นพ.สันต์ ให้สัมภาษณ์รายการทีวี.คนสู้โรค Thai PBS เรื่องสังคมผู้สูงอายุ
Thai PBS
ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว
จะเกิดอะไรขึ้น
นพ.สันต์
หนึ่ง ก็คือต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
ตัวเลขที่มีผู้คิดไว้เป็นตัวเลขของอเมริกา คือเมื่ออายุเกิน 65 ปีขึ้นไป
ต้นทุนการดูแลสุขภาพจะเพิ่มเป็น 3 – 5 เท่าของค่าเฉลี่ยคนทุกอายุรวมกัน ต้นทุนที่ชาติหรือสังคมต้องจ่ายหรือที่เรียกว่า
public financing ก็เพิ่มขึ้น ในญี่ปุ่นมีการคำนวณว่าในปี
2020 ค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องจ่ายให้ผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้นอีก 102% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน
สอง ก็คือ ถ้าไม่มีการเตรียมการที่ดี
หมายความว่าตัวผู้สูงอายุก็ไม่ได้เตรียมการ ประเทศชาติก็ไม่ได้เตรียมการ
ชีวิตในวัยสูงอายุก็จะเป็นชีวิตที่ทุกข์ทรมานและไม่มีคุณภาพ
Thai PBS
ที่ว่าชีวิตมีคุณภาพนั้นต้องอย่างไรคะ
นพ.สันต์
งานวิจัยของสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย
พบว่าผู้สูงอายุไทยระบุ 4 เหตุหลักที่ทำให้ชีวิตมีความสุขในวัยสูงอายุคือ
1.
สุขภาพดี
ไม่เจ็บไข้
2.
มีเงินใช้
3.
มีงานทำ
4.
ลูกหลานดี
สี่อย่างนี่แหละครับ
เป็นคุณภาพชีวิตในวัยสูงอายุ
Thai PBS
แล้วผู้สูงอายุต้องเตรียมตัวอย่างไรคะ
นพ.สันต์
ประการที่ 1. เพื่อจะมีสุขภาพดี
ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรังทั้งหลาย
นั่นคือ
หนึ่ง
ต้องเปลี่ยนตัวเองจากคนชอบจุมปุ๊กดูทีวี.ไปเป็นคนชอบขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
สอง ต้องปรับโภชนาการ ลดอาหารให้แคลอรี่ลง ไขมันทรานส์ต้องหลีกเลี่ยง น้ำตาลเพิ่มในเครื่องดื่มต้องเลิก เพิ่มอาหารผักและผลไม้ให้มากขึ้น
สาม ต้องฝึกจัดการความเครียด ฝึกให้ร่างกายรู้จักการสนองตอบแบบผ่อนคลาย เช่นไปฝึกสมาธิ รำมวยจีน ฝึกโยคะ เป็นต้น
สี่ ก็ต้องตรวจประเมินความเสี่ยงสุขภาพกับแพทย์สม่ำเสมอทุกปี หากพบปัจจัยเสี่ยงสุขภาพตัวใดโผล่โดดเด่นขึ้นมาก็จัดการเสียให้เรียบร้อย
ประการที่ 2. การจะมีเงินได้ ก็ต้องออมเงิน อันนี้ผมคงไม่เจาะลึกนะครับ
ประการที่ 3. เพื่อจะมีงานทำตอนแก่ ก็ต้องเตรียมทักษะให้พร้อม
คิดไว้ก่อนว่าตัวเองแก่แล้วจะทำอะไร เตรียมทักษะที่จะทำไว้ ถึงเวลาก็จะได้ใช้ทำได้
เช่นคิดจะเขียนรูปก็ต้องไปเรียนไปฝึก
อีกประการหนึ่งคือการเปลี่ยนโลกทัศน์เสียใหม่ว่าการทำอะไรให้มีความสุขนี้
มันไม่จำเป็นต้องได้เงินเสมอไปดอก ทำงานการกุศลหรือจิตอาสาก็มีความสุขได้
ถ้าไปติดกรอบความคิดว่าทำงานต้องคิดยี่ต๊อกว่าได้เงินคุ้มเหนื่อยไหม
นั่นก็คือหลงทางแล้ว เมื่อเราสูงอายุ เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเงินแล้ว
แต่เรามีชีวิตอยู่เพื่อให้ชีวิตเป็นสุขในบั้นปลาย
การทำงานเป็นเพียงเครื่องมือที่จะทำให้ชีวิตมีคุณภาพหรือมีความสุข
ต้องตีโจทก์ตรงนี้ให้แตกก่อนคิดทำอะไรในวัยสูงอายุ
ประการที่ 4. เพื่อจะมีลูกหลานดี ก็ต้องลงแรงในการเลี้ยงดู
ผมพูดถึงลงแรงนะ ไม่ใช่ลงทุน ทักษะวิชาชีพเด็กรุ่นใหม่นั้นมีกันแล้ว
แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่มี พูดง่ายๆว่าไม่มีสติ ตามความคิดตัวเองไม่ทัน
ไม่รู้อารมณ์ของตัวเอง ทำให้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่ได้
เรื่องนี้มันลึกซึ้ง คือธรรมชาติของชีวิตต้องดำรงอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
แต่เราสอนลูกหลานว่าชีวิตดำรงอยู่ท่ามกลางความมั่งมีศรีสุขและเงื่อนไขต่างๆที่เราควบคุมได้
ทำให้เขาเป็นคนที่คอยแต่คาดหวังเอากับคนอื่นหรือสิ่งรอบตัว
เชื่อว่าปัญหาของตัวเองท้ายที่สุดจะมีคนอื่นหรือสังคมมาแก้ให้
แต่ของจริงคือปัญหาชีวิตมันเกิดที่ใจตัวเอง
เมื่อเขาไม่มีทักษะที่จะตามให้ทันใจของตัวเอง เขาก็เอาตัวไม่รอด
พูดง่ายๆสิ่งที่ควรจะสอนเขา คือการฝึกตัวเองให้มีสติ เราไม่ได้สอน
แล้วไปนั่งตั้งความหวังว่าเขาจะไปได้ดีในชีวิต
เหมือนกับเรามีรถยนต์ที่ไม่ได้เติมน้ำมัน
แต่ไปตั้งความหวังว่าจะให้มันวิ่งไปได้นานๆไกลๆ มันผิดความจริง
การทำทั้งสี่อย่างนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังอายุไม่มาก
เป็นการเตรียมความพร้อมที่จะเป็นผู้สูงอายุที่ชีวิตมีคุณภาพ
Thai PBS
โรคสำหรับผู้สูงอายุในอนาคตจะมีโรคอะไรบ้าง
นพ.สันต์
สถิติยังไม่มีนะ
แต่ผมคาดเดาว่าในสังคมผู้สูงอายุ โรคเด่นจะมีอยู่สามกลุ่ม
(1) แช้มป์ตลอดกาลจากนี้ไปคือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่นโรคหลอดเลือด
ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ความดัน เบาหวาน อัมพาต อัมพฤกษ์ โรคไตเรื้อรัง และมะเร็ง
(2) โรคสมองเสื่อม
(3) โรคซึมเศร้า
ThaiPBS
จะป้องกันโรคเหล่านี้ได้อย่างไร
นพ.สันต์
การป้องกันโรคกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคซึมเศร้านั้น
ก็ต้องทำตามที่ผมได้พูดไปแล้วข้างต้น ซึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิงทั้งการกินการเคลื่อนไหวออกกำลังกาย
การจัดการความเครียด ส่วนการป้องกันโรคสมองเสื่อมนั้นน่าเสียดายที่เรายังไม่ทราบวิธี
Thai PBS
ในวงการแพทย์จะมีวิธีเตรียมรับมืออย่างไร
นพ.สันต์
กับการเพิ่มจำนวนของคนสูงอายุหรือครับ
คือในภาพใหญ่ปัจจุบัน 99% ของทรัพยากรของระบบดูแลสุขภาพ
ใช้ไปกับการต่อสู้รักษาโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นแล้ว แต่หนทางข้างหน้าคือต้องจัดสรรงบประมาณให้กับงานป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากขึ้น
พูดง่ายๆก็คือต้องใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการส่งเสริมสุขภาพ
ยกตัวอย่างง่ายๆถ้าเราทำอะไรสักอย่างกับร้านอาหารกลางวันในโรงเรียนของเด็กๆ
แค่นี้ก็จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กไปอีกไม่รู้กี่สิบปีข้างหน้า หรืออาจตลอดชีวิต
เป็นต้น พูดถึงการป้องกันโรคนี้ ผมไม่ได้หมายความแค่การป้องกันคนที่ยังไม่ป่วยไม่ให้ป่วยนะ
ผมหมายความรวมถึงการป้องกันโรคในคนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังแล้วด้วย คือมุ่งให้โรคถอยกลับหรือไม่ให้เป็นมากขึ้น
เรียกคอนเซ็พท์นี้ว่า secondary prevention หรือบางทีก็เรียกว่าเป็นกระบวนการจัดการโรคเรื้อรัง (disease
management)
Thai PBS
บทบาทของคนในครอบครัวควรเป็นอย่างไร
นพ.สันต์
ธรรมเนียมไทยเชิดชูความกตัญญู
ดังนั้นจิตใจที่อยากจะทำอะไรให้ผู้สูงอายุของลูกหลานไทยนั้นเต็มร้อยอยู่แล้ว
แต่ประเด็นคือทำไม่เป็น คือในยุคสมัยที่โครงสร้างของครอบครัวเล็กลงอย่างทุกวันนี้
ภาระการดูแลผู้สูงอายุจะตกกับใครคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวเป็นส่วนใหญ่
ไม่ใช่ช่วยกันดูคนละนิดคนละหน่อยอย่างสมัยก่อนแล้ว พูดง่ายๆว่ากลายเป็นงานฟุลไทม์ การเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ
หรือ caregiver นี้มันก็มีศาสตร์ของมันอยู่เหมือนกัน
ลูกบางคนอุตสาห์เกษียณก่อนกำหนดหรือลาออกจากงานมาดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่า แต่ก็จบลงด้วยการมีชีวิตที่เป็นทุกข์ทั้งลูกและพ่อแม่
เพราะดูแลกันไม่เป็น คือการดูแลผู้สูงอายุมันเป็นการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตร
เวลาเราวิ่งมาราธอนเราต้องเตรียมน้ำดื่ม ผ้าขนหนู
และการฝึกเทคนิคผ่อนเพื่อออมแรงเป็นบางช่วง แต่วิ่งร้อยเมตรไม่ต้อง
กฎข้อแรกของการเป็นผู้ดูแลคือต้องดูแลตัวเองให้เป็นก่อน
ไม่งั้นก็กลายเป็นเตี้ยไปอุ้มค่อม พากันล้มทั้งคู่ เมืองไทยยังไม่มีระบบฝึกสอนผู้ดูแล
แต่ผมเชื่อว่าต่อไปจะต้องมี เพราะเป็นสิ่งที่สังคมเราขาดอยู่ตอนนี้
Thai PBS
จะแก้ปัญหาเตี้ยอุ้มค่อมอย่างไร
นพ.สันต์
ก็ด้วยการสร้างทักษะให้ผู้ดูแล
และเป็นพี่เลี้ยงประคับประคองให้ผู้ดูแลทำหน้าที่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
นั่นหมายความว่ามีการสอนคนที่จะเป็นผู้ดูแล ซึ่งเมืองไทยยังไม่มี มูลนิธิสอนช่วยชีวิตที่ผมเป็นประธานอยู่ก็มีดำริที่จะตั้งโรงเรียนสอนผู้ดูแล
แต่ก็ยังเป็น แค่ดำริ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอก ช้าเร็วสิ่งนี้ก็ต้องเกิด
เพราะมันมีความต้องการให้เกิด
การเตรียมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ
นพ.สันต์
ในระดับบุคคลผมได้พูดไปแล้ว
ว่าเมื่อปัจจัยให้มีความสุขมีสี่อย่าง ก็ต้องเตรียมตัวสี่เรื่อง
ในระดับประเทศ
การวางพื้นฐานสำหรับระบบดูแลกันและกันหรือ companionship นี้ มันต้องเริ่มต้นที่การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุจะดี ก็ต่อเมื่อได้อยู่ในชุมชนที่เข้มแข็ง
พูดถึงเรื่องชุมขนเข้มแข็งนี้นับตั้งแต่มีการกระจายอำนาจการปกครองไปยังท้องถิ่น
อบต. อบจ. เทศบาล ความเข้มแข็งของชุมชนก็ค่อยๆพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยมา
คนไข้ของผมเองที่เป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่นในภาคต่างๆก็มีหลายคน บางคนมีบทบาทสร้างสรรค์ในชุมชนแบบดีมากๆ
แม้ว่าในภาพรวมเราจะรู้สึกว่าชุมชนท้องถิ่นไทยยังอ่อนแอและไร้พลังอยู่
หากมองลึกๆหาสาเหตุของความอ่อนแอของชุมชน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ อบต. อบจ. เทศบาล สมาคม ชมรม สหกรณ์ มูลนิธิ หรือแม้กระทั้งสมาดคมวิชาชีพของคนที่มีความรู้เช่นแพทย์
ทนายความ นักบัญชี เราจะเห็นว่าอุปสรรคมันอยู่ที่การที่สมาชิกของชุมชนส่วนใหญ่มีโลกทรรศน์แคบ
หรือมีวิชั่นแคบ มองไปทางไหนก็ไม่พ้นอีโก้หรือผลประโยชน์ของตัวเอง มองเห็นแค่ผลประโยชน์ตัวเองวันนี้ด้วยนะ
ของวันพรุ่งนี้ยังมองไม่เห็นเลย เหมือนเด็กสลัมที่เขาให้กระดานหกบริจาคมาใหม่
พวกเด็กๆจะเฮโลเล่นมันทั้งคืน เพราะพรุ่งนี้มันอาจจะหักแล้วจะไม่ได้เล่นอีก
แล้วไม่ทันถึงพรุ่งนี้มันก็หักจริงๆ
ทำไมชุมชนไทยจึงเต็มไปด้วยสมาชิกที่มีโลกทรรศน์แคบ เออ..
อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันคงเป็นผลจากการที่เราหล่อหลอมบ่มเพาะกันมาตั้งแต่เกิดมัง
ตั้งแต่ในครอบครัว ที่โรงเรียน และในที่ทำงาน เกือบทุกคน ในทุกระดับจึงล้วนมีวิชั่นว่าชีวิตนี้มีอยู่เพื่อหาผลประโยชน์ที่นับได้เป็นตัวเงินเข้าพกเข้าห่อของตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่านั้น มองเห็นแค่เนี้ยะ
ถ้าเราจะเตรียมสังคมไปสู่ระบบ
companionship ที่ผู้สูงอายุอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตเพราะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ผมว่ามีอยู่สองวิธี
วิธีที่หนึ่งคือตั้งต้นสอนคนรุ่นใหม่ให้มีวิสัยทัศน์กว้างมองออกไปให้พ้นอีโก้และผลประโยชน์ของตัวเองให้ได้ก่อน
แล้วเมื่อคนรุ่นใหม่กลายเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะสร้างระบบ companionship ขึ้นมาได้ ตอนนี้มีบางท่านปลีกตัวออกไปตั้งโรงเรียนเล็กๆเพื่อสอนเด็กเล็กๆในแนวนี้
ผมว่านั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีก็ได้นะ
วิธีที่สองก็คือคนที่มีโลกทรรศน์กว้าง
มองเห็นแล้วว่าชีวิตที่ดีไม่ใช่แค่จะเอาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเท่านั้น
ก็ต้องรวบรวมเพื่อนที่มีโลกทรรศน์กว้างด้วยกันสร้างชุมชนคนโลกทรรศน์กว้างขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้เกิดขึ้น
ความสำเร็จของชุมชนหนึ่ง จะเป็นหัวเชื้อให้เกิดอีกชุมชนหนึ่ง
ในที่สุดมันก็จะแพร่ขยายเป็นคนไทยพันธ์ใหม่ได้ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
Thai PBS
ผู้สูงอายุที่เป็นโสด
จะเป็นภาระให้สังคมไหม
นพ.สันต์
คำว่าสังคม
ก็คือคนสูงอายุด้วยกันนั่นแหละ เพราะวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเหลียวไปทางไหนก็มีแต่คนสูงอายุ
แล้วสังคมจะประกอบด้วยใครละ คนที่จะมาดูแลคนสูงอายุ ก็คือคนสูงอายุด้วยกัน นั่นเอง
จะไปหวังจ้างเด็กสาวๆจากประเทศเพื่อนบ้านมาดูแลคนสูงอายุของเราเรอะ
คงทำได้ประเดี๋ยวประด๋าว เพราะท้ายที่สุดประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องสูงอายุเหมือนกัน
ระบบดูแลกันและกันหรือ companionship จึงจะเป็นระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มั่นคงถาวรในอนาคต
จะทำในรูปแบบของกิจกรรมไม่แสวงกำไร หรือแสวงกำไร ก็ได้ทั้งนั้น
อย่างเช่นมูลนิธิสอนช่วยชีวิตคิดจะตั้ง nursing home และตั้งโรงเรียนสอนผู้ดูแล นี่เป็นรูปแบบไม่แสวงกำไร หรืออย่างเช่นสมมุติว่ามีบริษัทหนึ่งเปิดขายทัวร์เขียนรูป
พาคนสูงอายุเดินทางท่องเที่ยวและเรียนเขียนรูปไปด้วยกัน นี่เป็นการสร้าง companionship
ในรูปแบบแสวงกำไร ถามว่าในระบบ companionship
นี้คนโสดจะเป็นภาระมากกว่าคนแต่งงานแล้วไหม
ตอบว่าไม่แตกต่างกันหรอกครับ เพราะถึงจุดหนึ่งที่ระบบ companionship สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างโดดเด่น
คนสูงอายุที่แม้จะมีลูกหลานก็จะมาเข้าระบบนี้แทนการปักหลักอยู่บ้านให้ลูกหลานดูแล
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์