะที่หนูไม่ท้อง เรียนจบมาได้ 2.34 เพื่อนที่มหาลัยพอรู้ แต่ไม่มีใครกล้าเตือน กล้าช่วยหนู ให้สติหนูเลย ครั้งนึงที่หนูจำได้แม่น นัดกันหลังสอบเส็ดเที่ยง หนูออกจากห้องสอบช้าเพราะอาจารย์ยังให้ทำต่อ กว่าจะออกมาก็ช้าไปสัก 30 นาที พอเจอกัน หนูก็ขอโทษ อธิบายเหตุผลให้ฟัง เค้าบอกมึงเห็นข้อสอบดีกว่ากูเหรอ แล้วตบหน้าหนูตรงลานโพธ์ หน้าคณะศิลปศาสตร์
        เหตุกาณ์เป็นอย่างนี้ตลอด แต่หนูก็ทน เพราะรู้สึกว่า เค้ารักเรานะ เราไม่มีใครเอาแล้ว ก็ทนอยู่อย่างนั้นจนเค้าได้มีโอกาสไปนอก ไปทำงาน หนูเตรียมทุกอย่างเพื่อให้เค้าไป  จนสำเร็จ  เค้าบอกว่า พอไปแล้วมั่นคงจะมารับไปอยู่ด้วยกัน อ้อ ตอนไปทำวีซ่า หนูบ้ามาก หนูยอมจดทะเบียนสมรสกับเค้าด้วย เพื่อให้วีซ่าผ่าน ก่อนเค้าจะไปก็ได้ไปหย่ากันแล้ว  พอเค้าไปแล้ว สัก 10 วัน เค้าโทรกลับมาว่าทนไม่ไหว ลำบากมาก จะกลับแล้ว ให้ส่งเงินมาด้วย  ตอนนั้นหนูตอบกลับไปว่า ไม่ต้องกลับมา ไม่
เอาแล้ว ไม่ทนอีกแล้ว ชีวิตฉันเป็นอิสระแล้ว มันทิ้งโรคอะไรไว้ให้หนูก็ไม่รู้  หมอบอกน่าจะเป็นเริม มันเป็นอะไรที่ติดตัวมาจนทุกวันนี้  
     ตอนที่หนูจะไปหย่ากันนั้น หนูต้องเอาทะเบียนบ้านไปด้วย แล้ว จนท. เค้าก็ขีด นางสาว เป็น นาง นามสกุลก็เปลี่ยน แล้วหนูจะเอาไปคืนแม่ยังไง  แม่ต้องใช้ตลอด เพราะแม่ปล่อยเงินกู้ รับจำนองบ้าน  กลัวจน ในที่สุด  โกหก แต่งเรื่องว่า  ตั้งใจจะหนีไปเมืองนอกด้วยกัน แต่ตัดสินใจไม่เอาแล้ว   แล้วก็กราบขอโทษแม่ แม่ก็เฉย ไม่ได้ว่าอะไรอีก  
      หนูขอบอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนหนูตกนรก หนูร้องไห้ทุกวัน หนูต้องหลบหลบ ซ่อนซ่อน ไม่ให้แม่รู้ หนูต้องทนให้มันข่มเหง ต้องทนให้มันตบตี  หยิก ข่วน  แล้วแลกกับความรักที่มันบอก  แลกกับความรู้สึกว่าฉันมีคนของฉัน มันไม่คุ้มกันเลยค่ะ  ตอนนี้หนูมีลูกแล้ว หนูไม่เคยปล่อยเวลาให้ลูกต้องโกหก หลบซ่อนอะไรเลย หนูคุยกับลูกทุกเรื่อง เวลามีใครมาจีบมาชอบ จะอธิบาย ชี้แนะเค้าตลอด หนูไม่อยากให้เค้ามีสภาพเหมือนที่หนูเป็น  ตอนนี้หนูพิมพ์ไปพร้อมน้ำตานะคะ
          จากนั้นหนูรู้จักสามีตอนเข้าทำงาน  เค้าเป็นคนเฉย ตัวเล็กกว่าหนูอีก ขยันทำงาน  อายุเท่ากัน  หนูเล่าทุกอย่างที่หนูเป็นให้เค้ารู้  เค้าไม่รังเกียจอะไร แถมพาหนูไปหาหมอด้วยโรคที่ติดมาอีก  คบกับเค้ามา เกือบ 10 ปี  จนตอนที่ย้ายสาขาทำงาน หนูไปรู้จักกับพี่คนนึง เค้าเป็นอะไรที่อบอุ่นมาก อะไรก็ใจตรงกัน คิดเหมือนกันทุกอย่าง  คอยชี้แนะ ให้กำลังใจ เป็นทุกอย่างที่หนูใฝ่ฝันอยากได้เลย แต่เค้ามีเมียแล้ว มีลูก 1 คน หนูไม่อายเลยที่ไปไหนมาไหนกับเค้า 
          จนวันนึงเมียเค้ามาด่าหนูที่ทำงาน   หนูเลยตัดสินใจเลิกเถอะพี่ อายลูกค้า อายคนที่ทำงาน  แต่พี่เค้ากลับร้องไห้ คุกเข่าขอร้อง อ้อนวอน ว่าอย่าทิ้งเค้าไป อย่าเพิ่งแต่งงาน   ตอนนั้นหนูรู้สึกตัวลอยมาก รู้สึกมีค่ามาก จึงยอมให้อะไรมันเลยไปเรื่อยเรื่อย  หนูรู้สึกมีค่าเหลือเกินที่ต้องหลบซ่อนเวลาจะเจอกัน เสาร์อาทิตย์เนี่ย จากกันด้วยนำตา เวลาทะเลาะกัน ไม่พูดกัน โทรหากันก็ไม่ได้ พี่เค้าก็หลบเมีย หนูเองก็หลบสามีซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกันนะคะ    
         เป็นอย่างนี้อยู่  3 ปีได้ ทรมานสุดสุดค่ะ ชีวิตมีแต่น้ำตา เวลาพี่เค้าออกจากบ้านมา เมียเค้าโทรหาหนู พูดว่า แก้ผ้ารอเลย ออกมาแล้ว  นานนานเข้ามันเจ็บปวดเหลือเกินค่ะ ว่า เอ.เค้ารักเราที่แค่เนี้ยเหรอ  จนวันนึงเค้าเอ่ยปากว่า  เราน่าจะต้องหาห้องเช่าสักห้องนะ เอาไว้เจอกัน  และตอนนั้นหนูย้ายมาอีกสาขานึง เจอพี่คนนึงซึ่งเป็นเพื่อนกับพี่คนนี้  พี่คนนี้ก็น่ารักเช่นกัน โสด ขาว หน้าตาดี แต่ขี้บ่น วันนึงพี่เค้าเตือนหนูทางโทรศัพท์ว่า พี่ไม่รู้หรอกนะว่าหนูรู้หรือเปล่า ว่าเค้ามีเมียมีลูกแล้ว เราเองก็มีแฟนแล้ว แล้วจะคบหากันไปให้มันเสียหายทำไม เราเป็นผู้หญิงที่ดีหรือเปล่า  เท่านั้นเอง หนูไม่โทรไปง้ออะไรเค้าอีกเลย ตั้งแต่วันที่จะไปหาห้องเช่า แต่พี่คนที่เตือนสติหนูนี่ หนูไม่เคยคิดจะจีบหรือจะเป็นแฟนอะไรทั้งสิ้น พี่เค้ามีบุคคลิกที่ทำให้หนูเกรงกลัว คือชอบโวยวาย ขี้บ่น เสียงดัง  หนูเคารพพี่มาก ที่ให้สติหนูกลับมา  
        จากนั้นหนูก็แต่งงาน   แต่ทุกครั้งที่มีป้ญหา เสียใจ เหงา หนูคิดถึงพี่เค้าตลอดมา เพราะสามีไม่สามารถให้คำปรึกษา เป็นผู้นำ ให้กำลังใจแบบที่พี่เค้าให้เลย
        
       หนูไม่รู้จิงจิงว่า เหตุการณ์จุดไหนในชีวิต   ที่ทำให้หนูมีปัญหากับอาการทางจิตที่เกิดขึ้นนี้ได้  ตอนเด็ก สมัยอยู่แฟลต ตอนกลางคืนนอนมุ้งเดียวกัน หนูเคยตื่นขึ้นมาเห็น พ่อกับแม่ทำอะไรกันด้วย  มันเป็นเหตุให้หนูฝังใจกับอะไรแบบนี้รึเปล่าคะ      
       ทุกวันนี้ หนูเสียใจกับชีวิตที่ผ่านมาเหลือเกิน หนูเสียดายวันเวลาเหล่านั้น  หนูเกลียดตัวเองที่ ทนอะไรกับสิ่งที่ไร้สาระเหล่านั้นทำไม ทำไมต้องทนเจ็บตัว โง่ ควายดีดีนี่เอง  ทุกวันนี้หนูไม่มีเพื่อน หนูไม่อยากติดต่อกับใคร หนูอาย ที่หนูไม่มีอะไรเลย หนูไม่รู้จะไปคุยอะไรกับเพื่อนที่ทุกคนเค้ามีทางเดิน มีอาชีพของเค้า แต่หนูไม่มี อยู่บ้านทำงานบ้าน ทำกับข้าว รับลูก คอยแบมือขอเงินสามี ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ น่าดีใจเลย จะทำอะไรก็ไม่กล้าทำ ลงทุนอะไรก็ไม่กล้า กลัวไปหมด กลัวแม่ด่า ถ้าแม่รู้โดนด่าแน่ หนูหาความสุขกับการซื้อของ ซื้อของกิน กลับบ้าน คุยกะแม่ค้า ซึ่งเค้าไม่รู้หรอกว่าประวัติหนูเป็นไง รู้แต่ว่า อวยหนูเยอะเยอะ หนูก็ซื้อแล้ว 
       วันเสาร์ที่ 25 นี้ หลวงพ่อที่หนูนับถือท่านมรณภาพ ท่านเป็นคนสอนให้หนูคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความคิด เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป หนูตกใจ และเศร้ามากที่ท่านจากไป ถึงแม้จะเคยพบท่านครั้งเดียว แต่อาศัยฟังท่านจากวิทยุ และทีวี แต่ความเศร้านั้นทำให้หนูนึกถึงท่านมาก แต่ใจมันกลับคิดไปในทางไม่ดี  มันทำให้หนูกลัว สั่น เกรงว่าจะเสียสติในที่สุด 
       กราบขอความช่วยเหลือจากคุณหมอด้วยเถิดค่ะ

...........................................

ตอบครับ

     เดี๋ยวนะ คุณเล่าว่าเป็นถ้าเป็นคนเพศชาย ที่มีบุคลิก นุ่ม สุภาพ ใจเย็น อบอุ่น มีอำนาจเหนือคนอื่น ละก็คุณจะเห็นเป็นอวัยวะเพศชายของบุคคลนั้นเลย อื้อหือ ว่าแต่ .. ผมว่าผมมั่นใจนะว่าคุณกับผมเนี่ย เรายังไม่เคยเจอกันเลยในชีวิตนี้ ถูกแมะ (แหะ..แหะ แซวเล่นนะครับ ไม่มีอะไร)
   
     มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

     1.. จินตนาการสกปรกเลอะเทอะ โดยเฉพาะในเรื่องเซ็กซ์ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ว่าชายหญิงต่างก็มีกันมากบ้างน้อยบ้าง บ้างโดยตั้งใจ บ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ หมายความว่าเกิดขึ้นเฉพาะตอนเผลอไม่มีสติ การมีจินตนาการมากมายในเรื่องเพศ ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้คนบ้าหรือไม่บ้า อย่าได้กังวลว่าจะเป็นบ้าเพราะเหตุนี้

     2.. ความเชื่อที่ว่าการได้เคยพบเคยเห็นอะไรในวัยเด็ก เช่นแอบเห็นพ่อแม่มีเซ็กซ์กัน จะทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจในวัยผู้ใหญ่นั้น เป็นความเชื่อสมัยเก่า อย่างเช่นทฤษฏีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ แต่สมัยนี้การแพทย์เราอาศัยหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่จับต้องได้ ความเชื่อดังกล่าวได้เลิกรากันไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราทราบแล้วว่ากลไกการเก็บความจำของสมองนั้นความจำถูกเก็บไว้ในรูปของไฟฟ้าที่เรียกว่ากระแสประสาท (nerve impulse) ที่วิ่งอยู่ในเซลประสาท ซึ่งเชื่อมต่อจากเซลหนึ่งไปหาอีกเซลหนึ่ง และหากหลายๆเซลมาต่อกันเป็นวงกลม กระแสประสาทนั้นก็จะวิ่งวนซ้ำๆอยู่อย่างนั้นโดยไม่หายไปไหน เนื่องจากเซลประสาทมีแขนงมากมายยังกะกิ่งของต้นไม้ เซลอาจจะสำเนากระแสประสาทที่วิ่งวนอยู่นั้นออกไปกระตุ้นเซลอื่นนอกวงเมื่อไรก็ได้ นั่นหมายความว่าความจำที่เก็บไว้ มันไม่หายไปไหน แม้เราจะลืมมันแล้ว แต่ในจังหวะเหมาะ มันอาจโผล่มาผสมโรงในกิจกรรมของสมอง เช่นเป็นความคิด เป็นความฝัน เป็นจินตนาการ เป็นความกังวล ก็ได้ ธรรมชาติของประสบการณ์ในอดีตมีแค่นี้เอง ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลพิเศษที่จะดลบันดาลให้เราเป็นบ้าได้แต่อย่างใด

      3.. การที่คนเรามีตัวตนเสมือน (virtual identity) สองแบบอยู่ในสมอง แล้วทะเลาะโต้เถียงกันโขมงโฉงเฉงเป็นประจำ ถือเป็นกิจกรรมปกติของสมองเรา ไม่ใช่ความบ้า แต่มันเป็นกลไกทางจิตที่เปิดโอกาสให้สมองได้ใช้ดุลพินิจ (cognitive function) ของเราเข้าไปตรวจสอบความเป็นจริง (reality testing) เพื่อให้เรารู้ว่าอย่างนี้เป็นไปได้ อย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง ในเรื่องการใช้ดุลพินิจนี้เราจะต้องฝึกสมองของเราให้คิดอย่างมีตรรกะมีเหตุมีผล และหัดตัดสินใจสนับสนุนข้างที่มีเหตุผลดีมีตรรกะดีโดยไม่ลังเล เรื่องการใช้ดุลพินิจนี้ ความบ้ามีโอกาสเกิดขึ้นได้จากสองกรณี คือ 
     กรณีที่ 1. ขณะที่ตัวตนเสมือนของเราโต้เถียงกันรุนแรงต่างฝ่ายต่างก็ว่าวิธีของตัวเองดี แล้วตัวเราซึ่งมีหน้าที่ใช้ดุลพินิจเข้าไปตัดสินไม่สามารถตัดสินได้ เกิดเป็นความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายอย่างแรง (ambivalence) ขึ้นในใจ จะเอายังงั้นก็กลัวยังงี้ จะเอายังงี้ก็กลัวยังงั้น ถ้าเป็นแบบนี้นานๆเข้าก็บ้าได้ และ 
      กรณีที่ 2.  คือตัวเราซึ่งมีหน้าที่ใช้ดุลพินิจเสียความสามารถในการใช้ดุลพินิจไปอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถหยั่งรู้สภาวะที่คนปกติควรรู้ เช่น ใครเป็นใคร สถานที่นี้คือที่ไหน ณ ขณะนี้เป็นเวลาใด เสียงที่ได้ยิน หรือภาพที่เห็น หรือจินตนาการที่เกิดขึ้น อันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นของหลอกหลอน ถ้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรหลอน อย่างนี้ก็ถือว่าบ้าแน่นอน  

     4.. สิ่งทั้งหลายที่คุณเล่ามามากมายจนเอาไปทำนิยายน้ำเน่าได้หนึ่งเรื่องนั้น มันเป็นเพียงอดีต หรือเป็นเพียงความจำก้อนหนึ่งที่สมองเก็บไว้ตามธรรมชาติของสมองเท่านั้น มันมีราคาเทียบเท่ากับความฝันเรื่องยาวหนึ่งเรื่องสำหรับคนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อตอนเช้า มันมีราคาเท่านั้นเอง การเอาเวลาอันมีค่าของชีวิตอันแสนสั้นที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ไปคร่ำครวญถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว เป็นสิ่งที่คนฉลาดเขาไม่ทำกัน

     5.. ประเด็นที่ว่าคุณกลัวความดิดและความรู้สึกที่ลามกงี่เง่าของตัวเองจนไม่กล้าไปไหน อันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นที่กำลังป่วยทางใจทั้งหลายหรอกครับ รากของปัญหามันเหมือนกันหมด คือการขาดความสามารถที่จะฟื้น (recall) เหตุการณ์ทางสมองที่ผ่านไปหมาดๆได้รวดเร็ว ทำให้ตัวเองไม่ได้รับรู้ (aware) ว่าได้มีการก่อตัวของความคิดบางอย่างขึ้นแล้ว ทำให้ความคิดที่ถูกปล่อยปละละเลยก่อตัวขึ้นจนใหญ่โตกลายเป็นยักษ์หันมาทุบกะบาลเจ้านายเอา การจะเอาชนะเรื่องนี้หลักวิธีมันก็ทำความเข้าใจกันได้ไม่ยาก เพียงแต่มันต้องการทักษะที่ต้องขยันฝึกฝนเท่านั้นเอง คนส่วนใหญ่จะมาตกม้าตายก็เมื่อต้องขยันฝึกฝนนี่แหละ เพราะคนส่วนใหญ่มีสันดานขี้เกียจ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเขียนมาแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะชี้ทาง ส่วนคุณจะขยันฝึกฝนจนทำได้จริงหรือไม่ นั่นอยู่ที่คุณแล้วนะ
     เนื้อหาของเรื่องมันมีเพียงว่าความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเรานี้ มันเกิดขึ้นเพื่อสนองตอบ (response) ต่อการที่สมองหรือจิตสำนึกของเราได้รับสิ่งกระตุ้น (stimuli) หมายความว่าเริ่มต้นด้วยการมีสิ่งกระตุ้นก่อน คำว่าสิ่งกระตุ้นนี้มันอาจมาในรูปของภาพ หรือเสียง หรือรส หรือกลิ่น หรือการสัมผัส ซึ่งอวัยวะที่ได้รับสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นเช่น ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง ได้แปลงสัญญาณเป็นกระแสประสาทส่งเข้าไปให้สมองทราบ สิ่งกระตุ้นอาจมาอีกทางหนึ่งคือมาทางใจโดยตรงโดยไม่ผ่านอวัยวะรับสัมผัสใดๆ นั่นก็ความคิดที่ป๊อบขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งอันที่จริงก็คือกระแสประสาทที่ถูกสำเนาส่งขึ้นมาโดยหน่วยเก็บความจำของสมอง พูดง่ายว่าเรื่องที่ป๊อบขึ้นมาเองในหัวสืบค้นไปแล้วก็ล้วนมีรากมาจากความจำในอดีตทั้งสิ้น จะเป็นความจำลุ่นๆเพียวๆ หรือเป็นความจำที่ถูกคลุกเคล้ากับความคิดอ่านจินตนาการก็แล้วแต่ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น (stimuli) สมองก็สนองตอบ (response) ด้วยการคิด ซึ่งจากความคิด ก็จะต่อยอดไปเป็นความรู้สึก และไปเป็นการพูดและการกระทำ
     ประเด็นสำคัญคือเมื่อมีสิ่งกระตุ้นเข้ามาที่สมอง จะมีช่องว่างอยู่อึดใจหนึ่ง ที่สมองสามารถใช้ดุลพินิจเลือกวิธีสนองตอบได้ว่าจะเลือกสนองตอบแบบไหน อย่างที่ผมบอกแล้ว คนที่มีความคิดอ่านและดุลพินิจที่ดีก็คือคนที่ฝึกสมองไว้ดี สามารถกลั่นกรองประเมินสิ่งกระตุ้น แล้วเลือกวิธีสนองตอบได้อย่างเหมาะสม ส่วนคนที่ไม่ฝึกสมองตัวเองเลย ก็จะปล่อยให้การสนองตอบเกิดขึ้นตามยถากรรม หมายความว่าสนองตอบไปตามการเรียนรู้ที่ได้รับมาในอดีต เช่นถ้าตัวกระตุ้นมาในรูปของความคิดถึงตอนพ่อด่า เมื่อเกิดความคิดถึงตอนพ่อด่าขึ้นมาที่ไรก็จะเกิดความเสียใจร้องไห้ทุกที มาคราวนี้คิดถึงตอนพ่อด่าอีก ก็จะเสียใจร้องไห้อีก อย่างนี้เรียกว่าปล่อยให้การสนองตอบเป็นไปตามยถากรรม คือมันเป็นการสนองตอบแบบแทบจะอัตโนมัติ โดยสมองส่วนการใช้ดุลพินิจแทบไม่ได้เข้ามีบทบาทคัดกรองเลือกสรรอะไรเลย คนที่ผมเรียกว่าฝึกสมองไว้ดี ก็คือคนที่ฝึกตัวเองจนสามารถฟื้น (recall) ความคิดที่เพิ่งผ่านไปได้แทบจะทันที ทำให้เกิดความรู้ตัว (awareness) ว่าความคิดเรื่องพ่อด่ากลับมาเยือนอีกแล้ว หรือช้ากว่านั้นหน่อยก็รู้ตัวว่าความรู้สึกเสียใจเรื่องพ่อด่ากำลังก่อตัวอีกแล้ว ความรู้ตัวจะเปิดโอกาสให้เราได้เฝ้ามองความคิด มองเฉยๆนะ มองแบบไม่ผสมโรงคิด โดยธรรมชาติของความคิด เมื่อถูกเฝ้ามอง มันจะฝ่อไปเอง เมื่อความคิดงี่เง่าฝ่อไป มันก็ไม่อาจเติบโตจนกลายเป็นยักษ์มาทุบกบาลเราได้ นั่นหมายความว่าถ้าเราฝึกทักษะการฟื้น (recall) ความคิดที่เพิ่งผ่านไปได้ทันทีจนชำนาญ เราก็จะควบคุมบังคับการสนองตอบให้ออกแนวสร้างสรรค์แทนแนวทำลายตัวเราเองได้

     6.. สุดท้าย ผมอ่านสาระทั้งหมดในจดหมายของคุณแล้ว จับความได้ว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม เป็นแม่ที่ดีของลูก เพียงแต่คุณยังขาดทักษะที่จะตามความคิดงี่เง่าของตัวเองให้ทันเท่านั้นเอง คุณยังไม่เป็นบ้าง่ายๆหรอกครับ ขยันฝึกทักษะที่จะตามความคิดตัวเองให้ทัน แล้วชีวิตก็จะดีขึ้นเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์  
     

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี