อ้า..ขอบคุณจริงๆ
พ.ศ. 2523 สมัยผมจบแพทย์ใหม่ๆ ไปเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่สุขศาลา อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ที่สุขศาลาซึ่งเป็นอาคารไม้เก่าๆสร้างมาแต่สมัยรัชกาลที่ 7 ตั้งอยู่ริมปากแม่น้ำ แต่เอาน้ำขึ้นมาใช้ไม่ได้เพราะสมัยนั้นมันเป็นน้ำเค็ม ผมต้องจำใจปล่อยให้สนามหญ้าหน้าสุขศาลาแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลซีดๆไร้ชีวิต ช่างผิดกับความฝันในใจของหมอหนุ่มที่ฝันอยากจะทำให้คนไข้ชนบทมีความสุขที่ได้เห็นหญ้าสีเขียวสด
ที่นั่นสมัยนั้นไม่มีน้ำประปา ที่หลังอาคารสุขศาลามีถังเก็บน้ำฝนเป็นถังซิเมนต์ขนาดใหญ่ การจะใช้น้ำต้องให้ภารโรงปีนขึ้นไปปากถังเอากระแป๋งผูกเชือกลงไปตักเอาน้ำขึ้นมาใช้ทีละกระแป๋ง เมื่อผมเริ่มทำห้องผ่าตัดและทำการผ่าตัดเช่นทำหมันทำผ่าตัดไส้ติ่งก็รู้สึกว่าน้ำแบบนี้ไม่สะอาดไม่เหมาะจะใช้ล้างมือ จึงติดตั้งสูบน้ำเดินน้ำไปตามท่อประปาเปิดใช้เอาจากก๊อก ปรากฎว่าเมื่อติดตั้งก๊อกเสร็จชาวบ้านรอบๆสุขศาลารู้ว่ามีน้ำก๊อกก็พากันเอากระแป๋งมารองไปใช้ บ้างพอตกกลางคืนก็มามุงอาบน้ำก๊อกกันเอิกเกริก พนักงานอนามัยอาวุโสกระซิบบอกผมว่า
"คุณหมอครับ ถ้าเราใช้น้ำอย่างนี้ อีกไม่กี่วันคงหมดถัง แล้วหน้าแล้งนี้อีกหลายเดือนสุขศาลาจะไม่มีน้ำใช้นะครับ"
ผมรู้ตัวว่าความด้อยประสบการณ์ของผมก่อปัญหาขึ้นแล้ว จึงพยักหน้ายอมแพ้แก่ภูมิปัญญาท้องถิ่นว่า
"โอเค. พี่จัดการตามที่พี่เห็นสมควรเถอะ"
วันรุ่งขึ้นเขาก็ออกข่าวว่าเครื่องสูบเสีย เขาถอดสูบน้ำออก น้ำประปาก็หยุดไหล แล้วก็ไม่เคยไหลอีกเลย ทุกคนก็กลับไปอยู่กับระบบให้ภารโรงปีนขึ้นปากถังเอากระแป๋งลงจ้วงตักเอาน้ำทีละกระแป๋งๆเหมือนเดิม บนบ้านพักแพทย์ของผมเองก็ต้องอาศัยเอาขันบรรจงตักเอาน้ำจากโอ่งขึ้นมาอาบอย่างเบาๆ เพราะถ้าตักแรงตะกอนที่ก้นโองจะฟูขึ้นมาทำให้น้ำสกปรก กว่าผมจะมาวิ่งเต้นที่กรุงเทพเพื่อเอางบประมาณต่อน้ำประปาจากตัวเมืองออกไปถึงสุขศาลาได้สำเร็จก็เป็นเวลาที่ผมต้องย้ายเข้ามาฝึกอบรมต่อในกรุงเทพแล้ว
ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อจะเข้าประเด็นของผมที่ว่าต่อมาเมื่อผมย้ายเข้ามาฝึกอบรมต่อในกรุงเทพฯ ครั้งแรกที่ผมเปิดก๊อกน้ำแล้วมีน้ำใสไหลซู่ออกมา ผมดีใจเอาสองมือทำเป็นอุ้งรองแล้วร้องว่า
"อ้า..น้ำสะอาด"
