อะไรเป็นแรงบันดาลใจ
สวัสดีค่ะอาจารย์หมอสันต์
พยายามเขียนมาถามอ.สามครั้งแล้ วแต่ไม่รู้ไปกดปุ่มอะไรข้ อความหายต้องพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ า
หลังจากอ่านบทความข้างต้นเกิ ดคำถามว่า...
หนี่ง อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ อาจารย์ศึกษาด้านจิตวิ ญญาณและปฏิบัติจนหลุดพ้น
สอง..ถ้าการปฏิบัติของอาจารย์ ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดๆ แต่ผลลัพธ์ออกมาดี เป็นการทำความดี
ทั้งร่างกายและจิตใจโดยไม่ทุกข์ แล้วอย่างนี้จะมีศาสนาเพื่อสร้ างความขัดแย้งหรือแตกแยกเพื่ ออะไร
สาม..ทำอย่างไรที่จะชั กชวนครอบครัวหรือคนรอบข้างให้มี วิถีชีวิตที่เราเห็นว่า ประหยัด สมถะ เรียบง่าย และไม่มีโรคทั้งร่างกายและจิตใจ เช่่น การกินมังสวิรัติ ออกกำลังโยคะ ปลูกผักสวนครัว และผลไม้ทานเอง ฯลฯ ซึ่งทำตัวอย่างที่ตัวเราเองก็ แล้ว(ไม่ไปรพ. หรือทานยาใดๆไม่ต่ำกว่าสิบปีแล้ ว) ส่งบทความของ อาจารย์ หรือของคนอื่นที่เราก็ เอามาทำแล้วเห็นผลดีก็แล้ว ยังไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ พวกเขา หันมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ห่ างไกลโรคได้ (ส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันสูง) พวกนี้มีการศึกษาไม่ต่ำกว่าป. ตรี แต่ดูแล้วห่างไกลปริญญาชีวิตจริ งๆ คงต้องปล่อยวาง จนกว่าเขาจะเห็นความทุกข์จึงเห็นธรรม ซึ่งก็อาจสายไป แต่ด้วยความรักและห่วงใยพวกเขา ดิฉันไม่อยากให้เกิดปัญหา ที่สายเกินแก้จริงๆค่ะ อาจารย์พอจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ที่จะช่วยคนรอบข้างได้บ้างคะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
คนมีห่วง
..................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าอะไรเป็นเหตุให้หมอสันต์มาสนใจเรื่องจิตวิญญาณ ตอบว่าคุณทำไมชอบแคะคุ้ยอดีตนัก มันไม่ช่วยให้คุณบรรลุอะไรนะ เพราะอดีตไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง มันเป็นแค่ความคิดที่คุณคิดออกไปจากปัจจุบันเท่านั้น แต่คุณถามมาแล้วแม้จะไร้สาระผมก็ตอบให้ได้เพราะผมชอบตอบทุกคำถามไม่ว่าจะมีสาระหรือไม่ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้วมีเด็กผู้หญิงถามเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์มาแบบอ้าซ่ามาก พอผมตอบไปปุ๊บก็มีแฟนบล็อกผู้แก่ธรรมะเขียนเข้ามาทักท้วงปั๊บว่าหมอสันต์ตอบคำถามอย่างนี้ทำไมทำให้เด็กใจแตกเปล่าๆ หิ หิ กลับมาเรื่องของเราดีกว่า เหตุที่ผมสนใจเรื่องทางจิตวิญญาณมันเป็นการประชุมแห่งเหตุ หมายความว่ามีหลายสาเหตุมาพอกๆกันเข้าจึงเกิดผลอย่างนี้ขึ้นมา สาเหตุใหญ่ๆได้แก่
1.1 ตอนเป็นเด็กพ่อแม่ยากจน ต้องไปอาศัยวัดเพื่อเรียนหนังสือ การอยู่วัดทำให้ได้เห็นความโดดเด่นของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเสมือนเทพสูงสุดแทรกซึมไปทุกอณูของชีวิตผู้คนในสมัยนั้น ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ลึกซึ้งหรอกว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรเพราะบทสวดที่ถูกบังคับให้ท่องนั้นเป็นภาษาบาลี แต่แม้จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรผมก็ประทับใจว่าทุกคนทุกระดับชั้นภูมิปัญญาต่างก็เคารพบูชาพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไปหมู่บ้านไหนก็มีแต่วัด ทำให้ผมมีความคิดแว้บหนึ่งว่าสักวันหนึ่งจะตั้งใจศึกษาดูให้ถ่องแท้ซิว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แต่ก็เป็นแว้บเดียวแล้วหายไป
1.2 ช่วงหนึ่งในชีวิตได้ไปเรียนโรงเรียนบนดอยของมิชชันนารี (คริสต์) ได้สัมผัสชีวิตของคุณพ่อบาทหลวงซึ่งเป็นวิศวกรชาวอิตาลี ก็ได้ความประทับใจมาอย่างหนึ่งว่าคนเรานี่สามารถมีชีวิตอยู่แบบทำทุกอย่างให้คนอื่นโดยตัวเองไม่เอาอะไรเลยก็มีอยู่นะ คำถามที่ผมตั้งขึ้นในใจคือทำไมใช้ชีวิตแบบนี้แล้วยังสุขกายสบายใจดีอยู่ได้ คนทั่วไปเสียอีกที่ใช้ชีวิตแบบตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บสะสมไว้เลี้ยงตัวเองกลับมีชีวิตแบบกระเสือกกระสนปากกัดตีนถีบเคร่งเครียดลำบากลำบน นี่เป็นคำถามที่ตั้งทิ้งไว้เฉยๆในวัยเด็กนะ
1.3 เมื่ออายุ 17 ปี พ่อป่วยแล้วตาย สมัยโน้นการเผาศพต้องเอาศพขึ้นวางบนกองฟืน ผมบวชห่มผ้าเหลือง (ทางเหนือเขาเรียกว่าบวชจูงศพ) ยืนดูภาพที่พ่อถูกเผาอยู่ในกองไฟ ผมก็เกิดปิ๊งแว้บขึ้นมาว่าชีวิตอย่างนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เกิดมาพบกันผูกพันห่วงใยกันลึกซึ้งแล้วก็ต้องถูกจับพรากจากกันไปไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจะเกิดมาเพื่อมามีชีวิตอย่างนี้ จะเกิดมาทำพรือ แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแว้บเดียว แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ
1.4 พอมาเป็นหมอ ได้อยู่กับคนตายมากขึ้นๆ เห็นการตายส่วนใหญ่เป็นการตายแบบทุรนทุราย กลัว หนี ยื้อ ไม่อยากไปแต่ก็ถูกถีบให้ไปจนได้โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน ช่างเป็นการตายที่ไม่รื่นรมย์เลย ผมก็เกิดข้อคิดเตือนใจตัวเองว่าก่อนจะตายน่าจะศึกษาหาวิธีตายแบบดีๆหน่อยนะ ไม่อยากตายอย่างนี้ แต่ก็เป็นแค่ข้อเตือนใจ ยังไม่ต้องทำอะไร เพราะผมยังหนุ่ม ยังไม่ตายง่ายๆหรอก
1.5 พออายุ 55 ปีตัวผมเองป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เฮ้ย..ย นี่อาจจะตายกะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้แล้วนะ ความเป็นห่วงลูกเมียทำให้หันมาดูแลร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง ส่วนทางด้านจิตใจนั้น การบ้านที่จดไว้ในส่วนลึกๆตั้งแต่วัยเด็กๆก็ถูกนำเสนอขึ้นมาในใจเป็นฉากๆ โอ้ละหนอ..วีซ่าชีวิตกำลังจะหมดลงแล้ว แต่คำถามที่ว่าเกิดมาทำไม ชีวิตมีแค่นี้หรือ ยังไม่ได้คำตอบเลย จึงเป็นที่มาของการรีบค้นหา..เอาตอนเมื่อแก่แล้ว
2. ถามว่าถ้าคนดูแลตัวเองแล้วร่างกายจิตใจดีได้ไม่มีทุกข์ จะมีศาสนาไว้ให้คนทะเลาะกันทำไม ตอบว่า
"อ้าว ถามอย่างนี้จะหาเรื่องให้หมอสันต์ถูกตื้บแล้วนะเนี่ย"
ทุกศาสนาสอนให้ถอยความปักใจเชื่อในความเป็นบุคคลของตัวเราเองเพื่อเข้าไปสู่ส่วนลึกของชีวิตที่สงบเย็นและสถาพรกว่า สิ่งนั้นบางศาสนาสร้างเป็นจินตนภาพว่าเป็นเทพหรือพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางศาสนาก็สอนแค่ให้วางความคิดยึดถือในความเป็นบุคคลของตัวเองแบบลุ่นๆแล้วปล่อยให้เข้าไปถึงชีวิตที่สงบเย็นนั้นเอาเองโดยไม่ต้องรู้ล่วงหน้าว่ามันคืออะไรเป็นอย่างไร แต่สาระสำคัญนั้นเหมือนกัน คือปล่อยวางความคิด เข้าสู่ความสงบเย็น
แต่การนำคำสอนมาใช้ เป็นเรื่องของระดับภูมิปัญญาและเจตนาของแต่ละบุคคล ไม่เกี่ยวกับสาระคำสอน เหมือนสากกระเบือจะใช้ตำน้ำพริกก็ได้ ใช้แพ่นกะบาลสามีก็ได้ แล้วแต่คนจะเลือกใช้ เมื่อคนยังยึดติดในความเชื่อว่าความเป็นบุคคลของตนหรือตัวฉันนี้เป็นของจริง ความยึดติดนี้ผูกพันยึดโยงกันขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ต่างๆต่อออกไปจากตัวฉัน เช่น ภรรยาของฉัน ครอบครัวของฉัน หมู่บ้านของฉัน เผ่าของฉัน ชาติบ้านเมืองของฉัน แล้วก็ผูกโยงเข้ากับศาสนาของฉัน ถ้าผูกแล้วเข้ากันไม่ถนัดก็แตกออกเป็นนิกายแบบคิดเอาเองเพื่อจะให้มันผูกกันให้ได้ แล้วก็ยกพวกตีกัน ดังนั้นเมื่อมองย้อนไปดูการฆ่ากันครั้งใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ของมนุษย์รวมทั้งสงครามโลกทุกครั้งด้วย จะผูกโยงอยู่กับคอนเซ็พท์หรือความเชื่อในเรื่องชาติและศาสนา ชาติและศาสนาในมุมนี้ไม่เกี่ยวกับสาระแก่นคำสอน แต่เป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือความคิดที่ผูกโยงกันไว้เพื่อให้ยกพวกตีกันถนัดเท่านั้น บางทีแค่คอนเซ็พท์มันยังตีกันไม่ถนัด ต้องเอาตัวช่วยอื่นๆเช่นสีเสื้อเหลืองแดง หรือผ้าโพกหัวมาช่วยด้วยจะได้ตีกันถนัดขึ้น (แหะ แหะ ขออนุญาตแขวะ) ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาคำสอนในสาระหลักของแต่ละศาสนาเลย ดังนั้น ถึงแม้คุณจะปวารณาตัวเป็นคนไม่มีศาสนา หากคุณเป็นคนชอบศึกษา ผมแนะนำให้คุณอย่ารังเกียจที่จะศึกษาเนื้อหาสาระหลักในคำสอนของทุกศาสนาอย่างลึกซึ้งจนถากเอากระพี้ออกและจับแก่นได้ว่าสาระหลักคืออะไร คุณก็จะเอามาใช้ประโยชน์กับตัวคุณได้ โดยไม่ต้องไปยกพวกตีกับใคร
3. ถามว่าทำอย่างไรจะชั กชวนให้คนที่คุณรักมาใช้ชีวิตในวิถีที่ดีเพื่อให้เขาพบกับสิ่งดีๆ ตอบว่าวิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะให้สิ่งดีๆกับคนที่คุณรักคืออย่าไปยุ่งกับเรื่องของเขา เขาจะเชื่ออะไรจะใช้ชีวิตอย่างไรมันเรื่องของเขา เพียงแค่คุณตั้งใจใช้ชีวิตของคุณในวิถีที่คุณเห็นว่าดี เมื่อคุณหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ใจคุณก่อขึ้นเองได้เมื่อไหร่ คุณจะสงบเย็น คนใกล้ชิดเขาจะได้รับความสงบเย็นนั้นแผ่ออกไปจากตัวคุณเอง แล้วเขาจะมีความสุขที่ได้เกิดมาอยู่ใกล้คุณ และเขาจะมาเลียบๆเคียงๆแอบๆมองๆแล้วทดลองเดินตามคุณเองในที่สุด โดยที่คุณไม่ต้องไปยัดเยียดหรือจำจี้จ้ำไชอะไรเขาเลย ถ้าเขาไม่มาเดินตามคุณ ก็เรื่องของเขา คุณไม่ต้องไปส... เอ๊ยๆไม่ใช่ ไม่ต้องไปยุ่ง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
1.1 ตอนเป็นเด็กพ่อแม่ยากจน ต้องไปอาศัยวัดเพื่อเรียนหนังสือ การอยู่วัดทำให้ได้เห็นความโดดเด่นของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเสมือนเทพสูงสุดแทรกซึมไปทุกอณูของชีวิตผู้คนในสมัยนั้น ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ลึกซึ้งหรอกว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรเพราะบทสวดที่ถูกบังคับให้ท่องนั้นเป็นภาษาบาลี แต่แม้จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรผมก็ประทับใจว่าทุกคนทุกระดับชั้นภูมิปัญญาต่างก็เคารพบูชาพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไปหมู่บ้านไหนก็มีแต่วัด ทำให้ผมมีความคิดแว้บหนึ่งว่าสักวันหนึ่งจะตั้งใจศึกษาดูให้ถ่องแท้ซิว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แต่ก็เป็นแว้บเดียวแล้วหายไป
1.2 ช่วงหนึ่งในชีวิตได้ไปเรียนโรงเรียนบนดอยของมิชชันนารี (คริสต์) ได้สัมผัสชีวิตของคุณพ่อบาทหลวงซึ่งเป็นวิศวกรชาวอิตาลี ก็ได้ความประทับใจมาอย่างหนึ่งว่าคนเรานี่สามารถมีชีวิตอยู่แบบทำทุกอย่างให้คนอื่นโดยตัวเองไม่เอาอะไรเลยก็มีอยู่นะ คำถามที่ผมตั้งขึ้นในใจคือทำไมใช้ชีวิตแบบนี้แล้วยังสุขกายสบายใจดีอยู่ได้ คนทั่วไปเสียอีกที่ใช้ชีวิตแบบตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บสะสมไว้เลี้ยงตัวเองกลับมีชีวิตแบบกระเสือกกระสนปากกัดตีนถีบเคร่งเครียดลำบากลำบน นี่เป็นคำถามที่ตั้งทิ้งไว้เฉยๆในวัยเด็กนะ
1.3 เมื่ออายุ 17 ปี พ่อป่วยแล้วตาย สมัยโน้นการเผาศพต้องเอาศพขึ้นวางบนกองฟืน ผมบวชห่มผ้าเหลือง (ทางเหนือเขาเรียกว่าบวชจูงศพ) ยืนดูภาพที่พ่อถูกเผาอยู่ในกองไฟ ผมก็เกิดปิ๊งแว้บขึ้นมาว่าชีวิตอย่างนี้ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ เกิดมาพบกันผูกพันห่วงใยกันลึกซึ้งแล้วก็ต้องถูกจับพรากจากกันไปไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจะเกิดมาเพื่อมามีชีวิตอย่างนี้ จะเกิดมาทำพรือ แต่มันก็เป็นแค่ความคิดแว้บเดียว แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ
1.4 พอมาเป็นหมอ ได้อยู่กับคนตายมากขึ้นๆ เห็นการตายส่วนใหญ่เป็นการตายแบบทุรนทุราย กลัว หนี ยื้อ ไม่อยากไปแต่ก็ถูกถีบให้ไปจนได้โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน ช่างเป็นการตายที่ไม่รื่นรมย์เลย ผมก็เกิดข้อคิดเตือนใจตัวเองว่าก่อนจะตายน่าจะศึกษาหาวิธีตายแบบดีๆหน่อยนะ ไม่อยากตายอย่างนี้ แต่ก็เป็นแค่ข้อเตือนใจ ยังไม่ต้องทำอะไร เพราะผมยังหนุ่ม ยังไม่ตายง่ายๆหรอก
1.5 พออายุ 55 ปีตัวผมเองป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เฮ้ย..ย นี่อาจจะตายกะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้แล้วนะ ความเป็นห่วงลูกเมียทำให้หันมาดูแลร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง ส่วนทางด้านจิตใจนั้น การบ้านที่จดไว้ในส่วนลึกๆตั้งแต่วัยเด็กๆก็ถูกนำเสนอขึ้นมาในใจเป็นฉากๆ โอ้ละหนอ..วีซ่าชีวิตกำลังจะหมดลงแล้ว แต่คำถามที่ว่าเกิดมาทำไม ชีวิตมีแค่นี้หรือ ยังไม่ได้คำตอบเลย จึงเป็นที่มาของการรีบค้นหา..เอาตอนเมื่อแก่แล้ว
2. ถามว่าถ้าคนดูแลตัวเองแล้วร่างกายจิตใจดีได้ไม่มีทุกข์ จะมีศาสนาไว้ให้คนทะเลาะกันทำไม ตอบว่า
"อ้าว ถามอย่างนี้จะหาเรื่องให้หมอสันต์ถูกตื้บแล้วนะเนี่ย"
ทุกศาสนาสอนให้ถอยความปักใจเชื่อในความเป็นบุคคลของตัวเราเองเพื่อเข้าไปสู่ส่วนลึกของชีวิตที่สงบเย็นและสถาพรกว่า สิ่งนั้นบางศาสนาสร้างเป็นจินตนภาพว่าเป็นเทพหรือพระเจ้าเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น บางศาสนาก็สอนแค่ให้วางความคิดยึดถือในความเป็นบุคคลของตัวเองแบบลุ่นๆแล้วปล่อยให้เข้าไปถึงชีวิตที่สงบเย็นนั้นเอาเองโดยไม่ต้องรู้ล่วงหน้าว่ามันคืออะไรเป็นอย่างไร แต่สาระสำคัญนั้นเหมือนกัน คือปล่อยวางความคิด เข้าสู่ความสงบเย็น
แต่การนำคำสอนมาใช้ เป็นเรื่องของระดับภูมิปัญญาและเจตนาของแต่ละบุคคล ไม่เกี่ยวกับสาระคำสอน เหมือนสากกระเบือจะใช้ตำน้ำพริกก็ได้ ใช้แพ่นกะบาลสามีก็ได้ แล้วแต่คนจะเลือกใช้ เมื่อคนยังยึดติดในความเชื่อว่าความเป็นบุคคลของตนหรือตัวฉันนี้เป็นของจริง ความยึดติดนี้ผูกพันยึดโยงกันขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ต่างๆต่อออกไปจากตัวฉัน เช่น ภรรยาของฉัน ครอบครัวของฉัน หมู่บ้านของฉัน เผ่าของฉัน ชาติบ้านเมืองของฉัน แล้วก็ผูกโยงเข้ากับศาสนาของฉัน ถ้าผูกแล้วเข้ากันไม่ถนัดก็แตกออกเป็นนิกายแบบคิดเอาเองเพื่อจะให้มันผูกกันให้ได้ แล้วก็ยกพวกตีกัน ดังนั้นเมื่อมองย้อนไปดูการฆ่ากันครั้งใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ของมนุษย์รวมทั้งสงครามโลกทุกครั้งด้วย จะผูกโยงอยู่กับคอนเซ็พท์หรือความเชื่อในเรื่องชาติและศาสนา ชาติและศาสนาในมุมนี้ไม่เกี่ยวกับสาระแก่นคำสอน แต่เป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือความคิดที่ผูกโยงกันไว้เพื่อให้ยกพวกตีกันถนัดเท่านั้น บางทีแค่คอนเซ็พท์มันยังตีกันไม่ถนัด ต้องเอาตัวช่วยอื่นๆเช่นสีเสื้อเหลืองแดง หรือผ้าโพกหัวมาช่วยด้วยจะได้ตีกันถนัดขึ้น (แหะ แหะ ขออนุญาตแขวะ) ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาคำสอนในสาระหลักของแต่ละศาสนาเลย ดังนั้น ถึงแม้คุณจะปวารณาตัวเป็นคนไม่มีศาสนา หากคุณเป็นคนชอบศึกษา ผมแนะนำให้คุณอย่ารังเกียจที่จะศึกษาเนื้อหาสาระหลักในคำสอนของทุกศาสนาอย่างลึกซึ้งจนถากเอากระพี้ออกและจับแก่นได้ว่าสาระหลักคืออะไร คุณก็จะเอามาใช้ประโยชน์กับตัวคุณได้ โดยไม่ต้องไปยกพวกตีกับใคร
3. ถามว่าทำอย่างไรจะชั
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์