ยา isotretinoin กับการถูกบีบให้ทำแท้ง


สวัสดีครับคุณหมอสันต์

คือว่าขณะนี้แฟนผมตั้งท้องได้ราว 4-5 สัปดาห์โดยประมาณโดยไม่ได้วางแผนมาก่อน แต่แฟนผมได้ทานยาโรแอคคิวเทนเพื่อป้อกันสิวมาตั้งแต่ก่อนทราบเรื่องท้องครับ โดยทานมาตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ขนาด 10mg รวมกันจนหยุดกินมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่าจะราว 63 เม็ด ซึ่งก็หมายความว่า ตั้งแต่เริ่มตั้งท้องน่าจะทานมาร่วม 30 เม็ดครับ


ตอนนี้เราเครียดมาก ผมไม่รู้จะปรึกษาใครจริงๆครับ เพราะผมก็ไม่รู้จักยาตัวนี้มาก่อน แต่แฟนผมทราบครับปกติเราก็คุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัยครับ เพราะตอนที่เขาบอกผมว่าท้องผมก็ดีใจ แต่พอเขาบอกเรื่องยาตอนแรกเฉยๆเพราะไม่รู้จัก พออ่านข้อมูลในเน็ตแล้วหมดแรงครับ

วันนี้ไปพบหมอมาแล้วครับ หมอแนะนำว่ายาตัวนี้ความเสี่ยงสูงมากที่ทำให้เด็กพิการ ควรหยุดการตั้งท้องซะ ซึ่งผมทำใจตั้งแต่ไปแล้วครับ แต่ก็รับไม่ไหวอยู่ดี ตอนนี้ยังเบลออยู่ ยังหาข้อมูลอยู่ในเน็ต ยังคิดไม่ออกเลยครับ อ่านเจอว่าถ้าเกิดภาวะไม่สมบูรณ์กับเด็กร่างกายจะหยุดการเติบโตและแท้งออกมาเอง ถ้าเป็นแบบนั้นผมยังรับไหวครับ แต่ให้ผมเป็นคนหยุดนี่...ยังเครียดอยู่เลยครับ

ผมจึงอยากรบกวนขอปรึกษา คุณหมอสันต์พอจะมีคำแนะนำบ้างมั้ยครับ

ปล. ผมอยู่ในสถานะพร้อมเรื่องมีลูกนะครับ ทั้งอายุและหน้าที่การงาน ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วครับ แต่ถ้าลูกมีปัญหา ผมรู้ว่าแฟนผมคงทำใจไม่ได้และโทษตัวเองไปตลอดครับ


ด้วยความเคารพ

……………………………………………

ตอบครับ

ก่อนตอบคำถามผมขอให้ข้อมูลทั่วไปแก่ท่านผู้อ่านรายอื่นๆก่อนนะครับ ยาโรแอคคิวเทน หรือของอีกบริษัทหนึ่งชื่อ Accutane ล้วนมีชื่อจริงว่า isotretinoin เป็นยารักษาสิว ที่ถูกถอนออกจากตลาดในอเมริกาไปแล้ว แต่เมืองไทยยังขายได้ เพราะเมืองไทยเรานี้ แสนดีหนักหนา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า อะไรที่ขายเมืองนอกไม่ได้ขอให้เอามาขายเมืองไทย รับรองขายได้หมด ขอโทษ เผลอพล่ามนอกเรื่อง กลับเข้าเรื่องดีกว่า ยานี้ถูกจัดอันดับเป็น category X คือห้ามใช้ในคนตั้งครรภ์เด็ดขาด ในอเมริกายุคที่ยังมียานี้ขายอยู่ การจ่ายยานี้ต้องทำผ่านระบบ iPLEDGE ซึ่งทั้งแพทย์ คนไข้ และเภสัชกร ต้องลงทะเบียนรับรองแข็งขันว่าก่อนเริ่มใช้ยาไม่ได้ตั้งครรภ์ และระหว่างใช้ยาได้คุมกำเนิดอย่างน้อยสองวิธีเพื่อความชัวร์ แต่ว่าเมืองไทยเราไม่ต้อง เพราะคนไทยเราชอบแบบอิสรเสรีนิวฟรีด้อม อ้าว.. เผลอพล่ามอีกละ กลับเข้าเรื่อง ตอบคำถามของคุณดีกว่า

คำถามของคุณมีประเด็นเดียว คือ มาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำอย่างไรดีค่า ท่านสารวัตรขา

          ผมแนะนำว่าให้ใช้หลักการบริหารความเสี่ยง คือเอาทางเลือกทีที่มีอยู่มากาง แล้วเอาข้อมูลความเสี่ยงของแต่ละทางเลือกมาเรียงดู แล้วก็ตัดสินใจเลือก หลักมีเท่านี้เอง

          ทางเลือกนั้นชัดอยู่แล้ว มีสองทาง คือ ทำแท้ง กับไม่ทำ

1.      ทางเลือกไม่ทำแท้ง มีความเสี่ยงดังนี้

          1.1 ความเสี่ยงที่จะเกิดทารกพิการหากกินยารักษาสิวตัวแสบ isotretinoin เข้าไปขณะตั้งครรภ์ ความเสี่ยงมันเป็นเท่าไหร่ ข้อมูลที่กล่าวอ้างกันแบบเลื่อนลอยทั่วไปโดยไม่มีหลักฐานบันทึกคือคนชอบอ้างกันว่าความเสี่ยงมีมากกว่าปกติ 10 เท่า (ก็คือเสี่ยงที่จะได้ลูกพิการ 30-40%) แต่ข้อมูลที่ชื่อถือได้มากที่สุดมีอยู่แหล่งเดียว คืองานวิจัยแบบติดตามดูกลุ่มคน 8,609 คนที่กินยานี้ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารเภสัชวิทยาคลินิกอังกฤษ พบว่ามีคนเผลอปล่อยให้ตั้งครรภ์ 90 คน ในจำนวนนี้ถูกหมอจับทำแท้งไปเสีย 76 คน (84%) แท้งบุตรเองตามธรรมชาติ 3 คน เด็กตายจากการบาดเจ็บขณะคลอด 2 คน เหลือ คลอดออกมามีชีวิต 9 คน (10% ของคนที่ตั้งครรภ์) ซึ่งใน 9 คนนี้มีความผิดปกติแต่กำเนิดคนเดียว (10% ของเด็กที่คลอดมีชีวิต) ความผิดปกติในเด็กหนึ่งเดียวรายนั้นเป็นความผิดปกติของรูปทรงใบหน้าและลำคอซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการมีชีวิตปกติ ความเสี่ยงที่จะได้ความผิดปกติแบบรุนแรงนี้ถูกกลั่นกรองโดยธรรมชาติ กล่าวคือถ้าทารกผิดปกติรุนแรง ก็จะเกิดการแท้งบุตรเสียเอง นี่เป็นกลไกธรรมชาติ ดังนั้นทารกที่มาถึงคลอดมีชีวิต หากผิดปกติก็ จะเป็นระดับไม่รุนแรง
          กล่าวโดยสรุป ผมประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการของทารกกรณีของแฟนคุณจากหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่มี คือ 10%

          1.2 ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพจิตของแม่หากลูกเกิดมาพิการ หมายความว่ามีโอกาส 10% ที่แม่จะต้องมาผจญกับ guilty feeling กรณีที่ทารกมีความผิดปกติ อันนี้ไม่สามารถประเมินความรุนแรงได้ เพราะขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใจของแม่แต่ละคน และความเสี่ยงอันนี้เป็นความเสี่ยงลมๆ หมายความว่าเกิดจากความคิด สามารถบรรเทาได้ด้วยการฝึกจิตใจให้ยอมรับความเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตให้ได้ดีกว่าเดิม

          2..คราวนี้มาดูทางเลือกที่ทำแท้งไปเลย มีความเสี่ยงอะไรบ้าง

          2.1 ความเสี่ยงที่จะเกิดทารกพิการ ในประเด็นนี้คุณ  (รวมทั้งท่านผู้อ่านที่ยังอยู่ในวัยเจริญพันธ์ทั้งหลายด้วย) ต้องเข้าใจก่อนนะว่าการมีลูกหรือการออกลูกของมนุษย์เรานี้ ในสภาพแวดล้อมของการตั้งครรภ์และการคลอดปกติ (normal pregnance) มีความเสี่ยงที่จะได้ทารกพิการแบบพระเจ้าประทานมาให้อยู่แล้ว 3-4% นี่เป็นของแน่ ทางสูติศาสตร์เรียกว่าเป็น background risk จะเล่าให้ฟังนะ สมัยที่แฟนผมตั้งท้อง เธอเป็นหมอเด็ก จึงวอรี่มากว่าลูกจะพิการ ทุกสองสามเดือนผมต้องขับรถพาเธอไปไหว้พระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่มากสีดำทั้งองค์ที่อยุธยา  (ขอโทษ ผมจำชื่อวัดไม่ได้) เพื่อให้เธอสบายใจ คือคนที่รู้ความจริงว่าการตั้งครรภ์ปกติมีความเสี่ยงจะได้เด็กพิการ 3-4% ก็จะเป็นทุกข์เมื่อตั้งครรภ์ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ตั้งครรภ์สบายใจเฉิบ เล่าต่อเรื่องแฟนผมอีกหน่อยนะ พอมีลูกแล้ว ไปอยู่เมืองนอก แล้วกลับมาทำงานเมืองไทย สิ่งแรกที่เธอขอร้องผม ก็คือขอให้ผมขับรถพาเธอไปไหว้พระพุทธรูปองค์นั้นที่อยุธยา ผมบอกลูกชายซึ่งตอนนั้นพูดไทยไม่ได้ว่าเราจะไปไหว้ “Big black Bhudda” กัน แต่พอไปถึงลูกชายถามว่าไหนงะ big black Bhudda เพราะปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์นั้นท่านถูกทาสีใหม่เสียแล้ว เป็นองค์สีขาวห่มผ้าเหลือง ดูแล้วไม่คลาสสิกเหมือนสีดำดั้งเดิมเลย แต่แฟนผมได้ไหว้พระแล้วเธอก็มีความสุขดี โอเค. หยุดนอกเรื่อง กลับมาคุยเรื่องความเสี่ยงต่อดีกว่า

          2.2 ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพจิตของแม่หากทำแท้ง คือแม่ทุกคนที่จำใจทำแท้งทั้งๆที่อยากได้ลูก จะมีปัญหานี้ทุกคน มีโอกาสเกิดถึง 100% หากเลือกทำแท้ง คือทำแท้งเมื่อไหร่ แม่มีปัญหาทางใจเมื่อนั้น พูดภาษาชาวบ้านก็คือการต้องผจญกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นคนประเภทไหนเนี่ย เป็นแม่ที่ฆ่าลูกตัวเอง เช่นเดียวกัน ความรุนแรงของปัญหานี้ผมไม่สามารถประเมินได้ เพราะไม่ทราบพื้นฐานจิตใจของแฟนคุณซึ่งจะเป็นแม่ในกรณีนี้

          2.3 ความเสี่ยงที่แม่จะได้รับอันตรายจากการทำแท้ง คือการทำแท้งนี้เป็นหัตถการที่รุกล้ำ ไม่ใช่อะไรเล็กๆแบบเล่นขายของ พลาดท่าเสียทีก็ตายได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับเลือกการทำแท้งแบบไหนด้วย หากมีหมอสูติใจดีทำแท้งให้ในโรงพยาบาลที่ดี ความเสี่ยงนี้ก็น้อย ปัญหาก็คือจะหาหมอสูติทำแท้งให้ได้หรือเปล่า เพราะหมอสูติส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักล้วนเป็นพันธุ์สาบานกับตัวเองมาตั้งแต่เกิดว่าจะไม่ยอมทำแท้ง ถ้าหาได้ก็ดีไป แต่หากต้องไปทำแท้งกันที่คลินิกเถื่อน ความเสี่ยงอันนี้ก็มาก

          เอาละ ทางเลือกก็อยู่ตรงหน้าแล้ว ความเสี่ยงของแต่ละทางเลือกก็ชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว คราวนี้ก็ตัดสินใจเลยสิครับ คุณและแฟนต้องตัดสินใจ เพราะลูกของคุณ ไม่ใช่ลูกของผม

          ถามว่าถ้าเป็นหมอสันต์เป็นพ่อเด็กจะตัดสินใจอย่างไร ตอบว่าผมไม่ทำแท้งหรอกครับ เพราะผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผมเชื่อว่าลูกผมจะเป็น 90% ที่เกิดมาปกติ ไม่ใช่ 10% ที่เกิดมาผิดปกติ แน่นอน เมียผมอาจะจะไม่คิดอย่างผม ผมก็จะขับรถพาเธอไปอยุธยา ไปไหว้ big black.. เอ๊ย ไม่ใช่ big white Bhudda แล้วเธอก็จะสบายใจ และสองเราก็จะตั้งหน้าตั้งตาลุ้นสิ่งต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตกันต่อไปด้วยความหวัง ชีวิตที่ดี มันก็เป็นอย่างนี้ และมีเท่านี้แหละครับ คือ ความรัก ความหวัง และความรื่นเริงบันเทิงใจ

 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.     Bérard, A; Azoulay, L; Koren, G; Blais, L; Perreault, S; Oraichi, D. "Isotretinoin, pregnancies, abortions and birth defects: a population-based perspective". British Journal of Clinical Pharmacology 2007; 63 (2): 196–205.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี