น้ำตาลเป็นสิ่งเสพย์ติดได้หรือไม่
ขอขอบคุณคุณหมอที่เขียนสิ่งที่มีประโยชน์และตอบคำถามสุขภาพให้คนทั่วไปได้อ่านนะครับ
ผมเองก็ได้อาศัยบล็อกของคุณหมอเป็นทั้งที่คลายเครียด
และเป็นที่ค้นหาคำตอบที่เชื่อถือได้ในเรื่องสุขภาพ ปัญหาที่ผมมีเป็นปัญหาเกี่ยวกับลูกชายอายุ
31 ปี สูง 168 ซม. น้ำหนัก 112 กก. เรียนหนังสือจบแล้ว แต่วันๆเขาไม่ทำการทำงานอะไรเอาแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์
แล้วผมสังเกตว่าเขาต้องกินอะไรหวานๆมากขึ้นๆ ทุกอย่างที่เขากินต้องมีส่วนของน้ำตาล
น้ำเปล่า เขาก็ไม่ดื่ม จะดื่มแต่โค้กคลาสสิก ผมเคยซื้อซีโร่โค้กให้เขาเขาก็ไม่เอา วันไหนถ้าไม่มีของหวานใส่ไว้ในตู้เย็นเขาจะหงุดหงิดและเดินออกไปซื้ออะไรหวานๆกินนอกบ้าน
ภรรยาของผมเขาเป็นคนเกรงใจลูก จะพูดจะจาอะไรก็กลัวขัดหูลูกตลอด
มีอะไรเธอไม่กล้าพูดเองต้องให้ผมเป็นคนพูด
ตอนนี้ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่าลูกติดน้ำตาลเหมือนติดยาเสพย์ติด
ผมจึงอยากถามคุณหมอว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่คนเราจะติดน้ำตาลเหมือนติดยาเสพย์ติด
และถ้าติดอย่างนั้นจริงๆควรจะต้องแก้ไขอย่างไร
ขอให้คุณหมอเขียนบล็อกนี้ตลอดไปอย่าหยุดนะครับ และขอให้คุณหมอและครอบครัวมีแต่ความสุขความเจริญ
..........................................
1.. ถามว่าคนเราจะติดน้ำตาลเหมือนกับติดฝิ่นติดมอร์ฟีนได้ไหม
ตอบว่าหลักฐานว่าน้ำตาลเป็นสิ่งเสพย์ติดในคนยังไม่มีนะครับ มีแต่ในสัตว์ทดลอง
กล่าวคือเมื่อราวปี 2002 ได้มีการทดลองที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
โดยเอาหนูมาให้ดื่มน้ำหวานใส่น้ำตาล 20% ซึ่งเป็นความเข้มข้นของน้ำตาลในซอฟท์ดริ๊งค์ทั้งหลายของคนเราทุกวันนี้
แล้วติดตามดูก็พบว่าหนูกลุ่มที่กินน้ำหวานเริ่มติดน้ำตาล
และค่อยๆเลิกกินอาหารอื่นที่ไม่มีน้ำตาลหันมากินแต่ของที่มีน้ำตาล แล้วต่อมาในปี
2008 ก็มีผู้ทำการวิจัยซ้ำในหนูเหมือนกัน แต่คราวนี้ดูการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองและการกระตุ้นเส้นประสาทในส่วนที่เกี่ยวกับการเสพย์ติด
(opioid receptor) ด้วย
ก็ได้ข้อมูลยืนยันว่าหนูเหล่านั้นเสพย์ติดน้ำตาลจริงๆ
โดยมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีเช่นโดปามีนในสมองและการกระตุ้นตัวรับรู้สิ่งเสพย์ติดเหมือนกับกรณีเสพย์ติดมอร์ฟีน
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เป็นเพียงหลักฐานในสัตว์ทดลอง
ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าเป็นหลักฐานระดับต่ำ ยังเอามาอ้างอิงใช้กับคนไม่ได้
ยังมีหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่คนชอบอ้างกัน
คือหลักฐานเปรียบเทียบคลื่นแม่เหล็ก (MRI) ของสมอง
ว่าคลื่นแม่เหล็กในสมองของคนที่ชอบกินของหวานเมื่อเห็นของหวานแล้วอยากกิน
จะมีคลื่นแม่เหล็กของสมองเหมือนคลื่นของคนติดโคเคนที่เห็นโคเคนแล้วอยากเสพย์
แต่ว่าหลักฐานแบบนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์เทียมแบบสรุปยกเมฆ ไม่ใช่หลักฐานที่จะใช้ยืนยันได้ว่าน้ำตาลเป็นสิ่งเสพย์ติดเช่นเดียวกับโคเคน
2.. ถามว่าแล้วจะแก้ปัญหาลูกชายติดน้ำตาลได้อย่างไร
ผมขอแยกเป็นสองประเด็นนะครับ
2.1 ในแง่ของสังคมวิทยา ลูกชายของคุณอายุ 31 ปีแล้ว
เรียนหนังสือจบแล้ว โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และถือว่าพ้นอกคุณไปแล้ว คุณยังจะไปยุ่งอะไรกับเขาอีกมากมายละครับ
ผมหมายความว่าคุณเลี้ยงลูกมาถึงป่านนี้แล้วคุณหมดหน้าที่หลักแล้ว หน้าที่ที่เหลือคุณเป็นเพียงที่ปรึกษาอยู่ห่างๆ
ถ้าเขาไม่ปรึกษา คุณก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งกับชีวิตของเขาหรอก ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา
ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้บงการชีวิตเขาอีกต่อไปแล้ว หากคุณอยากก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นกับชีวิตของเขา
คุณทำได้เพียงแค่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณก่อนเพื่อให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง
เช่นตัวคุณงดดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาล งดทานอาหารหวาน คุณทำได้แค่นั้น
ในกรณีของคุณอาจจะทำได้มากกว่านั้นอีกหน่อยเพราะลูกชายอาศัยบ้านคุณอยู่ คือคุณอาจปรับสิ่งแวดล้อมบ้านของคุณให้เป็นเครื่องบังคับไปในตัว
เช่นในตู้เย็นไม่มีของหวาน เป็นต้น
คุณทำได้แค่นั้นแหละ มากกว่านั้นคงยาก
เพราะการจะไปกะเกณฑ์ให้ลูกซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วให้กินนั่นไม่ให้กินนี่มันผิดธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนะคุณ
เดี๋ยวคุณจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เพี้ยนไปหมด
2.2 ในแง่ของหลักทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
หากคุณคิดจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คนคุณต้องรู้ว่าเขาอยู่ในขั้นตอนไหนของกระบวนการการเปลี่ยนแปลง
แล้วเลือกใช้วิธีช่วยที่เหมาะสมกับขั้นตอนนั้น กล่าวคือ
2.2.1 ถ้าเขายังอยู่ในขั้นตอนไม่สนใจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
ในขั้นตอนนี้คุณทำได้อย่างเดียว คือให้ข้อมูลความจริง ไม่ต้องไปพยายามอย่างอื่น
แค่ให้ข้อมูลความจริงว่าน้ำตาลมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร ถ้าเขาได้ทราบความจริงแล้ว
เขาจึงจะเกิดความคิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่ถ้าเขาทราบความจริงแล้วก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอีก นั่นมันก็เป็นกรรมเก่าของใครของมันแล้วละคุณ
อย่าไปพยายามทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการให้ข้อมูลความจริงเลย
เพราะทำไปงานวิจัยที่ผ่านมาบอกว่ามันก็ไม่เวอร์ค
2.2.2
ถ้าเขาอยู่ในขั้นตอนที่รับรู้ความจริงแล้วและแสดงความสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
แต่ยังไม่เอาจริงสักที ในขั้นตอนนี้เครื่องมือที่ช่วยคือการสร้างแรงจูงใจ หรือชักจูงต่างๆนาๆ
เช่น ชี้ให้เห็นประโยชน์ของความหล่อ ชี้ให้เห็นผลกระทบทางบวกต่อคนรอบข้าง เช่นพ่อแม่ที่รักเขามาก
เป็นต้น
2.2.3 ถ้าเขาอยู่ในขั้นตอนที่ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองแน่
แต่กำลังจดๆจ้องๆรอจังหวะที่จะลงมือ ในขั้นตอนนี้เครื่องมือช่วยที่ดีคือคุณให้ทางเลือก
เพราะคนเราเมื่อมีทางเลือกจึงจะลงมือเลือก เช่นไปเข้าแค้มป์คนอ้วนของหมอสันต์ไหมลูก
หรือไปเทียวปีนเขาหิมาลัยกันไหม แบบว่าสองอาทิตย์ไม่ได้กินน้ำตาลเลยสักก้อน
หรือเราเปลี่ยนสูตรอาหารทั้งบ้านกันไหมลูก จะเอาสูตรไหนดี มังสะวิรัติไขมันต่ำ
หรือจะเอาสูตรอาหารลดความดัน DASH ลูกชอบแบบไหนเลือกเอา
2.2.4 ถ้าเขาอยู่ในขั้นตอนลงมือทำแล้ว แต่ไปไม่รอด
ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นแล้ว ในขั้นตอนนี้ตัวช่วยคือการเสริมวินัย
สร้างวินัยกลุ่มเพื่อช่วยให้เขามีวินัยต่อตัวเองง่ายขึ้น
เช่นการไม่ซื้อน้ำตาลเข้าบ้านนี่ก็เป็นวินัยกลุ่ม พ่อแม่ลูกมีนัดต้องไปออกกำลังกายด้วยกันทุกเย็นวันศุกร์นี่ก็เป็นวินัยกลุ่ม
ตัวช่วยในขั้นตอนนี้อีกตัวหนึ่งคือกัลยาณมิตร คือถ้าหาทางให้เขามีเพื่อนที่หัวอกเดียวกันและมุ่งมันไปในทิศทางเดียวกัน
โอกาสที่เขาจะไปได้ตลอดรอดฝั่งก็ง่ายขึ้น
3. ที่เอ่ยปากชวนให้เขียนบล็อกต่อเนื่องเรื่อยไปอย่าให้หยุดนั้น ขอบพระคุณครับ แต่ว่าชีวิตจริงมันขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง วันนี้ผมเขียนบล็อกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง
วันพรุ่งนี้ผมอาจมีอะไรหนุกๆกว่านี้ทำก็ได้ ใครจะไปรู้
ดังนั้นผมไม่รับปากอะไรกับใครถึงอนาคตหรอกครับ
“...อย่าเพียรถาม
ว่าฉันจะรัก เธอนานเท่าใด
ฉันตอบไม่ได้
ว่าฉันจะรัก ชั่วกาลนิรันดร์
เพราะชีวิตฉัน คงไม่ยืนยาว
ไปถึงปานนั้น
รู้แต่เพียงฉัน
หมดสิ้นรักเธอ เมื่อฉันหมดมู้ด...ด “
ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1.
Avena, Nicole
M.; Rada, Pedro and Hoebel, Bartley G. "Evidence for sugar addiction:
behavioral and neurochemical effects of intermittent, excessive sugar
intake". Neuroscience & Biobehavioral Reviews, 2008;32(1):20-39. Epub
2007 May 18.