มันเป็นความรู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณชีวิต มันเป็นความอิ่มเอิบซาบซ่า มันเป็นความสุข ที่อยู่ๆก็ได้สิ่งที่ต้องการอย่างยิ่งมาเป็นของขวัญโดยไม่ต้องไปลำบากซื้อหาหรือทำงานหนักเข้าแลก ฝรั่งเรียกความรู้สึกอย่างนี้ว่า grateful น่าเสียดายที่ความรู้สึกอย่างนี้มีอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง พอผมเปิดก๊อกทีไรมีน้ำใสสะอาดไหลซู่ออกมาทุกทีต่อมาความรู้สึกขอบคุณนี้ก็ค่อยๆจางหายไป พร้อมๆกับความสุขที่เคยมาพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณนั้นก็หายไปด้วย
ให้ผมเล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ ก่อนที่จะเข้าประเด็นของบล็อกวันนี้ เรื่องนี้เป็นประมาณปีค.ศ. 1988 (ต้องขอโทษ ช่วงชีวิตที่อยู่เมืองนอกผมต้องบอกเวลาเป็นค.ศ.นะ ขี้เกียจแปลงตัวเลขในหน่วยความจำ) ผมเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ วันหนึ่งมีคนไข้หญิงสาวไปเล่นสกีแล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดล้มลงคลุกหิมะโดยไม่มีใครรู้เห็น รู้แต่ว่าเธอออกสกีแล้วหายไป ตามหาก็ไม่เจอ ผ่านไปตั้งหลายวันจึงมีคนพบ เธอหมดสติ ยังไม่ตาย แต่อยู่ในสภาพโคม่าหัวใจเต้นแผ่วมาก เธอถูกส่งมาแผนกผมเผื่อจะต้องใช้เครื่องหัวใจและปอดเทียมเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ใช้เพราะเธอฟื้นเอง แค่นิ้วเท้าดำเพราะหิมะกัดต้องตัดทิ้งหลายนิ้ว แล้วเธอก็รอดในที่สุด วันหนึ่งก่อนจำหน่ายเธอออกจากรพ. ผมไปราวด์ เธอนั่งแก้มแดงกินอาหารอย่างอะเร็ดอร่อย ผมถามเธอว่า
"From now on, what do you want in life?"
"จากนี้ไป คุณต้องการอะไรในชีวิต" เธอตอบว่า
"๋Just living, doctor. Just living"
"ขอแค่ได้มีชีวิตอยู่ค่ะคุณหมอ แค่มีชีวิตอยู่"
ความหมายจากสีหน้าและน้ำเสียงของเธอก็คือการที่เธอได้ชีวิตกลับมานี้มันเป็นอะไรที่ต้องขอบคุณจริงๆ มันเป็นของขวัญฟรีๆ ที่ดีจริงๆ ได้มาแค่นี้เธอก็มีความสุขแล้ว จนเธอไม่ต้องการอะไรอื่นอีกแล้ว ขอแค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ผมเห็นด้วยกับเธอว่าเมื่อใดก็ตามที่ชีวิตประสบกับสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ได้สิ่งนั้นมา really grateful ชีวิตจะมีความสุขเต็มเปี่ยมโดยไม่โหยหาอะไรอื่นอีกเลย
และถ้ามองให้ดี ชีวิตนี้จะแตกดับได้ทุกเมื่อแม้อีกหนึ่งลมหายใจข้างหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย การที่เราได้มีชีวิตอยู่ในลมหายใจนี้ ในแว้บนี้ ในช็อตนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต มันเป็นของขวัญล้ำค่าที่ได้มาฟรีๆโดยไม่ต้องไปซื้อหาหรือทำงานหนักแลกเอาเลยนะ การที่เราได้ชีวิตมาอีกหนึ่งช็อตนี่มันเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณนะ มันเป็นเรื่อง really grateful ขอบคุณจักรวาลที่ให้ชีวิตเรามาอีกหนึ่งช็อต ขอบคุณที่ให้เดี๋ยวนี้มา ขอบคุณจริงๆ มองชีวิตอย่างนี้ ก็มีความสุขได้ทันทีเลยเห็นแมะ เหมือนกับครั้งแรกที่ผมเปิดก๊อกน้ำกทม.หลังจากเพิ่งย้ายกลับจากปากพนัง แต่ชีวิตที่ได้มาแต่ละช็อตมีคุณค่าและยิ่งใหญ่กว่าน้ำสะอาดจากก๊อกหนึ่งอุ้งมือมากนัก
"อ้า..ได้ชีวิตมาอีกหนึ่งช็อต ขอบคุณจริงๆ"
ผมคิดแบบนี้ทุกวัน
"อ้า ได้อากาศหายใจที่มีออกซิเจนมาแบบฟรีๆ ของสำคัญนะเนี่ย ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้เห็นหญ้าสีเขียวๆ สดๆ ฟรีๆ หน้าบ้านแต่เช้า ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ยินเสียงนกร้องเพราะๆตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตา ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ตากแดดจัดๆเต็มๆช่วยเพิ่มวิตามินดี.ฟรีๆ ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ดื่มน้ำสะอาดๆโดยไม่ต้องลำบากไปเสาะหาหาบหิ้ว ของดีนะเนี่ย ขอบคุณจริงๆ"
คิดอย่างนี้แล้วใจก็เป็นสุข..อย่างง่ายๆเลย
คำว่า "ขอบคุณ" นี้เป็นหนึ่งในสี่ของคำสำคัญที่บ่งชี้ว่าเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน ทั้งสี่คำนั้นได้แก่ (1) ขอบคุณ (2) ขอโทษ (3) ให้อภัย (4) เมตตา ทั้งสี่คำนี้มันบ่งบอกถึงการยอมรับ (acceptance) อย่างไม่มีเงื่อนไข การยอมรับนี้เป็นทั้งนิยามและเป็นทั้งสาระสำคัญที่จะบอกว่าคนเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เมื่อยอมรับทุกอย่าง แค่นี้พอแล้ว แค่นี้ดีแล้ว ไม่เสาะหาอะไรอีกแล้ว นั่นแหละคือการอยู่กับปัจจุบัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ที่นั่นสมัยนั้นไม่มีน้ำประปา ที่หลังอาคารสุขศาลามีถังเก็บน้ำฝนเป็นถังซิเมนต์ขนาดใหญ่ การจะใช้น้ำต้องให้ภารโรงปีนขึ้นไปปากถังเอากระแป๋งผูกเชือกลงไปตักเอาน้ำขึ้นมาใช้ทีละกระแป๋ง เมื่อผมเริ่มทำห้องผ่าตัดและทำการผ่าตัดเช่นทำหมันทำผ่าตัดไส้ติ่งก็รู้สึกว่าน้ำแบบนี้ไม่สะอาดไม่เหมาะจะใช้ล้างมือ จึงติดตั้งสูบน้ำเดินน้ำไปตามท่อประปาเปิดใช้เอาจากก๊อก ปรากฎว่าเมื่อติดตั้งก๊อกเสร็จชาวบ้านรอบๆสุขศาลารู้ว่ามีน้ำก๊อกก็พากันเอากระแป๋งมารองไปใช้ บ้างพอตกกลางคืนก็มามุงอาบน้ำก๊อกกันเอิกเกริก พนักงานอนามัยอาวุโสกระซิบบอกผมว่า
"คุณหมอครับ ถ้าเราใช้น้ำอย่างนี้ อีกไม่กี่วันคงหมดถัง แล้วหน้าแล้งนี้อีกหลายเดือนสุขศาลาจะไม่มีน้ำใช้นะครับ"
ผมรู้ตัวว่าความด้อยประสบการณ์ของผมก่อปัญหาขึ้นแล้ว จึงพยักหน้ายอมแพ้แก่ภูมิปัญญาท้องถิ่นว่า
"โอเค. พี่จัดการตามที่พี่เห็นสมควรเถอะ"
วันรุ่งขึ้นเขาก็ออกข่าวว่าเครื่องสูบเสีย เขาถอดสูบน้ำออก น้ำประปาก็หยุดไหล แล้วก็ไม่เคยไหลอีกเลย ทุกคนก็กลับไปอยู่กับระบบให้ภารโรงปีนขึ้นปากถังเอากระแป๋งลงจ้วงตักเอาน้ำทีละกระแป๋งๆเหมือนเดิม บนบ้านพักแพทย์ของผมเองก็ต้องอาศัยเอาขันบรรจงตักเอาน้ำจากโอ่งขึ้นมาอาบอย่างเบาๆ เพราะถ้าตักแรงตะกอนที่ก้นโองจะฟูขึ้นมาทำให้น้ำสกปรก กว่าผมจะมาวิ่งเต้นที่กรุงเทพเพื่อเอางบประมาณต่อน้ำประปาจากตัวเมืองออกไปถึงสุขศาลาได้สำเร็จก็เป็นเวลาที่ผมต้องย้ายเข้ามาฝึกอบรมต่อในกรุงเทพแล้ว
ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อจะเข้าประเด็นของผมที่ว่าต่อมาเมื่อผมย้ายเข้ามาฝึกอบรมต่อในกรุงเทพฯ ครั้งแรกที่ผมเปิดก๊อกน้ำแล้วมีน้ำใสไหลซู่ออกมา ผมดีใจเอาสองมือทำเป็นอุ้งรองแล้วร้องว่า
"อ้า..น้ำสะอาด"
มันเป็นความรู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณชีวิต มันเป็นความอิ่มเอิบซาบซ่า มันเป็นความสุข ที่อยู่ๆก็ได้สิ่งที่ต้องการอย่างยิ่งมาเป็นของขวัญโดยไม่ต้องไปลำบากซื้อหาหรือทำงานหนักเข้าแลก ฝรั่งเรียกความรู้สึกอย่างนี้ว่า grateful น่าเสียดายที่ความรู้สึกอย่างนี้มีอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง พอผมเปิดก๊อกทีไรมีน้ำใสสะอาดไหลซู่ออกมาทุกทีต่อมาความรู้สึกขอบคุณนี้ก็ค่อยๆจางหายไป พร้อมๆกับความสุขที่เคยมาพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณนั้นก็หายไปด้วย
ให้ผมเล่าอีกเรื่องหนึ่งนะ ก่อนที่จะเข้าประเด็นของบล็อกวันนี้ เรื่องนี้เป็นประมาณปีค.ศ. 1988 (ต้องขอโทษ ช่วงชีวิตที่อยู่เมืองนอกผมต้องบอกเวลาเป็นค.ศ.นะ ขี้เกียจแปลงตัวเลขในหน่วยความจำ) ผมเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ วันหนึ่งมีคนไข้หญิงสาวไปเล่นสกีแล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดล้มลงคลุกหิมะโดยไม่มีใครรู้เห็น รู้แต่ว่าเธอออกสกีแล้วหายไป ตามหาก็ไม่เจอ ผ่านไปตั้งหลายวันจึงมีคนพบ เธอหมดสติ ยังไม่ตาย แต่อยู่ในสภาพโคม่าหัวใจเต้นแผ่วมาก เธอถูกส่งมาแผนกผมเผื่อจะต้องใช้เครื่องหัวใจและปอดเทียมเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ใช้เพราะเธอฟื้นเอง แค่นิ้วเท้าดำเพราะหิมะกัดต้องตัดทิ้งหลายนิ้ว แล้วเธอก็รอดในที่สุด วันหนึ่งก่อนจำหน่ายเธอออกจากรพ. ผมไปราวด์ เธอนั่งแก้มแดงกินอาหารอย่างอะเร็ดอร่อย ผมถามเธอว่า
"From now on, what do you want in life?"
"จากนี้ไป คุณต้องการอะไรในชีวิต" เธอตอบว่า
"๋Just living, doctor. Just living"
"ขอแค่ได้มีชีวิตอยู่ค่ะคุณหมอ แค่มีชีวิตอยู่"
ความหมายจากสีหน้าและน้ำเสียงของเธอก็คือการที่เธอได้ชีวิตกลับมานี้มันเป็นอะไรที่ต้องขอบคุณจริงๆ มันเป็นของขวัญฟรีๆ ที่ดีจริงๆ ได้มาแค่นี้เธอก็มีความสุขแล้ว จนเธอไม่ต้องการอะไรอื่นอีกแล้ว ขอแค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ผมเห็นด้วยกับเธอว่าเมื่อใดก็ตามที่ชีวิตประสบกับสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ได้สิ่งนั้นมา really grateful ชีวิตจะมีความสุขเต็มเปี่ยมโดยไม่โหยหาอะไรอื่นอีกเลย
และถ้ามองให้ดี ชีวิตนี้จะแตกดับได้ทุกเมื่อแม้อีกหนึ่งลมหายใจข้างหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย การที่เราได้มีชีวิตอยู่ในลมหายใจนี้ ในแว้บนี้ ในช็อตนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต มันเป็นของขวัญล้ำค่าที่ได้มาฟรีๆโดยไม่ต้องไปซื้อหาหรือทำงานหนักแลกเอาเลยนะ การที่เราได้ชีวิตมาอีกหนึ่งช็อตนี่มันเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณนะ มันเป็นเรื่อง really grateful ขอบคุณจักรวาลที่ให้ชีวิตเรามาอีกหนึ่งช็อต ขอบคุณที่ให้เดี๋ยวนี้มา ขอบคุณจริงๆ มองชีวิตอย่างนี้ ก็มีความสุขได้ทันทีเลยเห็นแมะ เหมือนกับครั้งแรกที่ผมเปิดก๊อกน้ำกทม.หลังจากเพิ่งย้ายกลับจากปากพนัง แต่ชีวิตที่ได้มาแต่ละช็อตมีคุณค่าและยิ่งใหญ่กว่าน้ำสะอาดจากก๊อกหนึ่งอุ้งมือมากนัก
"อ้า..ได้ชีวิตมาอีกหนึ่งช็อต ขอบคุณจริงๆ"
ผมคิดแบบนี้ทุกวัน
"อ้า ได้อากาศหายใจที่มีออกซิเจนมาแบบฟรีๆ ของสำคัญนะเนี่ย ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้เห็นหญ้าสีเขียวๆ สดๆ ฟรีๆ หน้าบ้านแต่เช้า ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ยินเสียงนกร้องเพราะๆตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตา ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ตากแดดจัดๆเต็มๆช่วยเพิ่มวิตามินดี.ฟรีๆ ขอบคุณจริงๆ"
"อ้า ได้ดื่มน้ำสะอาดๆโดยไม่ต้องลำบากไปเสาะหาหาบหิ้ว ของดีนะเนี่ย ขอบคุณจริงๆ"
คิดอย่างนี้แล้วใจก็เป็นสุข..อย่างง่ายๆเลย
คำว่า "ขอบคุณ" นี้เป็นหนึ่งในสี่ของคำสำคัญที่บ่งชี้ว่าเรากำลังอยู่กับปัจจุบัน ทั้งสี่คำนั้นได้แก่ (1) ขอบคุณ (2) ขอโทษ (3) ให้อภัย (4) เมตตา ทั้งสี่คำนี้มันบ่งบอกถึงการยอมรับ (acceptance) อย่างไม่มีเงื่อนไข การยอมรับนี้เป็นทั้งนิยามและเป็นทั้งสาระสำคัญที่จะบอกว่าคนเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เมื่อยอมรับทุกอย่าง แค่นี้พอแล้ว แค่นี้ดีแล้ว ไม่เสาะหาอะไรอีกแล้ว นั่นแหละคือการอยู่กับปัจจุบัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์