มันไม่ต่างกันดอก ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาเงิน อำนาจ หรือความหลุดพ้น
ชีวิตใน “นิคม” |
เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
ผมทำงาน ... ตอนนี้อายุ 60 แล้วใจไม่สงบ ทนพฤติกรรมแสวงเงินและอำนาจของคนรอบตัวไม่ไหว
อยากไปบวช อยากฟังความเห็นคุณหมอในเรื่องนี้
อีกอย่างหนึ่งคืออยากฟังความเห็นประเด็นว่าหากเราเผยแผ่เมตตาธรรมออกไป
มันจะช่วยให้โลกพ้นจากการเข่นฆ่ากัน โดยเฉพาะสงครามนิวเคลียร์ได้ไหม
.............................................................................
ตอบครับ
1.. ถามว่าจะไปบวชดีไหม ถ้าถามมาก่อนหน้านี้สองสามปีคำตอบคงจะเป็นว่าหากตรงนี้มันไม่สงบก็ลองผละไปแสวงหาความสงบที่ตรงอื่นเถอะแล้วอาจจะพบก็ได้
แต่มาถามผมวันนี้คำตอบของผมคือมันไม่ต่างกันดอก การพยายามหาเงินเพื่อให้รวยหรือแสวงหาทางการเมืองเพื่ออำนาจ
กับการพยายามแสวงหาความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ มันไม่ต่างกันที่ตรงไหนเลย
เพราะมันล้วนเป็นการ “แกว่ง”
ออกไปจากการอยู่นิ่งๆตรงกลางอันเป็นที่ที่คุณจะสงบเย็นและเบิกบานได้ไปเสียแล้ว
ดังนั้นทั้งสองทางล้วนพาคุณไปหาความล้มเหลวหรือพาคุณออกห่างจากความสงบเย็นทั้งคู่
มันต่างกันแค่ว่าการแสวงเงินหรืออำนาจเป็นวิถีที่สังคมให้คะแนนนิยมน้อย
ขณะที่การไปเป็นนักบวชนักบุญหรือไปแสวงหาความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณเป็นวิถีที่สังคมให้คะแนนนิยมมาก
แต่ไม่ว่าเขาจะนิยมหรือไม่นิยมคุณ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับที่คุณจะสงบเย็นได้หรือไม่
ปัญหาความไม่สงบเย็นมันเริ่มหลังจากที่มนุษย์ได้รับ
basic need เช่นอาหารและที่ซุกหัวนอน ครบแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่าความสงบเย็นเบิกบานนั้นมันจะเข้าถึงได้ก็ด้วยการรู้จักยอมรับทุกอย่างให้ผ่านเข้ามาหรือผ่านออกไปโดยไม่แกว่งไปจากที่คุณเป็นอยู่
ณ ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะการแกว่งก็คือความอยาก ไม่ว่าจะเป็น “อยากได้” หรือ
“อยากหนี” คุณก็ได้กลับหลังหันจากโอกาสที่จะสงบเย็นไปเสียแล้ว
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าผมต่อต้านการออกบวชตามแบบศาสนานะ
จริงอยู่ผมเป็นคนไม่ได้นับถือศาสนาใดเป็นพิเศษแต่ผมก็แอบหยิบคำสอนจากทุกศาสนาเฉพาะส่วนที่ผมถนัดมาใช้เป็นประจำ
ส่วนที่ผมไม่ถนัดผมไม่เคยต่อต้านเลย เพราะคนไม่ยุ่งกับศาสนาก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องไปต่อต้านหรือสนับสนุนอะไร
เนื่องจากไม่ได้สนใจ ไม่มีเอี่ยว
ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยมาตั้งแต่แรกแล้ว
ประเด็นตอกย้ำคือความสงบเย็นเบิกบานเป็นธรรมชาติข้างในของใจเราทุกคน
ที่ไม่อาจถึงได้ด้วยการไปแสวงหา แต่ถึงได้ด้วยการเปลี่ยนทิศทางจากมุ่งไปข้างนอกเป็นหันกลับเข้าข้างใน
ปักหลักอยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งไปกอดรัดสิ่งที่ชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ โดยที่ในทางปฏิบัติก็คือการขยันแอบดูและยั้งการ
“แกว่ง” ในแต่ละครั้ง
2.. ถามว่าการตั้งใจเผยแพร่หลักคิดเมตตาธรรมให้ขยายกว้างจะลดโอกาสเกิดสงครามนิวเคลียร์ได้ไหม
ตอบว่าเรื่องสงครามนิวเคลียร์คุณต้องไปถามหมอหยองหรือหมอดูแม่นๆคนอื่นละมัง หมอสันต์จะไปมีปัญญาตอบคำถามแบบนี้ได้อย่างไร
ได้แต่ตั้งข้อสังเกตจากหลักฐานเชิงประจักษ์ให้คุณคิดประกอบ ว่าเมื่อประมาณยี่สิบปีมาแล้วหนังสือไทม์แมกกาซีนลงข่าวเด็กนักศึกษาปีสองที่สะแตนฟอร์ดคนหนึ่งทำระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเท่ากระป๋องนมขึ้นในโรงรถบ้านตัวเองได้สำเร็จ
เขาถูกรัฐบาลสหรัฐฯจับตัวไปตั้งแต่วันนั้นเลย ประเด็นคือเมื่อยี่สิบปีก่อนมันย่นขนาดเหลือเท่ากระป๋องนมได้
ป่านฉะนี้มันไม่เหลือเท่าไฟแช้คแล้วเรอะ เมื่อขนาดมัน handy ขนาดนั้นและใครๆก็มีกัน (องค์กร ACA รายงานว่าตอนนี้มีมากกว่า 12,100
ลูก) คราวนี้โอกาสที่เขาจะใช้กันมันจะมากหรือน้อยละครับ ที่ยังขึงพืดสงบๆกันได้ขณะนี้เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างกลัวว่าเขวี้ยงไปแล้วตัวเองจะหลบระเบิดไม่พ้น
เรียกว่าอยู่กันได้เพราะดุลยภาพแห่งความกลัว (balance of terror) นี่เป็นปัจจัยแท้จริงชัวร์ๆ ที่ทำให้โลกสงบ ส่วนสูตรเมตตาธรรมที่คุณอยากโปรโมทนั้น
ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะเวอร์คหรือเปล่า รู้แต่ว่าในประวัติศาสตร์สูตรนี้ก็ถูกใช้เป็นอาวุธทำสงครามฆ่ากันมาทุกยุค
ภายใต้ตราของศาสนา
ผมไม่ได้ต่อต้านเมตตาธรรมนะ
อย่าเข้าใจผิด ในทางตรงกันข้าม ผมโปรโมทเมตตาธรรมในระดับบุคคลด้วยซ้ำไป
วิธีของผมคือผมโปรโมทให้ทุกคนยิ้ม พอเรายิ้ม คนรอบข้างก็จะสงบเย็นลงได้เอง เอาแค่นี้กันก่อนดีไหม
คุณยิ้มให้ได้ทุกวันก่อน ส่วนโลกทั้งโลกมันจะสงบได้หรือไม่ได้นั้น ช่างมันก่อนเถอะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์