ชาวม้ง กับคลินิกควันตัม
ผมชื่อ …..
เป็นชาวเขาเผ่าม้ง ในจังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับดอยอินทนนท์
วันนี้ผมได้อ่านบทความเกี่ยวเครื่อง quantuam scan ของคนนี้ในบล็อกของท่าน
http://visitdrsant.blogspot.com/2011/08/quantum-scan.html ผมเลยอยากจะปรึกษากับท่าน
1.. ความเป็นมาที่ผมได้รู้จักกับเครื่องนี้
พอดีที่หมู่บ้านของมีญาติป่วยคนหนึ่ง อยู่ๆ ร่างกายก็ไม่มีแรง
ตอนแรกขยับข้อมือไม่ได้ แล้วลามมาถึงแขน และส่วนบนของร่างกาย ไปตรวจร่างกายหลายรพ.
เช่น รพ.รามเชียงใหม่ รพ.แมคคอร์มิก หมอจีน หลายที่ก็ไม่ทราบสาเหตุ
พอดีมีคนแนะนำให้ไปตรวจเครื่อง quantuam scan ที่ อ.แม่สาย
จังหวัดเชียงราย ซึ่งคลินิกนี้อยู่ใกล้กับชายแดนไทย-พม่ามาก เขาไปตรวจ
หมอที่นั่นบอกว่าเขาเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือคล้ายๆโรคของ คุณพุ่มพวง
ดวงจันทร์ ท่านคงทราบนะครับ ค่าตรวจทั่วไปอยู่ที่ 1,500 บาทต่อครั้ง
แล้วเขาต้องเสียค่ายาแต่ละครั้งอยู่ที่ 25,000 (สองหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
ผมเลยอยากถามว่า
คลินิกนี้เป็นคลินิกเถื่อนหรือเปล่า อยู่ใกล้ชายแดนด้วย
แล้วเครื่องนี้หวังผลได้แค่ไหน
2.พอดีภรรยาของผม เรามีลูก 2
คน หลังคลอดคนที่ 2 ภรรยาของผมร่างกายไม่ค่อยมีแรง
และมักมีโรคหลายอย่าง เช่น เจ็บท้องใกล้ซี่โครงด้านซ้าย, เจ็บท้องน้อย,
ข้อมือ ข้อเท้า ข้อพับมักจะปวดอยู่บ่อย ๆ , ปวดหัว,
ที่มือมีตุ่มใสและหนอง คันและแห้งตลอด ถ้าได้สัมผัสน้ำหรือสารเคมี (น้ำยาล้างจาน,น้ำบนดอน,ผงซักฟอก ฯลฯ) ภรรยาเลยบอกผมให้ผมพาแกไปตรวจเครื่อง
quantuam scan ที่แม่สาย
ผมเลยอยากจะหาข้อมูลดูก่อนว่าเครื่องนี้หวังผลได้มากแค่ไหน
ค่าตรวจผมไม่กังวลเท่าค่ายา ผมว่ามันแพงมากเกินไป
ผมอยากถามว่าจะพาภรรยาไปตรวจดีหรือเปล่า
ถ้าไม่ดี ควรจะไปตรวจร่างกายแบบไหนและโรงพยาบาลไหนในเชียงไหม่ที่ได้ผล
เครื่องนี้ในเชียงใหม่
ผมหาดูแล้วไม่มีรพ.ไหนมีเลย ที่กรุงเทพมีหรือเปล่าครับ
ถ้าเป็นคลินิกเถื่อน
ฝากท่านด้วยนะครับ
ด้วยความเคารพและนับถือ
..... เชียงใหม่
โทรศัพท์ ......
..............................................
ตอบครับ
อยู่แถวดอยอินทนนท์หรือครับ
ผมว่าผมเคยไปบ้านคุณนะ ขออนุญาตผมละเมอเพ้อพกถึงความหลังสักหน่อยนะ มันเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่
พ.ศ. 2513 ผมกับเพื่อนอีกสามคนเดินจากดอยสุเทพไปทางดอยปุยโดยกะจะเดินป่าไปออกที่แม่แจ่ม
ไปถึงหมู่บ้านม้งเอาตอนโพล้เพล้ กระหายน้ำจนตาลาย
ผ่านกระต๊อบหลังเล็กของแม่เฒ่าคนหนึ่ง เพื่อนของผมซึ่งรู้ภาษาม้งอยู่สองคำก็แวะเข้าไปพูดกับแม่เฒ่าว่า
“กู๋..กู๋ เฮาเด้”
ผมถามว่าแปลว่าอะไร เพื่อนตอบว่า “กู๋” แปลว่าฉัน
“เฮาเด้” แปลว่าดื่มน้ำ แม้ฟังดูไม่น่าจะได้น้ำกิน
แต่แม่เฒ่าก็เดินไปหยิบน้ำเต้าที่มีน้ำอยู่เกือบเต็มมาให้พวกเราดื่มแก้กระหายจริงๆ
ผมเห็นวิวจากบ้านแม่เฒ่าสวยจึงขยับจะนั่งบนพื้นไม่ไผ่ แต่เพื่อนร้องห้าเสียงหลงว่าอย่านั่งนะ
เพราะเขากลัวกระท่อมน้อยโย้เย้หลังนั้นจะรับน้ำหนักเพิ่มไม่ไหวแล้วจะพังลงมา
คืนนั้นเราเดินเลยกระต๊อบแม่เฒ่าขึ้นไปนอนที่โรงเรียนตชด. ซึ่งมีธงสังกะสีซึ่งเวลาลมพัดจะส่งเสียงกะลึ่งๆๆ
วันรุ่งขึ้น เราทั้งสี่เลิกแผนเดินป่าไปแม่แจ่มแต่ใช้เวลาทั้งวันตัดไม้ในป่ามาซ่อมบ้านแม่เฒ่าแทน
ทำอยู่ทั้งวันจึงเสร็จ พวกเราเปลี่ยนมันทั้งเสา ตง ผนัง หน้าต่าง หลังคา เหลือที่เป็นของออริจินอลอยู่แต่พื้นฟากไม่ไผ่สีเหลืองมันวับเท่านั้น
เราทั้งสี่นั่งฉลองปีใหม่บนกระต๊อบของแม่เฒ่านั่นเอง เป็นปีใหม่ที่ดีมากปีหนึ่ง และผมยังจำได้จนทุกวันนี้
เฮ้..ลุง เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว
ตอบคำถามเสียทีสิ
โอ.เค. ครับ โอ.เค. เอ้า ตอบก็ตอบ
1.. ถามว่าคลินิกหนึ่งอยู่ติดชายแดนแม่สาย-พม่า เป็นคลินิกเถื่อนหรือเปล่า ตอบว่า
“..เออ.. แล้วผมจะรู้มั้ยเนี่ย”
คือในทางกฎหมายเขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นคลินิกกับสาธารณสุขจังหวัดหรือเปล่าผมไม่รู้
แต่ในทางจริยธรรม การเปิดคลินิก เอาเครื่องวัดประจุไฟฟ้าที่ตั้งชื่อว่าเครื่องควันตัมมาจ่อตรวจแล้วพิมพ์คำวินิจฉัยออกมาอย่างวิลิศมาหลาพิศดารพันลึกยิ่งกว่าเกจิอาจารย์นั่งทางในมองเห็น
เช่นรู้ไปถึงว่ามีมะเร็งกำลังก่อตัวที่อวัยวะไหน แล้วเก็บค่ายาที่ไม่ยอมบอกชื่อว่าตัวยาชื่ออะไรอีกคราวละเป็นหมื่นเป็นแสน
พฤติกรรมอย่างนี้ผมบอกได้เพียงแต่ว่าแพทย์ที่ดีเขาไม่ทำกัน เพราะมันเป็นการหลอกเอาเงินจากคนที่ไม่รู้เท่าทัน หรือที่ภาษาเหนือเขาเรียกว่า จุ๊
เอาสะตังค์คนสึ่ง คุณคงจะเกิดไม่ทันรำวงงานวัดใช่ไหมละ คือรำวงตามงานวัดสมัยผมแตกเนื้อหนุ่ม
จังหวะที่ฮอทที่สุดสมัยนั้นคือ ชะ..ชะ..ช่า ซึ่งมีท่วงทำนองเสียงกลองว่า
ชึ่ง..ชึ่ง โป๊ง โป๊ง ชึ่ง
ชึ่ง..ชึ่ง
โป๊ง โป๊ง ชึ่ง
โป๊ะ..ชึงตะลึงตึงชึ่ง
และพวกเด็กๆเอาเสียงกลองของจังหวะนี้มาร้องเป็นเพลงว่า
“..สึ่งตึง ฮาตึงสึ่ง
สึ่งตึง ฮาตึงสึ่ง
จุ๊.....เอาสะตังค์คนสึ่ง...”
แหะ..แหะ คนที่ไม่ใช่คนเหนืออ่านแล้วไม่เข้าใจก็อย่าหงุดหงิดเลย
ช่างมันเถอะ ข้ามไปเลย เพราะมันไม่มีสาระอะไรหรอก
2.. ถามว่าเครื่องควันตัมอะไรเนี่ยหวังผลในการวินิจฉัยหรือรักษาโรคได้แค่ไหน
ตอบว่าวงการแพทย์ไม่ได้จัดเครื่องควันตัมเป็นเครื่องมือตรวจวินิจฉัยหรือรักษาโรคแม้แต่นิดเดียว
จึงไม่มีข้อมูลหลักฐานวิทยาศาสตร์ใดๆตีพิมพ์ไว้ คนหัววอกเขาเอาเครื่องนี้ไปหากินของเขาเอง
คุณเคยเห็นในหนังอี.อาร์.ที่หมอเขาเอาเครื่องช็อกไฟฟ้ารักษาคนหัวใจหยุดเต้นไหมครับ
สมัยก่อนในอเมริกามีคนหิ้วเครื่องช็อกไฟฟ้าแบบนั้นไปตามชนบทเพื่อรับจ้างช็อกคนหัวล้านให้ผมกลับดกดำ
ถามว่าความสำเร็จของการหากินแบบนี้หวังผลได้กี่เปอร์เซ็นต์ แหะ..แหะ
ผมไม่ทราบจริงๆครับ ผมจะทราบก็เฉพาะเรื่องที่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์รองรับเท่านั้น
3.. ถามว่าคุณควรจะพาเมียไปตรวจกับเครื่องควันตัมไหม
ตอบว่าไม่ควรครับ ถามว่าอยู่เชียงใหม่ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลไหนถึงจะเจ๋ง ตอบว่าโรงพยาบาลทุกโรงเขาก็โอ.นะครับ
แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำอย่างน้อยหนึ่งโรง ผมแนะนำโรงพยาบาลสวนดอกไงครับ ชื่อเต็มของเขาคือคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่แห่งนี้เป็นสถาบันการแพทย์ระดับเสาหลักที่เชื่อถือได้แห่งหนึ่งของเมืองไทย
และแน่นอน..ไม่มีบริการตรวจรักษาด้วยเครื่องควันตัมสองหมื่นห้า หิ..หิ
4.. คุณไปหาเครื่องควันตัมทั่วเชียงใหม่แล้วไม่มี
ถามว่าที่กรุงเทพฯมีหรือเปล่า ตอบว่าอะไรที่เป็นของหลอกลวงต้มตุ๋นชาวบ้านละก็
กรุงเทพจะพลาดได้ไงละครับ ของไม่ดีกรุงเทพต้องมีก่อน นี่เป็นสัจจะธรรม
เพียงแต่ว่าบ้างมีอยู่บนดิน บ้างมีอยู่ใต้ดิน คุณหาไปเถอะ รับประกันว่าเจอ
5.. คุณบอกว่าถ้าเป็นคลินิกเถื่อน
ฝากผมจัดการด้วย แหะ..แหะ ตอนนี้หมอสันต์แก่แล้วและต้องอยู่ในโอวาทของเมีย
คือว่าเมียห้ามยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เธอบอกว่าผมอยากทำดีก็ทำไป
แต่อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น แบบว่าเธอตรากฎหมายชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ออกมาบังคับใช้ เธอคงกลัวผมโดนพิษโลหะหนักเช่นตะกั่วแล้วจะเสียสุขภาพมังครับ
ดังนั้นที่ฝากให้ผมจัดการคลินิกเถื่อนนั้นต้องขออำไพนะเจ๊า..า ..มิสามารถ
6..สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ไม่รู้จักเครื่องควันตัม
ผมเล่าให้ฟังคร่าวๆนะครับ เครื่อง Quantum นี้
ต้นแบบมันเรียกกันว่า Quantum Xrroid หรือเรียกอีกชื่อว่า QXCI
เคยได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปขายในอเมริกาโดย FDA อนุญาตให้ใช้เป็นเครื่องช่วยฝึก Biofeedback ก่อนอื่นผมขออธิบายหลักการของ
biofeedback ก่อน
คือมันเป็นเทคนิคช่วยฝึกให้ร่างกายตอบสนองแบบผ่อนคลาย
คือวงการแพทย์ยอมรับกันทั่วไปว่าถ้าร่างกายสนองตอบแบบเครียด เช่น กล้ามเนื้อเกร็ง
ความดันขึ้น หัวใจเต้นเร็ว สุขภาพจะแย่ แต่ถ้าร่างกายสนองตอบแบบผ่อนคลาย
เช่นกล้ามเนื้อคลายตัว หายใจช้าลง ความดันลดลง หัวใจเต้นช้าลง
ก็จะเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม การฝึกให้ร่างกายสนองตอบแบบ biofeedback ก็คือต่อขั้วไฟฟ้าของเครื่อง biofeedback เข้ากับตัวผู้ป่วย
เครื่องก็จะส่งสัญญาณบอกการทำงานของอวัยวะที่สัมพันธ์กับความเครียด
เช่นอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับของการหดตัวของกล้ามเนื้อ เป็นต้น ให้ผู้ใช้ทราบ
เพื่อผู้ใช้ค่อยๆเรียนรู้วิธีควบคุมการสนองตอบของร่างกายของตนเองไปโดยมีเครื่องนี้ช่วยนำทาง
จนสามารถทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้เองโดยไม่ต้องมีเครื่อง bio feedback นำทางในที่สุด
วิธีนี้ถือว่าเป็นการฝึกการตอบสนองแบบผ่อนคลายที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
แต่คนขายเครื่องเมื่อนำเครื่อง Quantum Xrroid นี้เข้าไปในอเมริกาได้แล้ว
ก็จัดแจงมั่วนิ่มเร่ขายว่าเป็นเครื่องสร้างสมดุลของพลังชีวิต (bioenergy
force) ซึ่งเป็นพลังที่หลักวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งเหลวไหลไร้สาระไม่มีอยู่จริง
สิ่งที่เจ้าเครื่องนี้ทำจริงๆคือมันเพียงแค่ส่งสัญญาณไฟฟ้าขนาดต่ำเข้าสู่ร่างกาย
แล้ววัดความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนังแล้วรายงานกลับมายังตัวเครื่อง
ซึ่งตัวเครื่องจะเอาค่าความต้านทานนี้ไปกระตุ้นหน่วยความจำให้แสดงผลออกมาแต่งเป็นเรื่องยกเมฆร้อยแปดพันเก้า
ใช้ทั้งศัพท์แสงของการแพทย์ปัจจุบันและศัพท์ที่ฟังเหมือนวิทยาศาสตร์ล้ำลึกแต่เก๊ (pseudoscience)
ทั้งวินิจฉัยให้เสร็จเช่นบอกว่ากำลังมีมะเร็งก่อตัวขึ้นที่นั่นที่นี่
มีสารพิษชนิดนั้นอยู่ปริมาณเท่านี้ เป็นต้น หนังสือพิมพ์ Seattle Times ได้เปิดโปงกลโกงวิธีหากินนี้เมื่อปี 2008 จน FDA
ได้ถอนใบอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องนี้ในอเมริกาไป
แต่แม้จะหากินในอเมริกาไม่ได้
คนขายก็ยังไม่วายเอาเครื่องนี้มาเที่ยวหลอกคนอยู่ทั่วไปรวมทั้งในเมืองไทยเราด้วย
เพราะว่าเมืองไทยนี้มียังมีคนสึ่งตึงซึ่งเป็นเป้าหมายทางการตลาดอยู่อีกมาก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Willmsen, Berens MJ. Miracle machines: 21st century snake oil. Seattle Times. Series that began in November 2007.
.................................................
จดหมายจากผู้อ่าน
25 กย. 55
ขอบคุณ คุณหมอสันต์มากนะครับ ที่ให้คำแนะนำที่ดีมาก
จะไม่ลืมพระคุณเลยครับ คุณหมอเป็นคนเหนือหรือเปล่าครับ รู้จักสำเนียงดีมาก
ถึงแม้ผมจะเป็นชนเผ่าม้งแต่อยู่ภาคเหนือ ก็พูดเหนือได้เป็นอย่างดี
รู้ความหมายดีครับ และคุณหมอยังรู้ภาษาม้งอีก เจ๋งจริงๆ ผมดูลักษณะการตอบของคุณหมอ
ผมเดาว่า คุณหมอมีนิสัยคล้ายๆผม คือคุณหมอเป็นคนอัธยาศัยดี ชอบตลก
ไม่ซีเรียสกับชีวิต ชอบมีสังคมมากๆ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ
ผมว่าหาคนอย่างคุณหมอยากนะ หมอส่วนมากจะหวงความรู้ ต้องเอาเงินมาแลกถึงจะยอมเอ่ยปาก
อยากชวนคุณหมอมาเที่ยวบ้านผมด้วยครับ บ้านผมอยู่ติดกับดอยอินทนนท์
ชื่อหมู่บ้าน.... ม... ต.... อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ประมาณต้นเดือน พฤศจิกายน
จะมีทุ่งบัวตองที่แม่ฮ่องสอน และมีปีใหม่ม้งประมาณ กลางเดือน มกราคม 2556 ผมมีรถตู้บริการนำเที่ยว
ถ้าว่างขอเรียนเชิญพาครอบครัวมาเที่ยวได้นะครับ
วันนี้ขอสอนภาษาม้งให้ เอาที่จำเป็น
แบบว่าจะได้ไม่อดตายและมีเพื่อนเป็นคนม้ง
1.สวัสดี
nyob zoo (ย้อซง)
2.กินข้าว
noj mov (น้อม๋อ)
3.ดื่มน้ำ
haus dej (เฮาเด้)
4.ขอพักค้างคืน
thov tsev pw (ท๋อเจ๋ปือ)
5.หิวข้าว
(tshaib plab) ไช้ปล๊า
6.ปวดท้อง
(mob plab) ม๊อปล๊า
7.ไม่สบาย
(tsis zoo nyob) จีซงย๊อ
8.ช่วยด้วย
(pab kuv thiab) ป๊ากู๋เที๊ย
9.ฉันคิดถึงเธอ
(kuv nco koj) กู๋จอก้อ
10.ฉันรักเธอ
(kuv hlub koj) กู๋ลู๊ก้อ
คุณหมอเอาไว้พูดกับภรรยานะครับ เอารูปภรรยาและลูกชายคนเล็กมาให้ดูครับ
ด้วยความเคารพและนับถือ
...............................
ตอบครั้งที่ 2.
1.
ขอบคุณที่ส่งรูปที่น่ารักมาให้ดูครับ และขอบคุณที่ชวนไปเที่ยว
ถ้ามีโอกาสไปทางนั้นจะแวะไปหานะครับ
2.
ที่ว่าหมอส่วนใหญ่หวงความรู้นั้นขอแก้ข่าวหน่อยว่าไม่จริงนะครับ
หมอทุกคนมีความเหมือนกันอยู่อย่างคือถูกสอนให้ใช้การให้ความรู้ (Health Education) เป็นเครื่องมือรักษาโรค
แต่ที่บางครั้งไม่ได้เอ่ยปากนั้นเป็นเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งในสองสาเหตุเท่านั้น คือ
(1) เวลามันไม่พอ คิวคนไข้ยังยาว ข้าวหมอยังไม่ได้กิน หรือ (2) มันไม่ชัวร์ หมายความว่าเนื้อหาสาระเรื่องที่จะพูดหมอยังจำได้ไม่แม่น
มันต้องกลับไปเปิดหนังสือทบทวน ตั้งใจว่าอย่างนั้น แต่พอคล้อยหลังคนไข้ก็ลืม ลืม
ลืม เพราะหมอทุกคนถูกสอนให้เป็นคนขี้ลืม
ใครที่ไม่สามารถลืมวิชาเก่าได้ทันทีที่สอบเสร็จ มีหวังสอบวิชาใหม่ตก
เพราะข้อมูลมันจะล้นหน่วยความจำ
กู๋ลู๊ก้อ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์