เอาเข้าจริงๆหนูยังไม่รู้เลยว่าสติคืออะไร สมาธิคืออะไร
![]() |
| น้ำพุร้อนแคสเซิล ที่เยลโลว์สโตน ปาร์ค สหรัฐฯ |
กราบเรียนคุณหมอสันต์
หนูมีเรื่องซึ่งสลัดออกไปจากใจไม่ได้ จึงจมดิ่งอยู่กับความผิดหวัง คุณแม่พาไปพบพระอาจารย์ให้ท่านสอนสติสมาธิให้ หนูก็นั่งหลับตาไปแต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เอาเข้าจริงๆหนูยังไม่รู้เลยว่าสติคืออะไร สมาธิคืออะไร แล้วมันจะมาช่วยอะไรหนูในตอนนี้ได้ทันการละคะ
....................................................
ตอบครับ
ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ไม่รู้ว่าสติคืออะไร สมาธิคืออะไร คนโน้นเขาว่างั้น คนนี้เขาว่างี้ แต่คนที่มีความทุกข์ก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าสติสมาธิมันจะคืออะไรก็ตาม
คุณมาลองวิธีของผมดูมั่งดีกว่า
วิธีของผมไม่ต้องยุ่งกับคำว่าสติ หรือสมาธิ ไม่ต้องยุ่งกับการนั่งหลับตาในแบบใดๆ วิธีของผมคือคุณต้องจดจำความคิดของคุณให้แม่น ความคิดก็คือประสบการณ์ในใจของเรา ในกรณีของคุณนี้ความผิดหวังที่คุณจมอยู่ด้วยนั่นแหละคือความคิด มันหมุนวนโผล่ขึ้นมาในหัวของเราอย่างซ้ำซาก สิ่งที่ผมจะให้คุณทำคือให้คุณจดจำมันให้ได้ เออ จดจำความคิดนั่นแหละ จดจำมันให้แม่น บางทีมันแยะย่อยยุบยิบยับเกินไป คุณก็อาจจะจัดหมวดหมู่ให้มันเสียหน่อยก็ได้จะได้จำง่าย อันนี้เอาเข้ากลุ่มความผิดหวัง อันนี้เอาเข้ากลุ่มความแค้น อันนี้เอาเข้ากลุ่มความรู้สึกไร้ค่า อันนี้เอาเข้ากลุ่มความเบื่อ อันนี้เอาเข้ากลุ่มความอยากตาย อันนี้เอาเข้ากลุ่มฟุ้งสร้านใจลอยเละเทะจนจับประเด็นไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น จัดเข้าหมวดหมู่แล้วก็จดไว้ในกระดาษ แล้วก็อ่านทบทวนซ้ำๆ และท่องจำซ้ำๆ ว่าเหล่านี้เป็นความคิดที่เคยมาเยี่ยมเรามาก่อนหน้านี้แล้ว
"ทำไมต้องให้หนูจดจำประสบการณ์อันขมขื่นในใจด้วยละ ในเมื่อมันทำให้หนูเป็นทุกข์อยู่หลัดๆ"
หิ..หิ ใจเย็นๆ การจดจำประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ให้ได้แม่นยำ มันเป็นเหตุนำให้เราสามารถระลึกได้หรือรับรู้ได้ทันทีว่านี่กำลังเกิดประสบการณ์นั้นโผล่ขึ้นมาในใจอีกแล้ว เรียกว่ามันทำให้เราเกิดความสามารถ "ระลึกได้" ได้ทันทีว่าความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์กำลังกลับมาเยือนเราอีกแล้ว จำคำสำคัญนี้ไว้นะ... "ระลึกได้"
การระลึกได้ก็คือ
"..อ๊ะ อ๊ะ แกมาเยี่ยมฉันอีกแล้ว"
พอมันกลับมาหาแต่ละทีคุณก็ให้ความสนใจมันเหมือนเจ้าของบ้านให้การรับรองแขก สนใจมัน รับรู้มัน ทำความรู้จักกับมันโดยการแอบใส่ใจเพ่งพินิจจากภายนอก
"..อ้อ ความแค้นมันเป็นอย่างนี้เองหรือ"
แล้วอย่าแปลกใจนะที่เรายกน้ำยกท่ามาต้อนรับได้แป๊บเดียวแขกก็รีบกลับโดยไม่ล่ำลาเสียแล้ว ช่างเขาเถอะ เขามาก็ให้เขามา เขาไปก็ให้เขาไป แต่ทุกครั้งที่เขามา ให้เราระลึกได้ว่าเขากลับมา รับรู้ว่าเขามา แอบดูเขาอย่างเจ้าบ้านใส่ใจแขก พอเขาไปก็รับรู้ว่าเขาไป
ข้อสำคัญคือให้แยกให้ออกว่าเราเป็นเจ้าบ้าน ส่วนความคิดนั้นเป็นแขกผู้มาเยือน อย่าไปสับสนอลหม่านปนเปว่าความคิดเป็นเรา กลายเป็นมั่วซั่วไม่รู้ใครเป็นเจ้าบ้านไม่รู้ใครเป็นแขก อุปมาเหมือนคนมีบ้านอยู่ริมน้ำ แทนที่จะนั่งอยู่บนระเบียงชมเรือที่ผ่านไปมาสบายใจเฉิบ แต่นี่พอเรือผ่านมากลับเผลอกระโดดลงน้ำไปเกาะเรือทุกคราวไปเสียฉิบ แล้วชีวิตริมคลองจะสงบได้อย่างไร ฉันใดก็ฉันเพล เมื่อความคิดมาเยือน เขาเป็นแขก แค่ระลึกรู้ว่าเขามา ต้อนรับขับสู้เขาประสาเจ้าบ้านที่ดี แต่อย่าเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเขาให้เกินงาม เพราะเขาไม่ใช่เรา เขาเป็นแขกผู้มาเยือนเท่านั้น
เนื่องจากความคิดซึ่งเป็นสิ่งคุกคามเราให้เป็นทุกข์นั้นมีธรรมชาติเป็นสัตว์สองหัว คือหัวหนึ่งปรากฏเป็นเนื้อหาสาระเรื่องราวในใจ อีกหัวหนึ่งปรากฏเป็นการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อร่างกาย ตีหัวหนึ่งก็จะมีผลกับอีกหัวหนึ่งด้วย วิธีทอนความคิดที่นุ่มนวลที่สุดก็คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย ซึ่งจะมีผลทอนความคิดให้ลดลงหรือหายไปทันที ดังนั้นคุณต้องหัดผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายด้วย
วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็คือใช้สมองสั่งการให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายดื้อๆ
แน่นอนว่าจะสั่งได้เฉพาะกล้ามเนื้อภายนอกที่สมองสั่งได้เช่นมือไม้แขนขา
จะไปสั่งอวัยวะภายในเช่นตับ ไต ไส้ พุง หรือหัวใจ ย่อมจะไม่ได้
การลงมือผ่อนคลายกล้ามเนื้อมีสองขึ้นตอน ขั้นตอนแรกสั่งให้ผ่อนคลาย
ขั้นตอนที่สองตามไป “รู้สึก” เอาว่ากล้ามเนื้อมันได้ผ่อนคลายจริงไหม
ถ้ายังไม่ผ่อนคลายก็สั่งใหม่
เอ้ามาทดลองปฏิบัติกันเลย
การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้องทำหลังให้ตรง อย่าพิงพนัก ตั้งหลังให้ตรง
ปล่อยคอ บ่า ไหล่ ลงไปตามธรรมชาติ แบบสบายๆ หลับตาลง
จงใจสั่งให้กล้ามเนื้อทั่วใบหน้าผ่อนคลาย ลองยิ้มที่มุมปากนิดๆดู
ถ้ายิ้มได้โดยไม่ลำบากก็แสดงว่าผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้สำเร็จ ผ่อนคลายใบหน้า
ผ่อนคลายคอบ่าไหล่ นั่งหลังตรง ปล่อยบ่าและไหล่ลงไปตามสบาย ขยายการผ่อนคลายร่างกายไปทั่วทั้งร่างกาย
ทั้งใบหน้า คอบ่าไหล แขนและมือ ลำตัวด้านหน้าด้านหลัง ขาและเท้า ผ่อนคลาย..ย
ขึ้นชื่อว่าแขกย่อมต้องมีมาแล้วก็มีไป ยามที่แขกไป ใจเราก็ว่างจากความคิดชั่วขณะ ให้ถือโอกาสนี้ฝึกอยู่กับใจที่ว่างๆสบายๆด้วยการเอาใจไปจดจ่อกับอะไรสักอย่างที่ไม่มีพิษภัย เช่น ฝึกเอาใจไปจดจ่อดูลมหายใจ หรือฝึกจดจ่อกับงานอดิเรกไปทีละขั้นๆ หรือฝึกจดจ่อกับเสียงดนตรีไปทีละตัวโน้ต เป็นต้น จุดประสงค์คือหาโอกาสให้ใจได้พักโดยปลอดความคิดเสียบ้าง ในระหว่างฝึกหากเผอิญมีความคิดโผล่ขึ้นมาก็ช่างมัน ไม่สนใจมัน ทิ้งมันไป สนใจแต่จะจดจ่ออยู่กับเป้าที่เราเลือกไว้
การฝึกเพื่อพักใจนี้มีความล่อแหลมที่จะทำให้เราเครียดจากการเพ่งหรือจดจ่อมากเกินไป ดังนั้นเราต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายควบคู่กันไปด้วยเสมอ เช่นขณะฝึกตามดูลมหายใจ ช่วงหายใจออกก็ให้ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มที่มุมปากนิดๆไปด้วย
แล้วก็มาถึงขั้นตอนไฮไลท์ คือปกติเรารับรู้ประสบการณ์ในใจแบบว่าใจนี้เป็นหนึ่งเดียว เช่นมีความคิดอยู่ก็รับรู้ว่าเรานี่แหละกำลังคิดอยู่ โกรธก็รับรู้ว่าเรานี่แหละกำลังโกรธ ต่อแต่นี้ไปเราจะต้องฝึกแยกว่าในหนึ่งประสบการณ์ในใจนี้ มีสองส่วนแยกจากกันได้
ส่วนที่หนึ่ง
คือเราในฐานะผู้สังเกตรับรู้ หรือจะเรียกว่าเป็นความรู้ตัวก็ได้ ซึ่งมีธรรมชาติว่างๆโล่งๆสบายๆเย็นๆแต่ตื่นตัวและรู้ตัวดีอยู่
ส่วนที่สอง
คือประสบการณ์ที่ถูกสังเกตรับรู้ เช่นความคิดต่างๆ ความโกรธ ความเบื่อ ความเสียใจ ความแค้น ทั้งหมดนั้นเป็นความคิดที่เป็นสิ่งที่ถูกเราสังเกตรับรู้ได้
เช่นเมื่อมีความคิดก็รู้ว่าเราอยู่ฟากกะนี้
เป็นผู้สังเกต มองเห็นว่ากำลังมีความคิดเกิดขึ้นที่ฟากกะโน้น เราเป็นผู้สังเกตเห็น
เห็นชัดๆว่าความคิดไม่ใช่เรา เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาแล้วถูกเราสังเกตเห็น
เช่นเดียวกัน เมื่อโกรธก็มีความรู้ตัวว่าเรากำลังสังเกตเห็นความโกรธที่โผล่ขึ้นมาในใจเรา มันเป็นเพียงประสบการณ์ที่โผล่ขึ้นมาในใจให้เราเป็นผู้สังเกตเห็น
เป็นต้น
การฝึกแยกใจให้เป็นสองส่วน คือเป็นผู้สังเกต กับเป็นสิ่งที่ถูกสังเกตนี้ เป็นเรื่องสำคัญสูงสุดที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ มิฉะนั้นจะจัดการความเครียดไม่ได้ เพราะตราบใดที่เราไม่สามารถแยกออกมาให้เห็นเชิงประจักษ์แก่ตาตัวเองชัดๆว่าความคิดไม่ใช่เราเป็นแค่สิ่งที่ถูกเราสังเกตเห็น ตราบนั้นเราก็ยังจะจมอยู่ในความคิดอยู่ร่ำไป นั่นหมายความว่าเราจะต้องเครียดไปจนตาย เพราะความคิดที่เป็นต้นเหตุของความเครียดนั้นมันไม่เคยหมดไปจากใจเราเลย มันก็จะไปๆมาๆของมันอยู่อย่างนี้
ในการฝึกอาจใช้วิธีปักหลักให้ใจของเราที่เป็นผู้สังเกตแบบปักไว้ให้อยู่ตรงกลางนิ่งๆ ไม่ซัดส่าย ไม่ไหวคลอนแคลน ไม่ไหลหรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ไหลหรือแกว่งไปหาสิ่งที่ชอบ มีอะไรผ่านเข้ามาก็แค่รับรู้
"ฮั่นแน่ แกมาอีกละ"
ไม่หนี ไม่วิ่งเข้าไปหา แค่รับรู้และยอมรับว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาในใจแล้ว ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา ปล่อยให้มันผ่านออกไป การฝึกเป็นผู้สังเกตประสบการณ์ในใจตัวเองนี้ หากได้ฝึกจดจำความคิดเก่าๆของเราเองให้แม่นยำจนขึ้นใจมาก่อน การสังเกตเห็นความคิดของตัวเองก็จะง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ เพราะการสังเกตเห็นความคิดของตัวเอง ก็คือการระลึกรู้ความคิดเก่าที่กลับโผล่ขึ้นมาใหม่นั่นเอง
ให้คุณสังเกตด้วยนะ ว่า (1) ในงานนี้มันมีอยู่สองเจ้า คือคุณซึ่งเป็นผู้สังเกต กับความคิดของคุณซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต (2) ถ้าคุณดำรงตนเป็นผู้สังเกตหรือผู้แอบดูที่แท้จริง ความคิดที่ถูกคุณสังเหตเห็นจะหายแว้บไปต่อหน้าต่อตา (3) ถ้าความคิดที่คุณสังเกตเห็นมันไม่หายไปแต่มันกลับใหญ่ขึ้นๆมีเรื่องราวต่อยอดมากขึ้นๆ นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้แอบดูเสียแล้ว คุณเข้าไปผสมโรงคิดต่อยอด ซึ่งถือว่าผิดท่าแล้ว คุณต้องถอยออกมาเป็นแค่ผู้สังเกตหรือผู้แอบดูใหม่ แอบดูโดยไม่เข้าไปคลุกหรือเข้าไปมีส่วนได้เสียกับความคิดนั้น
อนึ่ง ต่อจากนี้ไปให้คุณทำความเข้าใจชีวิตให้ลึกซึ้งขึ้น คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยดีหากมีตัวช่วยสามตัวนี้ คือ
(1)
การมีเพื่อนที่ดี
(2)
การรู้จักคิดด้วยเหตุผลและตรรกะอย่างแยบยล
(3)
การนำสิ่งที่คิดได้มาทดลองปฏิบัติแล้วสรุปผลไว้ใช้กับตัวเอง
ในแง่ของการมีเพื่อนที่ดี
ผมไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องมีเพื่อนเป็นคนตัวเป็นๆเสมอไป อาจจะเป็นหนังสือ
เป็นวิดิโอคลิป ก็ได้ อย่างบล็อกที่ผมเขียนตอบคุณนี้ผมก็ตั้งใจจะให้มันเป็นเพื่อนที่ดีอันหนึ่งของคุณ
ในแง่ของการรู้จักคิดด้วยเหตุผลและตรรกะอย่างแยบยลนั้น
จริงๆแล้วมันเป็นสามัญสำนึก แต่คนเราก็มักจะลืมใช้สามัญสำนึกอยู่ร่ำไป
ยกตัวอย่าง เช่น มีใครไม่รู้บ้างว่าความคิดเป็นสิ่งที่ไม่ได้จีรังยั่งยืนอะไร
คิดขึ้นมาแล้วก็ดับหายไป แล้วความคิดใหม่ก็โผล่ขึ้นมาแทน มีใครบ้างจะไม่รู้
แต่คนส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะลืมไป
เมื่อเกิดความคิดลบขึ้นในใจก็จะตีอกชกหัวราวกับว่าความคิดที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นสัจจธรรมถาวรที่จะดลบันดาลให้ตัวองมีอันเป็นไปตลอดกาล
หรือเช่น มีใครไม่รู้บ้างว่าคอนเซ็พท์หรือชุดของความคิดที่เราผูกโยงขึ้นเพื่อนิยามความเป็นบุคคลของเราว่าเราเป็นคนอย่างนี้นะ
มีเอกลักษณะอย่างนี้นะ มีตัวตนอย่างนี้นะ นั่นเป็นแฟนของเรา เขาต้องซื่อสัตย์กับเราอย่างนี้อย่างนั้นนะ ทั้งหมดมันเป็นเพียงความคิดที่เราอุปโลกน์ขึ้น
มันเป็นของจริงแท้ถาวรเสียที่ไหน ใครๆก็รู้กันทั่ว แต่คนส่วนใหญ่ก็มักออกอาการจะเป็นจะตายเอาเมื่อใดก็ตามที่ตัวตนสมมุตินี้ถูกด้อยค่าหรือถูกเหยียบย่ำดูแคลน
หรือเช่น มีใครไม่รู้บ้างว่าร่างกายของเรานี้มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจของเราที่จะไปดลบันดาลอะไรให้มันได้
อย่างน้อยมันจะตายหรือจะป่วยหนักๆเช่นเป็นมะเร็งเราจะดลบันดาลให้มันไม่ตายหรือให้มันหายได้เสียที่ไหน
แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะฟูมฟายเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับร่างกายนี้ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น
การลืมใช้สามัญสำนึกนี่แหละ
ที่ผมนำมาตอกย้ำในรูปของการรู้จักคิดด้วยเหตุผลและตรรกะอย่างแยบยล
หากขาดสิ่งนี้ไปเสียแล้วชีวิตคนเราก็ย่อมจะเผลอไปเครียดฟรีทั้งชาติเพราะการสำคัญผิดว่าความคิดเป็นสิ่งเดียวกับตัวเอง
ในแง่ของการการนำสิ่งที่คิดได้มาทดลองปฏิบัติแล้วสรุปผลไว้ใช้กับตัวเองนี้ก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่ชอบทำตัวเป็นคนเจ้าความคิด เป็นคนขี้สงสัย และชอบจดจำขี้ปากคนอื่นไว้คุยโม้หรือบอกต่อว่าเป็นของดีโดยที่ตัวเองก็ไม่เคยเอามาทดลองปฏิบัติให้เห็นจริงด้วยตัวเองเสียก่อน การที่มีความคิดที่ทำให้ทุกข์อยู่ตอนนี้นะดีแล้ว ให้นำทุกอย่างที่เพื่อนที่ดีเขาแนะนำและที่ตัวเองได้คิดกลั่นกรองด้วยเหตุผลและตรรกะแล้วว่าน่าจะดีมาทดลองปฏิบัติให้เห็นจริงด้วยตัวเอง นี่ถือเป็นไฮไลท์สูงสุดของการรู้จักใช้ชีวิต
ขั้นสุดท้ายของการใช้ชีวิตคือการรู้จักย้ายตัวตน การที่เราสามารถแยกใจออกเป็นผู้สังเกตฝ่ายหนึ่ง ทิ้งให้ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกตอีกฝ่ายหนึ่งได้
จะทำให้เราสามารถมองชีวิตออกไปจากมุมของผู้สังเกตได้เสมอในทุกประสบการณ์
นี่เรียกว่าเป็นการย้ายตัวตน (change of identity) จากเดิมที่เราคือสิ่งที่เราคิดขึ้น
หรือเราเป็นบุคคลคนนี้ที่มีชื่อนี้มีเอกลักษณ์ตัวตนอย่างนี้ พูดง่ายๆว่าจากเดิมที่เราเป็นใครสักคน
(some body) มาเป็นเราคนใหม่ที่เป็นแค่ผู้สังเกตรับรู้ประสบการณ์โดยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องด้วย
หรือเป็นคนไม่มีตัวตน (no body) นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีมองและวิธีใช้ชีวิตครั้งใหญ่
ไม่ว่าจะเปลี่ยนแบบค่อยๆเปลี่ยนหรือเปลี่ยนทันทีฮวบฮาบก็ล้วนถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ดี
การมองชีวิตออกไปจากมุมใหม่นี้ความเครียดจะหายไปโดยอัตโนมัติ
เพราะความคิดที่เคยเป็นสิ่งคุกคามอันยิ่งใหญ่จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสังเกตเห็น
เกิดแล้วก็ดับ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถคุกคามผู้สังเกตได้
การมองชีวิตออกไปจากมุมนี้จะทำให้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง
ว่าความคิดที่เคยเป็นผู้คุกคามที่ยิ่งใหญ่นั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงการสร้างภาพสมมุติของเราเองขึ้นมา
ว่าเรานี้เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีทรัพย์สมบัติ มีความยึดถือเกี่ยวพัน
ที่ต้องปกป้องคุ้มครองป้องกัน ทั้งหมดนั้นจะดูสมจริงก็เฉพาะเมื่อเราเผลอเชื่อว่าความคิดคือเรา
แต่เมื่อเราแยกเราออกมาเป็นผู้สังเกต
ความคิดก็จะเป็นแค่สิ่งชั่วคราวที่ถูกสังเกตเห็น ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ภาพสมมุติที่เราสร้างขึ้นนั้นก็จะลดความสำคัญลงจนคุกคามเราไม่ได้ ทำให้เราแยกได้ว่าอะไรเป็นแค่เรื่องราวหรือสถานะการณ์ในชีวิตที่เป็นเพียงภาพสมมุติ
อะไรเป็นตัวชีวิตจริงๆซึ่งก็คือการได้เฝ้าสังเกตดูประสบการณ์ในใจไปทีละช็อต
ทีละช็อต โดยไม่ถูกระทบหรือบงการโดยประสบการณ์นั้น
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์
