ชีวิตของหมอน้อยคนนี้
ชีวิตของหมอน้อยคนนี้
เริ่มต้นก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่เขียนบทความดีๆให้หลายคนได้อ่านกัน
หนึ่งในนั้นก็เป็นหมอน้อยคนนี้ด้วยค่ะ
เริ่มรู้จักอาจารย์จากบล็อกก่อนอาจารย์จะทำรายการthe symptom ก็จะเข้ามาอ่านเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะเวลาจิตตก
จุดเริ่มต้นที่ได้เจอบล็อกอาจารย์ก็เป็นเพราะความเครียดและจากโรคซึมเศร้าที่เป็นค่ะ
เคยคิดจะส่งเมลมาหาอาจารย์หลายครั้งแต่ก็กังวลและกลัวค่ะว่าเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านจะรู้ว่าเป็นเรา
จึงขอกราบขออภัยที่จะขออนุญาตไม่แนะนำตัวว่าเป็นใคร ที่ไหน ด้วยค่ะ
ตอนนี้ก็พยามเอาคำแนะนำที่อาจารย์แนะนำคนไข้มาปฏิบัติ
โดยเฉพาะเรื่องออกกำลังกายเพราะก็รู้ว่ามันดีบอกคนไข้แต่หมอไม่เคยทำ
เพราะจะรู้สึกว่าไม่มีเวลา กว่าจะกลับถึงบ้านก็เหนื่อยมากแล้ว
แต่ตอนนี้ได้เริ่มลองออกกำลังกายตอนเช้ากะเค้าบ้างเท่าที่จะทำได้ หนูได้รับการรักษาว่าเป็นโรคมานานหลายปีมาก
แต่ไม่เคยมีเพื่อนรู้ซักคนว่าหนูต้องกินยาตลอด
เพราะหนูอายที่จะให้ใครๆรู้ว่าเราเป็นโรคนี้
กลัวข่าวจะกระจายแล้วคนไม่ยอมรับรวมถึงเพื่อนร่วมงานและคนไข้จะไม่เชื่อถือเราเหมือนเดิม (ก็หมอเป็นโรคซึมเศร้าซะเอง) แล้วถ้าเราทำงานไม่ได้ ที่บ้านเราคงแย่คิดกังวลสารพัด
หนูเป็นคนกังวลได้ทุกเรื่องจนกว่าเรื่องนั้นจะผ่านไปได้ด้วยดี
เคยคิดอยากจะเล่าให้เพื่อนซักคนฟังบ้างว่าจริงๆเราป่วยมีโรคซึมเศร้าอยู่เนื่องจากรู้สึกอึดอัดแต่ที่บ้านก็ห้ามไว้
สุดท้ายก็ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับ
แม้กระทั่งอาจารย์ที่เป็นจิตแพทย์ที่รักษาก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องบอกใคร แต่ตอนนี้มีอาจารย์ทราบเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้วค่ะ
เคยคิดอยากไปพบอาจารย์ที่พญาไทด้วยค่ะตอนจิตตกมากๆแต่ก็เกรงใจ และอายอยู่ดี
แต่ก็ทราบดีว่าไม่มีใครช่วยเราได้ถึงจะปรึกษาใครซักแค่ไหน เรานั่นแหละก็ต้องเป็นคนตัดสินใจเองและต้องช่วยตัวเอง
ทุกวันนี้หนูเบื่อจะไปหาจิตแพทย์ที่รักษามากกกกกก ไม่อยากกินยา แต่พอจะoff ยาก็จะกำเริบยิ่งอายุมากขึ้นคิดว่าตัวเองคงจะดีขึ้นน่าจะปรับตัวคิดได้แต่เปล่าเลยกลับมีเรื่องให้คิดและต้องรับผิดชอบแก้ไขมากขึ้นอีก
ยาก็เลยต้องพึ่งมัน
ขนาดกินทุกวันทุกเดือนพอใกล้ประจำเดือนมาก็ยังเอาไม่อยู่ค่ะต้องหยุดงานเป็นพักๆ
เกรงใจเพื่อนๆที่ทำงานร่วมกันมาก แต่ตอนนี้จะพยามออกกำลังกายดู
เป็นความหวังใหม่ที่จะพยามแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น
(จากที่ก่อนหน้านี้ตัวเองรู้สึกหมดหวังแล้วว่าคงต้องมีชีวิตอยู่กับยาและต้องทำงานบ้างลาป่วยบ้างแบบนี้ไปจนกว่าจะหมดภาระทางการเงินที่ต้องรับผิดชอบในบ้านรอให้น้องเรียนจบแล้วอาจจะลาออก) ตอนนี้ก็จะพยามดูค่ะ เป็นกำลังใจให้หนูด้วยนะคะ
สุดท้ายขออวยพรให้อาจารย์สุขภาพกายและใจแข็งแรงค่ะ
และหนูก็จะพยามที่จะแข็งแรงเพื่อจะได้ทำความดีช่วยเหลือคนไข้และสังคมต่อไปตามที่อาจารย์พยามทำเช่นกันค่ะ
.....
.....................................
ตอบครับ
ฮู้ย..ย
อ่านจดหมายของคุณหมอแล้วผมมองเห็นแต่ความเศร้าและความเซ็งแทรกอยู่ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล เงยหน้าขึ้นมองพระสยามเทวาธิราช ยังเห็นท่านทำหน้าเซ็งเลย หิ..หิ บรรยากาศมันจมลึกดับนั้น
เหมือนเพลงนี้ของเพ็ญศรี เลย
“..มีแต่น้ำตา มาปลอบหัวใจ
ให้คลาย ความช้ำทุก ค่ำ เช้า
เหมือนหนามชีวิต กรีดใจเป็นเป้า
ให้คลาย ความช้ำทุก ค่ำ เช้า
เหมือนหนามชีวิต กรีดใจเป็นเป้า
ให้เราอับเฉา ระทม
เปรียบดังชีวิต นั้นมีขวากหนาม
ทรมาน ทรกรรม
ทรกรรมฉันจนช้ำใจ
กว่าเราจะตาย
กว่าเราจะตาย มิรู้เมื่อไหร่
โอ้ไฉน ชีวิตคอยเป็นนายเรา....”
เปรียบดังชีวิต นั้นมีขวากหนาม
ทรมาน ทรกรรม
ทรกรรมฉันจนช้ำใจ
กว่าเราจะตาย
กว่าเราจะตาย มิรู้เมื่อไหร่
โอ้ไฉน ชีวิตคอยเป็นนายเรา....”
ขออภัย นอกเรื่องละ มาตอบจดหมายของคุณหมอดีกว่า
1.. ที่อัดอั้นอยากจะบอกใครๆว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าแต่ก็กลัวสังคมจะไม่ยอมรับนั้น
ขอให้จับประเด็นเรื่องให้ถูก มันไม่ใช่การอัดอั้นเพราะเรามีเรื่องการเจ็บป่วยส่วนตัวที่ยังไม่ได้บอกใคร
อย่างเวลาคุณเป็นริดสีดวงทวาร คุณอัดอั้นที่ไม่ได้บอกใครๆไหมว่า
“เฮ้ย.. ฉันเป็นริดสีดวงนะ เธอรับทราบไว้หน่อยสิ”
เปล่าเลย เราไม่เห็นอัดอั้นกับความลับโรคริดสีดวงทวารเลย
แต่ทำไมเราอัดอั้นกับความลับเรื่องโรคซึมเศร้า เพราะแท้ที่จริงเราโหยหาการสนับสนุนทางใจจากคนอื่นต่างหาก
เราอยากจะพูดคุยกับใครๆเพื่อให้เขามาเห็นใจเรา มาโอ๋เรา
แต่เราไม่กล้าพูดเพราะกลัวเขาจะไม่โอ๋เรา แต่จะมาตื๊บเราแทน เพราะชีวิตจริงผู้คนเขาชอบตื๊บมากกว่าโอ๋
เราก็รู้ เราจึงไม่กล้า ได้แต่โหยหา แบบว่า
“..บางเวลาต้องการสักคน
ไว้คอยปลอบใจ เข้าใจพูดคุย
ความรักเอย งดงามอย่างนี้
ไว้คอยปลอบใจ เข้าใจพูดคุย
ความรักเอย งดงามอย่างนี้
จนชั่วชีวี
โหยหาความรักไม่เคยพอ..”
คุณเป็นหมอ คุณก็รู้ดี ว่าความรู้สึกสองฝักสองฝ่าย (ambivalence) เนี่ยแหละ ที่เป็นเชื้อ (premorbid personality) ทำให้คนดีๆกลายเป็นคนบ้า
การจะแก้ปัญหาในประเด็นนี้จึงไม่ใช่การเที่ยวบอกความลับกับใครให้หายอัดอั้น แต่ต้องไปแก้ที่ทำอย่างไรจะเลิกความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายในใจไปเสียให้ได้
ความรู้สึกสองฝักสองฝ่ายมีธรรมชาติเหมือนความกังวล (anxiety) คือมีรากฐานมาจากความกลัว สุดยอดของความกลัวก็คือความกลัวตาย จากนั้นมันก็ต่อยอดไปเป็นความกลัวสารพัด
ถ้าคุณยอมรับความตายได้ ความกลัวอย่างอื่นก็จิ๊บจ๊อย เพราะอย่างมากก็แค่ตาย
การจะจัดการความกลัวมันมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือการฝึกตามให้ทันความคิดของตัวเองว่ามันมาอีกละ
มันมาอีกละ แล้วก็เฝ้าดูมัน จนมันเขินแล้วฝ่อหายไปเอง
อีกด้านหนึ่งคุณต้องปลุกปลอบความกล้าขึ้นในใจ ความกล้าหาญ (courage) นี้เป็นคุณธรรมที่คนรุ่นใหม่ขาด คนรุ่นใหม่อย่างคุณนี้ผมเหมาโหลประมูลตีราคาเลยว่านอกจากจะเป็นพันธ์ตีนไม่ติดดินแล้วยังเป็นพันธ์เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออีกด้วย
เพราะคนรุ่นใหม่ฉลาดเกินไปจึงกลัวหัวหดไปหมด จะคิดจะทำอะไรสักอย่างมีแต่ความคิดลบ
ลบ ลบ ผุดขึ้นมาในสมอง เพราะรู้มากเกินไป จึงเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่วิถีใหม่ไม่ได้เลย
เข้าทำนองความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
การจะหัดเป็นคนกล้าคุณต้องหัดทำอะไรบ้าๆเสียบ้าง หัดเพิกเฉย (ignore) กับบางเรื่องบางอย่าง ถ้ามันจะเกิดก็ให้มันเกิด แบบว่า ช่างแม่..ง เหอะ
2.. ที่กังวลว่าหยุดยาต้านซึมเศร้าไม่ได้สักทีนั้น เป็นการเอาเรื่องเล็กมานำเรื่องใหญ่
การต้องกินยาเป็นเรื่องเล็ก
ผมมีคนไข้บางคนที่กินยาต้านซึมเศร้าตั้งแต่อายุยี่สิบกว่ามาจนแก่เป็นซีอีโอ.บังคับบัญชาผู้คนเป็นหลายพันคนแต่ก็ยังเลิกยาไม่ได้
ตรงนั้นเป็นเรื่องเล็ก ช่างมัน หันมาสนใจเรื่องใหญ่ดีกว่า เรื่องใหญ่ก็คือทำอย่างไรจึงจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นอิสระเสรีนิวฟรีด้อมจากความคิดลบความคิดงี่เง่าทั้งหลายให้ได้
3.. การเริ่มต้นชีวิตใหม่คุณต้องหัดเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ภายในเสี้ยววินาที
ไม่ต้องวางแผนกันเป็นวันเป็นเดือน
เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนทันทีที่ความคิดใหม่เข้ามาแทนความคิดเก่า
นั่นคือเปลี่ยนได้ในชั่วขณะจิตเดียว แม้วิทยาศาสตร์จะวัดไม่ได้ว่าหนึ่งขณะจิตมันสั้นแค่ไหน
แต่ผมประมาณว่ามันยาวไม่เกินเสี้ยววินาที
ดังนั้นคุณต้องหัดเปลี่ยนตัวเองให้ได้ในเสี้ยววินาที อย่าไปสนคนอื่น
หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก ให้ท่องคาถาของผมไว้ ว่า
“..If
I change, the world changes”
และการเปลี่ยนเป็นคนใหม่นี้คุณต้องบอกให้ร่างกายของคุณตามให้ทันด้วย หัดให้ร่างกายมันเปลี่ยนตัวเองในเสี้ยววินาทีเหมือนกันด้วย
คือหัดทำตัวขนลุกซู่เหมือนตอนอาบน้ำเสร็จแล้วทาแป้งหอมเย็น ยังไม่ทันใส่เสื้อ
แล้วลมพัดมาปะทะตัววูบหนึ่ง เมื่อแป้งเย็นระเหยจะเกิดความเย็นขนลุกซู่ไปทั้งตัว หัดให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นให้ได้ทันทีที่เราสั่งให้มันเกิด โดยวิธีหายใจเข้าลึก กางมือกางไม้ออกแบบเย้ยฟ้าท้าดิน เงยหน้าพ่นลมหายใจออกทางปาก พรู่.. แล้วให้ขนลุกซู่ทั่วร่างกาย เป็นนิมิตหมายว่าเราเข้าสู่โหมดของการเป็นคนใหม่แล้ว ร่างกายมันทำตามคำสั่งของใจได้ ไม่เชื่อลองดู
พูดถึงแป้งหอมเย็น ขอนอกเรื่องหน่อยนะ สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์ ปิดเทอมทีก็ต้องนั่งรถไฟสายใต้ทีหนึ่ง
เวลารถเข้าสถานีใหญ่ๆก็จะมีเด็กๆมาเร่ขายของตามหน้าต่างตู้รถไฟ ปากร้องดีเทลสินค้าเสียงกลบกันดังขรมไปหมด มีเด็กชายคนหนึ่ง แกร้องขายของว่า
“..ดอหอมเย็น ดอหอมเย็น”
ด้วยความสงสัย ผมจึงร้องถามไปว่า
“..เฮ้ย ไอ้น้อง เอ็งขายอะไรวะ” เด็กตอบว่า
“..ยาน้ำเบบี้ดอล หมากหอมเยาวราช ผ้าเย็น”
หิ..หิ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่คุยกับคุณอยู่หรอกครับ
คิดถึงความหลังขึ้นได้เท่านั้นเอง ว่าแต่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ อ้อ เรื่องเปลี่ยนตัวเรา
แล้วโลกจะเปลี่ยน ลองทำดูนะ ทำได้หรือไม่ได้ค่อยเขียนมาหาอีกทีก็ได้ครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์