ป่าดิบชื้นที่ยังหลงเหลืออยู่

เช้าวันนี้ผมอยู่ที่มวกเหล็ก แต่ไม่มีสอน แต่หมอสมวงศ์มีทำคุ้กกิ้งคลาสตอนเก้าโมง
แสงแรกของอรุณทาบบนใบไม้แห้งที่ชายคลอง
ผมเปรยให้หมอสมวงศ์ฟังว่าเมื่อวันก่อนแขกต่างประเทศที่มาเยี่ยมเวลเนสวีแคร์เขาบอกว่าอยากเห็นน้ำตกเจ็ดสาวน้อย หมอสมวงศ์ถามผมว่าเราเคยไปหรือยัง เมื่อพยายามนึกก็จึงได้คำตอบว่าเรายังไม่เคยไป รู้แต่วันมันเป็นปลายทางของฉิ่งฉับทัวร์ เคยขับรถผ่านเมื่อราวสิบปีมาแล้วเห็นร้านส้มตำไก่ย่างเรียงเป็นแถวยังกับตลาดไก่ย่างเมืองวิเชียรบุรีก็เลยไม่คิดจะแวะเข้าไปดู แต่วันนี้ยังเช้าอยู่เลย อีกตั้งสองชั่วโมงจะถึงเวลาที่หมอสมวงศ์จะทำคลาส ผมจึงชวนไปดูน้ำตกเจ็ดสาวน้อยกัน ผมบอกเธอว่าผมเช็คเวลาทำงานในอินเตอร์เน็ทแล้ว เขาเปิดตั้งแต่ตีห้าถึงห้าโมงเย็น เธอพึมพัมเบาๆว่าปาร์คอะไรกันเปิดตั้งแต่ตีห้า แต่ก็ไม่ได้คัดค้านหนักแน่นจริงจังอะไร เพราะเราก็เหมือนผู้สูงอายุทั้งหลายที่อินเตอร์เน็ทว่าอะไรมาก็เชื่อหมดโดยไม่คิดเถียง
น้ำตกในคลองมวกเหล็ก เตี้ย แต่ไม่เคยขาดน้ำ

ขับจากบ้านบนเขาสิบนาทีก็ถึงเจ็ดสาวน้อย ตอนนี้เขาพัฒนา กลายเป็นอุทยานแห่งชาติไปแล้ว เราขับเข้ามาถึงประดูซึ่งปิดอยู่ ป้ายที่ตู้ยามเขียนว่าเปิด 8.00 - 17.00 น. แป่ว..ว ผมทำไก๋ถามยามไปว่ายังไม่เปิดหรือครับ ยามบอกว่าเปิดแปดโมงครับ ผมออกฟอร์มทำเสียงละห้อย

     "...โอ้ เสียดายจัง ตั้งใจจะมาถ่ายรูปน้ำตกก่อนตะวันขึ้นเสียหน่อย" ยามเห็นเป็นคนแก่เลยชวนคุยด้วยความสงสาร
   
     "มาจากไหนกันหรือครับ" ผมรีบตอบก่อนว่า

     "กรุงเทพครับ" ที่ตอบอย่างนี้เพราะการมาไกลอาจจะได้รับสิทธิพิเศษก็ได้ แล้วก็เป็นดังคาด ยามบอกว่า

     "ธรรมดาระเบียบเขาไม่ให้เข้าก่อนเวลาหรอกนะครับ แต่ครั้งนี้ผมอะลุ่มอะหล่วยให้ก็แล้วกัน"

     เราสองตายายขอบคุณแล้วรีบเอารถเข้าไปจอดตามที่ยามชี้ให้ ผมหุบปากสนิทไม่ยอมถามเรื่องค่าผ่านประตู เพราะกลัวยามเห็นว่าจะยุ่งยากเรื่องออกใบเสร็จก่อนเวลาเดี๋ยวจะพาลไม่ให้เราเข้า
She พยายามจะชี้ชวนให้ลงไปที่ๆนักท่องเที่ยวเขาชอบลงไปกัน

     เมื่อเราลงจากรถ ยามคงเห็นสาระรูปการแต่งกายของเราที่ใส่รองเท้าแตะฟองน้ำมา จึงตะโกนไล่หลังว่า

     "เมื่อคืนค้างแถวนี้หรือครับ" ผมตะโกนตอบว่า

     "คร้าบ.. เมื่อคืนค้างที่รีสอร์ทมวกเหล็กวาลเลย์" แล้วก็รอดตัวเข้าไปจนได้

     เจ็ดสาวน้อยเดี๋ยวนี้พัฒนาแล้ว ร้านไก่ย่างไม่รู้หายไปไหนหมด ที่จอดรถกว้างใหญ่ราวกับเตรียมไว้จัดงานช้างจ.สุรินทร์ แต่ทั้งลานมีรถของเราจอดอยู่คันเดียว ทั่วบริเวณสอาดสะอ้าน ไม่มีขยะแม้แต่หนึ่งชิ้น นี่ไม่ได้แกล้งชม พูดจริงๆ

     เราไปเริ่มต้นที่สะพานเหนือน้ำตกสาวน้อยที่ 1 ซึ่งมีป้ายเขียนว่าสะพานข้ามไปนครราชสีมา พอเราข้ามสะพานไปถึงฝั่งโน้น มัคคุเทศก์ก็มายืนรอรับอยู่ที่นั่น ผมเรียกเธอว่า She ก็แล้วกัน เธอคงเคยมีลูกไปหลายครอกแล้ว สังเกตจากหน้าอกหน้าใจที่ยวบยาบและแกว่งโย้ไปโย้มาเวลาเธอวิ่ง เธอเข้ามาแนะนำตัว หมอสมวงศ์บอกว่า
เรามองตามที่ She ชี้ให้ดูไป ก็เห็นบัวน้อยลอยชูช่อรออรุณอยู่

     "ไม่ต้องมาตาม ไม่มีอะไรให้กินหรอก"

     แต่เธอดูจะเป็นมัคคุเทศก์จิตอาสาที่ไม่รับค่าจ้าง เพราะถึงจะบอกไม่มีอะไรให้กิน เธอก็ทำหน้าที่นำทางเราอยู่ดี และนำทางเราตลอดหนึ่งชั่วโมงที่เราทัวร์รอบๆน้ำตกสาวน้อยทั้งเจ็ดทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เมื่อถึงจุดที่นักท่องเที่่ยวเขาชอบปีนป่ายลงไปหาโลเกชั่นถ่ายรูปหรือเล่นน้ำกัน เธอก็จะวิ่งนำไปยืนอยู่ที่จุดปีนข้ามแล้วหันหน้ามาชี้ชวน พอเห็นเราไม่สนใจเธอก็ข้ามให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วไปยืนอยู่กลางเกาะหันไปมองน้ำตกแล้วหันมามองเราเป็นเชิงบอกว่าตรงนี้วิวดีนะ เรามองตามที่ She ชี้ให้ดูไปก็เห็นบัวน้อยสีขาวๆหลายดอกกำลังชูช่อรอแสงอรุณอยู่อย่างน่ารัก

แสงยามเช้าจับหลังใบไม้ ให้สีเขียวที่มีชีวิตชีวิตมากขึ้น
     ฝั่งที่เราเดินนี้เป็นฝั่งโคราช ซึ่งเป็นฝั่งที่ทางเดินไม่ได้รับการพัฒนา ต้องลุ้นเอาเอง แต่ก็ยังคงความสะอาดสะอ้านไม่มีขยะ ลักษณะป่าริมคลองเป็นป่าดิบชื้นซึ่งหาเดินได้ยากแล้วสมัยนี้ ยิ่งใกล้ๆกรุงเทพนี้ป่าดิบชื้นอย่างอุดมสมบูรณ์ดูจะมีแต่ที่มวกเหล็กแห่งเดียว ที่เขาใหญ่ก็เหลือน้อยแล้วเพราะธารน้ำแห้งลงๆ เราเดินชมต้นไม้นานาพันธ์ไป แสงแดดยามเช้าสองลงมาจากหลังใบไม้ ให้สีเขียวที่มีชีวิตชีวิตกว่าธรรมดา อากาศช่างปลอดโปร่งและเย็นสบาย หายใจได้เต็มปอด พูดถึงหายใจเต็มปอด พักนี้คนชอบถามผมว่า

     "หมออยู่สระบุรีหายใจได้หรือครับ เพราะผมดูในเว็บเห็นฝุนพีเอ็มเพียบ" ผมถามว่า

     "เขาวัดตรงไหนของสระบุรีละครับ" ก็ได้รับคำตอบว่า

     "หน้าพระลาน" 
พาโรนามา ที่หน้าน้ำตกสาวน้อย 2

     ผมนึกในใจว่าปั๊ดโธ่ นั่นมันหน้าโรงโม่หินนะคุณ ช่างเข้าใจเลือกตำแหน่งที่ตั้งเครื่องวัดฝุ่นจริงๆนะ

     เราค่อยๆเดินลงเขาตามหลัง She ไป ตอนแรกผมนึกว่าน้ำตกสาวน้อย1 อยู่ต่ำสุด แล้วสาวน้อย 7 คงจะอยู่สูงสุด แต่ของจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ สาวน้อย 1 อยู่สูงสุด แล้วค่อยๆเดินลงไปหาสาวน้อยอื่นๆตามลำดับ เราเดินมาถึงสาวน้อยสอง ซึ่งมีวิวพาโนรามาหน้าน้ำตกขนาดเตี้ย น้ำตกที่อยู่ในคลองมวกเหล็กนี้แม้จะเตี้ยเหมือนกันหมด แต่ก็ไม่เคยขาดน้ำนะ บางปีที่แล้งน้ำบรรดาน้ำตกในเขาใหญ่แห้งเหือดกันไปหมด แต่น้ำตกในคลองมวกเหล็กไม่เคยแล้ง เพราะคลองมวกเหล็กเป็นแหล่งรวมน้ำจากพื้นที่อันกว้างใหญ่ของเขาใหญ่ ทั้งไหลมาตามผิวดิน และที่มุดใต้ดินขึ้นมา "ผุด" ขึ้นที่มวกเหล็ก พูดถึงน้ำผุดซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันวิเศษที่มีแต่ที่มวกเหล็กเท่านั้นมันเป็นตาน้ำที่น้ำไหลออกมาจากโพรงหินระดับต่ำกว่าผิวน้ำในคลองใสแจ๋วผุดขึ้นมาปุดๆๆๆจากปากรูหินขนาดกว้างประมาณหนึ่งฟุต น้ำไหลแรงพลุ่งพล่านน่ารัก คนท้องถิ่นลงไปว่ายเล่นกันเป็นที่สนุกสนานทุกวัน แต่เมื่อวานนี้ผมขับรถจะแวะไปชื่นชมน้ำผุดเสียหน่อยหลังจากไม่ได้เห็นกันหลายปี พอไปถึงปรากฎว่า แถ่น..แทน..แท้น

     น้ำผุดหาย อ้าว หายไปไหนละ ยัง ยังไม่หายไปไหน แต่ว่าถูกบาทา เอ๊ย..ไม่ใช่ฐานรากอันมหึมาของทางด่วนบางปะอินโคราชที่กำลังก่อสร้างกันอย่างขมีขมัน บาทายักษ์นั้นปักฉึกลงต้นทางที่น้ำผุดออกมาพอดี๊ พอดี เมื่อยืนอยู่ตรงน้ำผุดเงยหน้าขึ้นมอง อ้า ฮ้า ทางด่วนขนาดมหึมาอยู่เหนือศีรษะเป๊ะ ไม่มีแล้วต้นไม้ใหญ่ๆเขียวขจีรอบๆน้ำผุดที่เคยเห็น เห็นแต่หมู่แค้มป์ก่อสร้างคนงาน มองไปทางฟาร์มโคนมไทยเดนมาร์คที่เคยเป็นทุ่งข้าวโพดสีเขียวเดี๋ยวนี้กลายเป็นทางด่วนมหึมาห้อโครมๆลงมาจากภูเขาแบบไม่เหลือความโรแมนติกใดๆทั้งสิ้น น้ำที่ผุดออกมาก็ไม่ใสเสียแล้ว กลายเป็นน้ำขุ่นสีขาว ก็จะไม่ขุ่นได้ไงละครับ เพราะปั้นจั่นขนาดยักษ์กำลังเจาะรูฐานรากอยู่ครืดคราด ครีดคราดๆ..อามิตตาพุทธ สำหรับเยาวชนคนรุ่นหลังที่เกิดมาไม่เคยเห็นน้ำผุดมวกเหล็ก คงหมดโอกาสได้เห็นเสียแล้ว และก็คงไม่มีใครบันทึกเรื่องน้ำผุดมวกเหล็กไว้ ขอให้เยาวชนที่สนใจทั้งหลายอ่านคำบรรยายในบล็อกนี้แทนก็แล้วกัน หิ หิ
หลุมฝังศพของราเบค ที่ใต้ต้นโพธ์ยักษ์ ซึ่งบัดนี้หายจ้อยไปแล้ว

    พอเห็นชะตากรรมของน้ำผุดผมก็สังหรณ์ใจเป็นห่วงหลุมฝังศพของราเบคที่ซุ่มอยู่อย่างคลาสสิกที่ใต้ต้นโพธ์ขนาดใหญ่หน้าสถานีรถไฟมวกเหล็กขึ้นมาครามครัน ที่เป็นห่วงเพราะเขากำลังก่อสร้างอีกมหึมาโปรเจ็คหนึ่งที่นั่น คือทางรถไฟอะไรบ้างก็ไม่รู้ทั้งรางคู่ทั้งหัวกระสุนไม่รู้อะไรเป็นอะไรรู้แต่ว่าลอยฟ้ามาสูงขนาดตึกสิบชั้นได้ จึงรีบขับรถไปดูที่สถานีรถไฟมวกเหล็ก แล้วสังหรณ์ก็เป็นจริง ต้นโพธ์ยักษ์หายไปไหนเสียแล้ว มีต้นไม้ยักษ์ทำด้วยเหล็กสูงใหญ่หมุนไปหมุนมาได้ราวสิบต้นมาแทน ผมหมายถึงปั้นจั่นนะครับ แหะ แหะ แล้วหลุมฝั่งศพราเบคไปไหนเสียละ เดินหาอยู่ตั้งนานจึงไปพบแอ้งแม้งอยู่กับกองเศษปูนปรักหักพังใต้ทางรถไฟลอยฟ้าพอดี หินหลุมศพยังเหลือเค้าพอให้อ่านป้ายได้ แต่ไม้กางเขนนั้นเข้าใจว่าถูกเลาะเอาไปขายเป็นของเก่าเสียแล้ว คนงานก่อสร้างอุตส่าห์ใจดีเอาเหล็กขี้สนิมมาอ๊อคทำเป็นไม้กางเขนรุ่นเส็งเคร็งแทนไว้ให้ พุทธัง ธัมมัง สังคัง อะไรมันจะคัน เอ๊ย..ไม่ใช่ อะไรมันจะน่าเสียดายอย่างนี้ บรรทัดนี้หมอสันต์ต้องขอไว้อาลัยแก่คะนุท ราเบค วิศวกรช่างสำรวจชาวเดนมาร์คผู้มีจิตวิญญาณของการสำรวจและสร้างสรรค์ เขาเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เพื่อสร้างทางรถไฟสายแรกของเมืองไทยในสมัยร.5 แต่ว่าไข้ป่าแห่งดงพญาเย็นได้จบชีวิตของเขาที่นี่ และเขาก็นอนอยู่ตรงนี้มาร้อยกว่าปี คนรุ่นหลังได้เรียนรู้วีรกรรมของเขาจากหินหน้าหลุมศพนี้ แต่ต่อแต่นี้ไปคงจะไม่มีใครรู้จักเขาอีกแล้ว และเพื่อประกอบคำไว้อาลัยนี้ ผมขอเอารูปถ่ายหลุมศพของเขาตอนที่ยังดีๆอยู่มาลงให้ดูเป็นครั้งสุดท้าย
ยืมขนาดจิ๋วของคนเป็นไม้บรรทัดวัดยางนา

     กลับมาเดินชมเจ็ดสาวน้อยของเราต่อดีกว่า เราผ่านสาวน้อยที่สาม ที่สี ซึ่งน่าจะเป็นน้ำตกที่สูงที่สุด แล้วก็สาวน้อยที่ 5, 6, 7 แล้วเดินขึ้นไปบนเนินชมวิว เดินลงเนินข้ามสะพานกลับมาทางฝั่งมวกเหล็ก เห็นต้นยางนาขนาดยักษ์ต้นหนึ่งผมชอบใจจึงขอยืมขนาดจิ๋วของหมอสมวงศ์เป็นไม้บรรทัดเปรียบเทียบความใหญ่ของต้นยางนาแถบริมคลองมวกเหล็ก เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจว่าทำไมหมอสันต์จึงเจาะจงปลูกยางนาที่ป่าหลังบ้านนกฮูก

    จากนั้นเราก็เดินกลับมาตามเส้นทางอีกฝั่งหนึ่งของคลอง She ยังตามมาส่ง หมอสมวงศ์บอกผมว่าที่รถมีขนมปังโฮลวีทอยู่จะเอาให้ She สักหน่อย ผมนึกในใจว่าหมาที่ไหนจะกินขนมปังมังสะวิรัติ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือน She จะได้ยินผมคิด และคงเห็นด้วยว่าใช่ค่ะ ใช่ค่ะ หมาที่ไหนจะเป็นมังสะวิรัติกันละคะ ดังนี้พอเรามาถึงรถหมอสมวงศ์เหลียวหา She เธอหายแว้บไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี