หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR เรื่อง ปัญญาชนิดพาพ้นทุกข์

น้ำตกแมมมอธ ฟอลล์ (สหรัฐฯ)


 (หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR เรื่อง "ปัญญาชนิดพาพ้นทุกข์")

    สมาธิมีสองแบบ

    เมื่อกี้สมาชิกท่านหนึ่งบอกว่าได้ใช้ชีวิตโดยยึดมั่นอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา ตลอดมา 

    ผมขอจับเอาคำพูดของท่านมาขยายหน่อยนะ ขอขยายเฉพาะคำว่าสมาธิ กับปัญญา

    คำว่า "สมาธิ" นั้น ทุกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าคือภาวะที่ใจของเรานิ่งอยู่ ไม่วอกแวก ซึ่งเราจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ด้วยการจดจ่อความสนใจของเราไว้ที่อะไรสักอย่างเช่นลมหายใจ หรือแม้กระทั่งหนังสือที่กำลังอ่าน งานที่กำลังทำ เป็นต้น 

    เพียงแต่ผมอยากจะย้ำเตือนนิดเดียวว่าสมาธิชนิดที่ต้องจดจ่อนี้ จะไม่นำพาให้เราเห็นหรือเกิดปัญญาพาพ้นทุกข์แต่อย่างใด เพราะเมื่อเราจดจ่อเราก็เห็นเฉพาะสิ่งที่เราจดจ่อ จะไปเห็นอะไรอย่างอื่นที่ประเทืองปัญญาได้อย่างไร

    ส่วนสมาธิแบบที่จะทำให้เราเกิดปัญญาพาเราให้เข้าถึงความสุขที่ข้างในนั้นเป็นสมาธิอีกแบบหนึ่ง คือเป็นสมาธิแบบที่ใจสามารถนิ่งอยู่ได้โดยไม่ต้องจดจ่ออะไร และไม่ถูกความคิด "แฮ้ก" ด้วย 

    อ้าว แล้วสมาธิแบบไม่จดจ่อนี้มันต้องเจอกับความคิดในชีวิตประจำวันที่โผล่ขึ้นมาไม่หยุดหย่อน แล้วใจที่ไม่ถูกบังคับให้จดจ่อกับอะไรสักอย่างก็ย่อมจะต้อง "เผลอ" ไหลไปตามความคิดที่ขยันโผล่ขึ้นมาเป็นธรรมดา แล้วสมาธิแบบไม่จดจ่อนี้จะมีได้จริงหรือ หรือแม้หากมีอยู่จริงก็คงจะมีแว้บเดียวก่อนที่ความคิดจะโผล่ขึ้นมาซ้ำซาก แล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร

    ก่อนอื่นผมย้ำนิดหนึ่งว่าความคิดที่เป็นเหตุแห่งทุกข์หรือที่จะพาเราไหลไปกับมันนั้นร้อยทั้งร้อยเป็นความคิดเก่าๆหน้าเดิมๆ แต่มันสามารถดูดให้เราไหลไปกับมันได้เสมอเพราะเราชอบเผลอ แบบว่าเผลอใจลอย

    การจะมีสมาธิแบบไม่จดจ่อ ต้องไปเริ่มที่สติ

    มีทางเดียวที่สมาธิแบบไม่จดจ่อจะเกิดได้ก็คือเราต้องมีกลไกอะไรสักอย่างที่จะ "ระลึกได้" ขึ้นมาทันทีว่าความคิดหน้าเก่าที่เคยเจอกันมาแล้วอันหนึ่งได้โผล่กลับขึ้นมาอีกแล้ว การระลึกได้ขึ้นมาทันทีนี่แหละที่ศัพท์ทางเทคนิคเขาเรียกกันว่า "สติ" ซึ่งเป็นภาษาบาลี คำนี้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า "recall" ตรงกับภาษาไทยว่า "ระลึกได้"

    การจะมีสติต้องไปเริ่มที่การจำหน้าความคิดเก่าให้ได้แม่น

    เราจะมีสติหรือระลึกได้ว่าความคิดเก่าได้โผล่กลับมาอีกแล้วก็ต่อเมื่อเราจำหน้าความคิดเก่าของเราได้ จำหน้าหมายความว่าจำได้ว่ามันเคยมา ใส่หัวเรื่องให้มันเสียหน่อยก็ดีแต่ไม่ต้องไปจำรายละเอียดเพราะจะกลายเป็นหมกมุ่นครุ่นคิดไปเสียอีก จำแค่หัวเรื่องก็พอ อาจจัดหมวดหมู่ให้เสียมันหน่อยก็ได้เพื่อให้ความจำในหัวของเราเป็นระเบียบ เช่น นี่มันคืออิจฉานะ นี่มันคือโกรธนะ เป็นต้น เมื่อเราจำหน้ามันได้ จดชื่อขึ้นทะเบียนมันไว้ในโน้ตของมือถือ คอยอ่านทบทวนบ่อยๆ เมื่อมันกลับมาอีกเราก็จะระลึกได้ทันทีว่า...มันมาอีกแล้ว

     ดังนั้นการจะมีสมาธิแบบไม่ต้องจดจ่อก็ต้องไปเริ่มต้นที่โน่น..สนามหลวง คือเริ่มที่การจดจำหน้าตาของความคิดเก่าที่ชอบโผล่มาให้เราเป็นทุกข์ให้แม่น พอจำมันได้แม่น เมื่อมันมาปุ๊บ ใจเรารู้ปั๊บเลย แปลว่าใจเรามีสติแล้ว เมื่อใจมีสติ มีความคิดมาปุ๊บรู้ปั๊บ ใจก็จะนิ่งอยู่ได้ไม่เด้งหนีหรือไหลตามความคิดที่โผล่ขึ้นมาแต่ละช็อต แต่ละช็อต เพียงแค่รับรู้ว่าฮั่นแน่ เจ้าความคิดนี้โผล่มาอีกแล้ว รับรู้แล้วเฉยเสีย รับรู้แล้วเฉยเสีย

    ปัญญาก็มีสองแบบ

    ผมมักพูดถึงความสำคัญของการรู้จักคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลแห่งตรรกะอย่างแยบยล นั่นเป็นปัญญาแบบที่หนึ่ง ซึ่งเราใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการเรียนหนังสือหรือทำมาค้าขาย

    ส่วนปัญญาแบบที่สองซึ่งจะเป็นตัวพาให้เราพ้นทุกข์ได้นั้น คือความสามารถในการเห็นธรรมชาติของความคิด คือสามารถเห็นจะจะว่าความคิดนั้นโผล่ขึ้นมาแล้ว อยู่ได้สักพัก เปลี่ยนแปลงไป แล้วก็ดับไป 

    แต่เราจะเห็นธรรมชาติของความคิดได้อย่างไรเล่า ในเมื่อทันทีที่ความคิดโผล่ขึ้นมาเราก็ไหลไปตามความคิดนั้นทันทีเสียแล้ว 

    เราจะเห็นธรรมชาติของความคิดได้ก็ต่อเมื่อใจเราสามารถอยู่นิ่งๆ มองดูความคิดได้โดยไม่ไหลไปตามความคิดเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือใจที่มีสมาธิแบบไม่ต้องจดจ่อนั่นเอง มีความคิดโผล่ขึ้นมาเมื่อใดก็เห็น รับรู้ ดูความเปลี่ยนแปลงและการเกิดดับของมันไป แบบผู้สังเกตนั่งดูสิ่งที่ถูกสังเกต โดยที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาสาระของความคิดนั้น นี่คือปัญญาชนิดที่จะพาเราหลุดพ้นจากความคิด หรือปัญญาชนิดพาพ้นทุกข์ 

    ซึ่งการจะมาถึงตรงนี้ได้มันต้องไต่บันไดมาหลายทอดหลายต่อ อย่างน้อยก็สี่ทอด คือ

    ...จะเกิดปัญญาพาพ้นทุกข์ได้ ก็ต่อเมื่อสามารถเห็นธรรมชาติของความคิดอย่างผู้เฝ้าสังเกตดู

    ...จะเห็นธรรมชาติของความคิดอย่างผู้เฝ้าสังเกตดูได้ ก็ต่อเมื่อมีสมาธิชนิดไม่ต้องจดจ่อ

    ...จะมีสมาธิชนิดไม่จดจ่อได้ ก็ต่อเมื่อมีสติ

    ...จะมีสติได้ ก็ต่อเมื่อจำหน้าความคิดเก่าๆได้แม่น

    ทั้งสี่ทอดสี่ต่อนี้แหละ คือสิ่งที่เราจะฝึกปฏิบัติด้วยกันซ้ำแล้วซ้ำอีก ตลอดสี่วันที่จะอยู่ด้วยกันที่เวลเนสวีแคร์นี่ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


    

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

หมอสันต์แนะนำตัวเอง ในโอกาสที่มีผู้อ่านครบ 4 ล้านครั้ง

เจ็ดใครหนอ

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

สอนวิธีอ่านผล CBC (การตรวจนับเม็ดเลือด)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา