ทำไมดิฉันจึงไม่หลุดพ้น
เมื่อวันส่งท้ายปีเก่า มีแฟนบล็อกเป็นคุณหมอท่านหนึ่งมาดักรอพบผมที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ เธอบอกว่ามาเกร่ดูอยู่ชั่วโมงกว่าแล้ว เพราะรู้ว่าเย็นวันที่ 31 ผมจะมาร้องเพลงเล่นกับแฟนบล็อกและเพื่อนๆที่นี่ เธอบอกว่าเธอเดินเล่นในเวลเนสวีแคร์ด้วยความเพลิดเพลิน ดูบ้านโกรฟเฮ้าส์ซึ่งตกแต่งได้น่ารัก เดินดูสนามอันร่มรื่น ดูห้องครัวปราณา ดูฮอลล์ฝึกอบรม แล้วเดินไปดูสวนผักที่ด้านหลัง แล้วเดินไปตามทางเดินเลียบสระน้ำไปยังคลินิกสุขภาพองค์รวมซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เธอบอกว่าเธอไปนอนเอกเขนกเล่นที่ใต้ร่มผ้าใบผืนใหญ่ที่ริมสระน้ำด้านคลินิก รู้สึกเพลิดเพลินมากราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
พอตกค่ำ ผมลงมาจากบ้านบนเขา จึงได้พบกัน ผมถามว่าเธอจะมาเดินไฮกิ้งพรุ่งนี้เช้าหรือ เพราะแฟนบล็อกที่มาที่นี่ในเย็นวัน 31 ธค. นี้เป็นไม่แบบใดก็แบบหนึ่งในสามแบบ คือ หนึ่ง..จะมาเดินไฮกิ้งกันในวันรุ่งขึ้น สอง..จะมานอนเงียบๆช่วงวันหยุดปีใหม่โดยไม่ยุ่งกับใคร และ สาม..แตกทัพแบบไร้อนาคตมาจากเขาใหญ่เพราะโรงแรมที่พักเต็มหมด จึงต้องมาทนนอนเงียบๆและทนกินผักกินหญ้าอยู่ที่นี่ แต่เธอคนนี้ไม่ใช่ทั้งสามแบบ เธอตั้งใจมาหา มาคุย แล้วก็จะขับรถกลับทันที ชวนกินข้าวก็ไม่กิน ความมืดกำลังโรยตัวลงมา ผมชวนนั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้านโกรฟเฮ้าส์ จึงได้ทราบวาระของเธอว่า..
"ทำไมดิฉันจึงยังไม่หลุดพ้น"
โอ้..นับว่าเป็นคำถามส่งท้ายปีเก่าที่พิศดารเอาการ เธอเล่าว่าเธอทุ่มเทปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของหลวงพ่อ.. อยู่หลายปี แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นตามของหลวงพ่อ... อีกหลายปี เธอบอกว่าเคยสมัครเข้า spiritual retreat ที่นี่แล้วแต่มาไม่ได้ ยังตั้งใจจะมาให้ได้อยู่ แต่วันนี้เป็นวันหยุดปลีกตัวได้ก็ตัดสินใจขับรถมาคนเดียวก่อนเลยโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้พบกับผมหรือเปล่า พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่ราวสิบห้านาที เรื่องที่คุยกัน โดยเฉพาะในประเด็นคำถามที่เธอจั่วหัวไว้ข้างต้น อาจมีสาระที่จะเป็นประโยชน์กับแฟนบล็อกทุกท่าน ผมจึงเอามาบันทึกไว้ คือผมบอกเธอว่า
"..คุณจะต้องหยุดค้นหา การหลุดพ้นไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไปวิ่งหาแล้วจะพบ เพราะในการแสวงหาอะไร กลไกที่เราใช้หาคือเราใช้ความสนใจ (attention) ของเราไปสอดส่องค้นหาและจดจ่อสิ่งที่เป็นเป้าหมาย เป้านั้นไม่ว่าจะเป็นความคิดของเราเอง หรือคำสอน หรือคอนเซ็พท์ หรือความคิดของคนอื่น ล้วนมีแต่จะพาเราห่างออกไปจากความหลุดพ้น ห่างไกลออกไป ไกลออกไปทุกที เพราะการหลุดพ้นไม่มีวันเกิดขึ้นจากการจดจ่อความสนใจไว้กับอะไรทีี่ข้างนอกทั้งสิ้น ยิ่งเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้ศัพท์แสงตั้งเป็นชื่อเรียกได้ยิ่งจะพาคุณหนีห่างไปจากความหลุดพ้น การจะหลุดพ้น ต้องให้ความสนใจตกงานก่อน ต้องให้หมดเรื่องที่จะต้องไปสนใจก่อน ต้องวางเรื่องข้างนอกลงให้หมดก่อน เมื่อไม่มีอะไรให้สนใจแล้ว ความสนใจมันจึงจะกลับหลังหันเข้าข้างใน เข้ามาอยู่กับความรู้ตัวซึ่งเป็นแหล่งพำนักดั้งเดิมของมัน เมื่อใดที่ความสนใจกลับมาอยู่กับความรู้ตัว เมื่อนั้นเราก็มีความรู้ตัวเกิดขึ้น มันเป็นความตื่นรู้ที่สงบเย็น นั่นแหละคือความหลุดพ้น.."
"..เมื่อผมพูดถึงความหลุดพ้น ผมพูดถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้เท่านั้นนะ ผมไม่พูดถึงชาติหน้า หรือแม้กระทั่งวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่พูดถึง เพราะความหลุดพ้นหรืือความรู้ตัวนี้ก็คือเดี๋ยวนี้นั่นเอง มันเป็น synonym คืือเป็นคำเดียวกัน คุณต้องมองปัจจุบันว่ามันคือโมเมนต์ที่จิตสำนึกรับรู้ดำรงอยู่ ไม่ใช่จุดหนึ่งบนเส้นตรงสมมุติเรื่องเวลาที่ลากจากอดีตไปอนาคต คืออย่ามองปัจจุบันว่าเป็นเวลา แต่มองให้เห็นเป็นจิตสำนึกรับรู้ เพราะถ้าไม่มีจิตสำนึกรับรู้หรือไม่มีความรู้ตัว ปัจจุบันก็ไม่มี ประเด็นของผมคือถ้าเราอยู่กับปัจจุบันได้ ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ได้ 100% ไม่ขาดอะไร ไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว ไม่วิ่งหนีอะไร ไม่วิ่งหาอะไร ไม่หวนเสียดายอดีต ไม่กลัวอนาคต ทุกอย่างที่ชีวิตโยนมาให้เราที่เดี๋ยวนี้เรารับมันได้อยู่กับมันได้หมดอย่างสงบเย็น นั่นแหละเราหลุดพ้นแล้ว อย่าไปสนใจชาติหน้าเลย เพราะชาติหน้าเป็นความคิดนะ เป็นจินตนภาพถึงชีวิตหลังการตาย แต่ตอนนี้เรายังตัวเป็นๆอุ่นๆอยู่นะ สนใจเดี๋ยวนี้ดีกว่า"
"..ปฐมเหตุของการติดกับดักไม่หลุดพ้นไปไหนสักทีก็คือความเพิกเฉย (ignorance) คำนี้ผมแปลมาจากภาษาบาลีคำว่า "อวิชชา" ผมหมายถึงการที่เราเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าในองค์ประกอบของชีวิตสามส่วนคือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) จิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัวนี้ ส่วนที่เป็น "ฉัน" ตัวจริงคือความรู้ตัว ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความคิด และไม่ใช่ความเป็นบุคคลของเราซึ่งผูกขึ้นมาจากร่างกายและความคิด ภาษาบาลีเรียกจิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัวนี้ว่า "วิญญาณ" การจะเลิกเพิกเฉยหันมาใส่ใจในความจริงตรงนี้คุณต้องเริ่มด้วยการถอยตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกต คำว่าสังเกตผมไม่ได้หมายความว่าเที่ยวไปสังเกตว่าใครทำอะไรที่ไหนที่ข้างนอกนะ แต่ผมหมายถึงสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายและในใจของตัวเอง คุณใช้เวลาสักหกเดือนตั้งใจทำตรงนี้ก่อน คุณทำแบบที่พวกฮินดูบางนิกายเขาทำกันก็ได้ วันก่อนมีฝรั่งชาวออสเตรเลียคนหนึ่งมาสอนที่นี่ เขาสอนว่าไม่จำเป็นต้องถึงกับไม่มีความคิดเลยหรอก แค่ให้คุณยึดกุมความคิดหลักไว้ความคิดเดียว คือความคิดว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น" ส่วนความคิดอื่นนั้นปล่อยให้มันเข้ามาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านออกไป เหมือนท้องฟ้ามองดูก้อนเมฆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่หยิบฉวย ไม่คิดต่อยอด หกเดือนแรกนี้ไม่ต้องทำอะไร ท่องไปอย่างเดียวว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น" ท่องไปจนคุณแยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกตความคิดและร่างกายของคุณได้สำเร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วช่องทางที่ควรจะทำสะเต็พต่อไปอย่างไรมันจะโผล่มาให้คุณเห็นเอง.."
เธอพยายามถามผมถึงครูบาอาจารย์ที่ผมเชื่อถือมากที่สุด ผมตอบเธอว่าผมเรียนรู้จากครูหลายคนจนมากเกินไป มีศาสนาหลายศาสนามากเกินไป จนกลายเป็นไม่ต่างจากคนไม่มีครูไม่มีศาสนาเลย ผมบอกเธอว่าตัวคุณเองเป็นครูของตัวเองที่ดีที่สุด ตัวผมเองนั้นไม่เคยมีความคิดว่าจะเป็นครูเป็นอาจารย์ให้ใคร เพราะผมรู้ว่าวิธีนั้นไม่เวอร์ค อย่างน้อยก็ถ้าคนอย่างผมคิดจะเป็นครูอาจารย์มันไม่เวอร์คแน่ ผมเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
"..ในระดับเทคนิคปฏิบัติสู่ความหลุดพ้นน้ั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมาก มันเป็นการผสานกันระหว่างเทคนิคต่อไปนี้ คือ
(1) การเฝ้าสังเกตความคิดและร่างกาย
(2) การเปิดรับเอาพลังงานจากข้างนอกเข้ามากระตุ้นตัวเอง
(3) การรับรู้พลังงานในร่างกาย
(4) การผ่อนคลายร่างกาย
(5) การมีสมาธิ
(6) การรับรู้สิ่งเร้าต่อกายและใจแบบรับรู้ตรงๆตามที่มันเป็น
โดยมีลูกเล่นรู้จักเลือกใช้แต่ละเทคนิคให้เหมาะกับจังหวะเวลา เมื่อปลอดความคิดและมีสมาธิจดจ่อแน่วแน่ถึงระดับหนึ่ง พลังงานจากข้างนอกก็จะหลั่งไหลเข้ามาหา ปัญญาญาณที่จะพาให้รู้และเข้าใจเรื่องที่สงสัยค้างคาอยู่ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องเทคนิคปฏิบัตินี้ หากคุณลองทำเองแล้วมันตัน มันไม่สำเร็จ คุณค่อยมาเรียน MBT หรืือมาเข้า Spiritual retreat ก็ได้ มันอาจจะช่วยคุณได้บ้าง"
ก่อนจากกัน ผมบอกเธอว่า
"..คุณอายุยังน้อย และมี motivation สูง อย่างไรเสีย คุณก็จะต้องหลุดพ้นแน่นอน "
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
พอตกค่ำ ผมลงมาจากบ้านบนเขา จึงได้พบกัน ผมถามว่าเธอจะมาเดินไฮกิ้งพรุ่งนี้เช้าหรือ เพราะแฟนบล็อกที่มาที่นี่ในเย็นวัน 31 ธค. นี้เป็นไม่แบบใดก็แบบหนึ่งในสามแบบ คือ หนึ่ง..จะมาเดินไฮกิ้งกันในวันรุ่งขึ้น สอง..จะมานอนเงียบๆช่วงวันหยุดปีใหม่โดยไม่ยุ่งกับใคร และ สาม..แตกทัพแบบไร้อนาคตมาจากเขาใหญ่เพราะโรงแรมที่พักเต็มหมด จึงต้องมาทนนอนเงียบๆและทนกินผักกินหญ้าอยู่ที่นี่ แต่เธอคนนี้ไม่ใช่ทั้งสามแบบ เธอตั้งใจมาหา มาคุย แล้วก็จะขับรถกลับทันที ชวนกินข้าวก็ไม่กิน ความมืดกำลังโรยตัวลงมา ผมชวนนั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้านโกรฟเฮ้าส์ จึงได้ทราบวาระของเธอว่า..
"ทำไมดิฉันจึงยังไม่หลุดพ้น"
โอ้..นับว่าเป็นคำถามส่งท้ายปีเก่าที่พิศดารเอาการ เธอเล่าว่าเธอทุ่มเทปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของหลวงพ่อ.. อยู่หลายปี แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นตามของหลวงพ่อ... อีกหลายปี เธอบอกว่าเคยสมัครเข้า spiritual retreat ที่นี่แล้วแต่มาไม่ได้ ยังตั้งใจจะมาให้ได้อยู่ แต่วันนี้เป็นวันหยุดปลีกตัวได้ก็ตัดสินใจขับรถมาคนเดียวก่อนเลยโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้พบกับผมหรือเปล่า พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่ราวสิบห้านาที เรื่องที่คุยกัน โดยเฉพาะในประเด็นคำถามที่เธอจั่วหัวไว้ข้างต้น อาจมีสาระที่จะเป็นประโยชน์กับแฟนบล็อกทุกท่าน ผมจึงเอามาบันทึกไว้ คือผมบอกเธอว่า
"..คุณจะต้องหยุดค้นหา การหลุดพ้นไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไปวิ่งหาแล้วจะพบ เพราะในการแสวงหาอะไร กลไกที่เราใช้หาคือเราใช้ความสนใจ (attention) ของเราไปสอดส่องค้นหาและจดจ่อสิ่งที่เป็นเป้าหมาย เป้านั้นไม่ว่าจะเป็นความคิดของเราเอง หรือคำสอน หรือคอนเซ็พท์ หรือความคิดของคนอื่น ล้วนมีแต่จะพาเราห่างออกไปจากความหลุดพ้น ห่างไกลออกไป ไกลออกไปทุกที เพราะการหลุดพ้นไม่มีวันเกิดขึ้นจากการจดจ่อความสนใจไว้กับอะไรทีี่ข้างนอกทั้งสิ้น ยิ่งเป็นสมมุติบัญญัติที่ใช้ศัพท์แสงตั้งเป็นชื่อเรียกได้ยิ่งจะพาคุณหนีห่างไปจากความหลุดพ้น การจะหลุดพ้น ต้องให้ความสนใจตกงานก่อน ต้องให้หมดเรื่องที่จะต้องไปสนใจก่อน ต้องวางเรื่องข้างนอกลงให้หมดก่อน เมื่อไม่มีอะไรให้สนใจแล้ว ความสนใจมันจึงจะกลับหลังหันเข้าข้างใน เข้ามาอยู่กับความรู้ตัวซึ่งเป็นแหล่งพำนักดั้งเดิมของมัน เมื่อใดที่ความสนใจกลับมาอยู่กับความรู้ตัว เมื่อนั้นเราก็มีความรู้ตัวเกิดขึ้น มันเป็นความตื่นรู้ที่สงบเย็น นั่นแหละคือความหลุดพ้น.."
"..เมื่อผมพูดถึงความหลุดพ้น ผมพูดถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้เท่านั้นนะ ผมไม่พูดถึงชาติหน้า หรือแม้กระทั่งวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่พูดถึง เพราะความหลุดพ้นหรืือความรู้ตัวนี้ก็คือเดี๋ยวนี้นั่นเอง มันเป็น synonym คืือเป็นคำเดียวกัน คุณต้องมองปัจจุบันว่ามันคือโมเมนต์ที่จิตสำนึกรับรู้ดำรงอยู่ ไม่ใช่จุดหนึ่งบนเส้นตรงสมมุติเรื่องเวลาที่ลากจากอดีตไปอนาคต คืออย่ามองปัจจุบันว่าเป็นเวลา แต่มองให้เห็นเป็นจิตสำนึกรับรู้ เพราะถ้าไม่มีจิตสำนึกรับรู้หรือไม่มีความรู้ตัว ปัจจุบันก็ไม่มี ประเด็นของผมคือถ้าเราอยู่กับปัจจุบันได้ ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่ที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ได้ 100% ไม่ขาดอะไร ไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว ไม่วิ่งหนีอะไร ไม่วิ่งหาอะไร ไม่หวนเสียดายอดีต ไม่กลัวอนาคต ทุกอย่างที่ชีวิตโยนมาให้เราที่เดี๋ยวนี้เรารับมันได้อยู่กับมันได้หมดอย่างสงบเย็น นั่นแหละเราหลุดพ้นแล้ว อย่าไปสนใจชาติหน้าเลย เพราะชาติหน้าเป็นความคิดนะ เป็นจินตนภาพถึงชีวิตหลังการตาย แต่ตอนนี้เรายังตัวเป็นๆอุ่นๆอยู่นะ สนใจเดี๋ยวนี้ดีกว่า"
"..ปฐมเหตุของการติดกับดักไม่หลุดพ้นไปไหนสักทีก็คือความเพิกเฉย (ignorance) คำนี้ผมแปลมาจากภาษาบาลีคำว่า "อวิชชา" ผมหมายถึงการที่เราเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าในองค์ประกอบของชีวิตสามส่วนคือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) จิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัวนี้ ส่วนที่เป็น "ฉัน" ตัวจริงคือความรู้ตัว ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ความคิด และไม่ใช่ความเป็นบุคคลของเราซึ่งผูกขึ้นมาจากร่างกายและความคิด ภาษาบาลีเรียกจิตสำนึกรับรู้หรือความรู้ตัวนี้ว่า "วิญญาณ" การจะเลิกเพิกเฉยหันมาใส่ใจในความจริงตรงนี้คุณต้องเริ่มด้วยการถอยตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกต คำว่าสังเกตผมไม่ได้หมายความว่าเที่ยวไปสังเกตว่าใครทำอะไรที่ไหนที่ข้างนอกนะ แต่ผมหมายถึงสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายและในใจของตัวเอง คุณใช้เวลาสักหกเดือนตั้งใจทำตรงนี้ก่อน คุณทำแบบที่พวกฮินดูบางนิกายเขาทำกันก็ได้ วันก่อนมีฝรั่งชาวออสเตรเลียคนหนึ่งมาสอนที่นี่ เขาสอนว่าไม่จำเป็นต้องถึงกับไม่มีความคิดเลยหรอก แค่ให้คุณยึดกุมความคิดหลักไว้ความคิดเดียว คือความคิดว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น" ส่วนความคิดอื่นนั้นปล่อยให้มันเข้ามาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านออกไป เหมือนท้องฟ้ามองดูก้อนเมฆที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่หยิบฉวย ไม่คิดต่อยอด หกเดือนแรกนี้ไม่ต้องทำอะไร ท่องไปอย่างเดียวว่า "ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น" ท่องไปจนคุณแยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกตความคิดและร่างกายของคุณได้สำเร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วช่องทางที่ควรจะทำสะเต็พต่อไปอย่างไรมันจะโผล่มาให้คุณเห็นเอง.."
เธอพยายามถามผมถึงครูบาอาจารย์ที่ผมเชื่อถือมากที่สุด ผมตอบเธอว่าผมเรียนรู้จากครูหลายคนจนมากเกินไป มีศาสนาหลายศาสนามากเกินไป จนกลายเป็นไม่ต่างจากคนไม่มีครูไม่มีศาสนาเลย ผมบอกเธอว่าตัวคุณเองเป็นครูของตัวเองที่ดีที่สุด ตัวผมเองนั้นไม่เคยมีความคิดว่าจะเป็นครูเป็นอาจารย์ให้ใคร เพราะผมรู้ว่าวิธีนั้นไม่เวอร์ค อย่างน้อยก็ถ้าคนอย่างผมคิดจะเป็นครูอาจารย์มันไม่เวอร์คแน่ ผมเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น
"..ในระดับเทคนิคปฏิบัติสู่ความหลุดพ้นน้ั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมาก มันเป็นการผสานกันระหว่างเทคนิคต่อไปนี้ คือ
(1) การเฝ้าสังเกตความคิดและร่างกาย
(2) การเปิดรับเอาพลังงานจากข้างนอกเข้ามากระตุ้นตัวเอง
(3) การรับรู้พลังงานในร่างกาย
(4) การผ่อนคลายร่างกาย
(5) การมีสมาธิ
(6) การรับรู้สิ่งเร้าต่อกายและใจแบบรับรู้ตรงๆตามที่มันเป็น
โดยมีลูกเล่นรู้จักเลือกใช้แต่ละเทคนิคให้เหมาะกับจังหวะเวลา เมื่อปลอดความคิดและมีสมาธิจดจ่อแน่วแน่ถึงระดับหนึ่ง พลังงานจากข้างนอกก็จะหลั่งไหลเข้ามาหา ปัญญาญาณที่จะพาให้รู้และเข้าใจเรื่องที่สงสัยค้างคาอยู่ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องเทคนิคปฏิบัตินี้ หากคุณลองทำเองแล้วมันตัน มันไม่สำเร็จ คุณค่อยมาเรียน MBT หรืือมาเข้า Spiritual retreat ก็ได้ มันอาจจะช่วยคุณได้บ้าง"
ก่อนจากกัน ผมบอกเธอว่า
"..คุณอายุยังน้อย และมี motivation สูง อย่างไรเสีย คุณก็จะต้องหลุดพ้นแน่นอน "
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์