ปวดเส้นประสาทใบหน้า (Trigeminal Neuralgia) จนหมอฟันถอนฟันทิ้งไปแล้วสามซี่
(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)
เรียน คุณหมอสันต์
มีเรื่องขอความอนุเคราะห์ค่ะ..ตอนนี้ดิฉันมีอาการปวดใบหน้าซีกขวา เป็นมาสามปีแล้วค่ะ เริ่มจากเจ็บที่ฟัน ไปหาหมอฟัน สามที่ ถูกถอนฟัน สามซี่ ระหว่างนั้นไปหาหมอสมองทำ mri แล้วได้ยา pregabalin มาทานก่อนอน 1 เม็ด อาการก็ดีขึ้นอยู่เกือบครึ่งปี คราวนี้มาเจ็บมากขึ้นอีก แปรงฟันไม่ได้ กินลำบากได้แต่ของเหลว ไปหาหมอสมองอีกรอบ หมอให้ยาตัวเดิมแต่เพิ่มมื้อเช้าอีกหนึ่งเม็ด อาการก็ลดลง พูดได้มากขึ้น กินอาหารนิ่มๆได้ สักเดือนหนึ่ง อาการเจ็บมามากขึ้นอีก รอบนี้นอนไม่ได้ เจ็บรบกวน กลับไปกินของเหลว เปลี่ยนอิริยาบทเจ็บ ก้มหัวเจ็บ กวาดบ้านเจ็บ..แบบนี้มีแค้มป์ที่ช่วยบำบัดมั้ยคะ หมอสมองจะส่งไปบล้อคเส้นประสาท ซึ่งจะชาไปตลอดชีวิต กับผ่าตัด..เผื่อมีทางเลือกที่มากกว่าสองทางนี้ค่ะ..
ขอโทษที่รบกวน กับขอบคุณถ้ากรุณาค่ะ
………………………………………………………………
ตอบครับ
1.. ถามว่า ปวดใบหน้าซีกขวา ไปหาหมอฟันสามคน ถูกถอนฟันไปสามซี่ เป็นโรคอะไร ตอบว่าเป็นโรค Trigeminal neuralgia แปลว่า “โรคปวดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้า” ซึ่งเป็นโรคที่วงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร
2.. ถามว่าหมอสันต์มีแค้มป์ช่วยบำบัดไหม ตอบว่าไม่มีครับ พูดถึงแค้มป์หมอสันต์ทำเฉพาะแค้มป์ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยป้องกันหรือพลิกผันโรคของตัวเองได้ด้วยตัวเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรังเช่นโรคหัวใจ อัมพาต เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง อ้วน สมองเสื่อม เป็นต้น ไม่ได้ทำแค้มป์แบบบำบัดโรคแบบว่าปวดโอดโอยมาแล้วช่วยทำให้หายแบบนี้หมอสันต์ไม่สามารถครับ แต่ว่าผมทำอยู่แบบหนึ่งเรียกว่า “แค้มป์ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ” (Spiritual Retreat -SR) ซึ่งเป็นแค้มป์สอนให้จัดการความเครียดผ่านการวางความคิด ในแค้มป์จะมีสอนให้ฝึกรับมือและอยู่กับความปวดด้วยการทำใจยอมรับและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่ได้ทำให้ความปวดหายนะ แค่ให้อยู่กับมันได้ ถ้าคุณสนใจมาลองเรียนดูก็อาจจะดีกว่าอยู่เปล่าๆ
3.. การรักษาโรคปวดประสาทเส้นที่ห้านี้ นอกจากกินยา pregabalin และการผ่าตัดแล้วมีวิธีอื่นไหม ตอบว่าก็พอจะมีอยู่นะครับ ผมจะเล่าให้เห็นภาพรวมของการรักษาโรคนี้โดยสรุปนะ
3.1 การใช้ยา ซึ่งนอกจาก pregabalin ตัวเลือกก็ยังมียากันชักตัวอื่นๆทั้งหลายเช่น gabapentine, carbamazepine, oxcarbazepine นอกจากนี้การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อควบก็ช่วยได้บ้าง ตัวอย่างของยาคลายกล้ามเนื้อก็เช่น carisoprodol, metaxalone, orphenadrine, blaclofen, tizanidine, diazepam เป็นต้น ยาเหล่านี้ต้องให้แพทย์สั่ง แม้ว่าเมืองไทยนี้หากหาให้ดีบางตัวก็หาซื้อใต้โต๊ะได้แต่ผมไม่แนะนำ ไปให้แพทย์สั่งให้ปลอดภัยกว่า
3.2 การทำกายภาพบำบัด เน้นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าเช่นการยิ้ม หัวเราะ ยิงฟัน และการนวดหน้า ก็ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นเหตุร่วมของความปวดได้
3.3 การรักษาทางเลือก เช่นฝังเข็ม ก็ช่วยบรรเทาปวดในบางคนได้ดี การฝึกผ่อนคลายกับกล้ามเนื้อควบกับการฝึก “ทำใจ” ยอมรับความปวดอย่างที่หมอสันต์สอนอยู่ในแค้มป์ SR ก็ถือว่าเป็นการรักษาทางเลือกอย่างหนึ่ง
3.4 การบล็อคเส้นประสาท (nerve block) ด้วยการฉีดสารทำลายเซลล์เส้นประสาทเข้าไป ผลเสียคือจะรับความรู้สึกบนใบหน้าไม่ได้ แต่จะยังยิ้ม ยิงฟัน หรือเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้อยู่
3.5 การผ่าตัด ซึ่งก็มีหลายวิธีแล้วแต่หมอไหนถนัดทางไหน เช่นใช้กล้องส่องเข้าไปบรรจงเลาะเอาอะไรก็ตามที่บีบอัดเส้นประสาทออกให้พ้นตัวเส้นประสาท (microvascular decompression) หรือใช้รังสีทะลวงทำลายเส้นประสาท (gamma knife radiosurgery) หรือเจี๋ยน (rhizotomy) เส้นประสาทให้ขาดเป็นท่อนแล้วเอาออกไปทิ้งซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด การผ่าตัดมักมีผลบล็อคการรับความรู้สึกของเส้นประสาทได้อย่างถาวร
4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ คือผมมีความเข้าใจและเห็นใจคุณมาก แค่ตัวความปวดมันก็บีบให้เราต้องหนีสุดขีดอยู่แล้วด้วยแรงบีบของสัญชาตญาณ แล้วไหนจะความคิดต่อยอดในรูปของความกลัวที่จะปวดซ้ำอีก แล้วไหนจะความคิดโกรธ ท้อแท้ สิ้นหวัง แต่ผมขอให้คุณค่อยๆตั้งหลักรับมือ ชีวิตคนเรานี้ นอกจากร่างกาย และจิตใจ แล้ว มันยังขับเคลื่อนด้วยพลังชีวิตซึ่งเป็นพลังงานในรูปแบบหนึ่ง ถ้าชีวิตมีพลังชีวิตมาก สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการใช้ชีวิตรวมทั้งความปวดก็จะลดความสามารถในการทำลายล้างเราลงไป ดังนั้นผมแนะนำให้คุณฝึกเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง ด้วยการเข้าหาธรรมชาติแสงแดด ดิน น้ำ ต้นไม้ และการสร้างพลังชีวิตจากมุมมองจิตวิญญาณ (spirituality) ผมหมายถึงการสร้างพลังชีวิตจากการเชื่อมโยงตัวเรากับสิ่งที่เราเชื่อว่าสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา สุดแล้วแต่ว่าความเชื่อของคุณจะเป็นแบบไหน ทั้งนี้รวมไปถึงการตอบคำถามตัวเราให้ได้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าหรือมีความหมายในชีวิตเรา ชีวิตนี้เรามีศักยภาพอะไรอยู่ในตัวแล้วเราได้ใช้ศักยภาพนั้นสุดขึดความสามารถที่เรามีหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวเพิ่มพลังชีวิตให้เรา ในอีกด้านหนึ่ง ความปวดก็เป็นพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ยุทธศาสตร์ที่ดีก็คือเราฝึกยอมรับมันแล้วใช้มันมาเสริมพลังชีวิตของเราซะเลย ลองฝึกทำดูนะ มีอะไรก็เขียนมาอีกได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์