ความสุขสองระดับ ความเพลิดเพลิน (Pleasure) กับความเบิกบาน (Joy)


 

คุณหมอสันต์ที่เคารพครับ

ถามเลย

1.  อยากจะทำอะไรแบบเป็นตัวของตัวเองแต่ถูกห้ามถูกเบรกโดยผู้หวังดีควรตอบโต้อย่างไร

2. จะแก้ความเบื่อ และเหงา เอาแต่เสพย์ติดการเขี่ยหน้าจอได้อย่างไร 

3. โลกร้อนจนเดือดแล้ว เพราะ carbon emission มากเกินไป จากมือมนุษย์ จะแก้ไขอย่างไร

4. ถ้าทิ้งแนวทางการเพิ่มการบริโภควัตถุเพื่อลดโลกร้อน แล้วจะป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจประเทศล่มสลายได้อย่างไร

ถ้าคุณหมอเห็นว่าเป็นคำถามไร้สาระก็ทิ้งไปเลยได้นะครับ ถ้าคุณหมอไม่ตอบผมเองก็จะได้เลิกคิดหันไปตีเทนนิสต่อ

..................................................

ตอบครับ

ดูสำบัดสำนวนคุณไม่ใช่แฟนบล็อกขาประจำของหมอสันต์ แต่ผมเห็นว่าคำถามของคุณมีสาระ จึงหยิบมาตอบ 

  1. ถามว่าอยากจะทำอะไรแบบเป็นตัวของตัวเองแต่ถูกห้ามถูกเบรกโดยผู้หวังดีควรตอบโต้อย่างไร ตอบว่าโลกนี้เป็นโลกของคนขี้อิจฉา ความอิจฉานั้นเกิดจากการปักใจเชื่ออย่างฝังหัวในขนบจารีตที่ตนเรียนรู้มาแต่เด็ก คือเชื่อเหนี่ยวแน่นจนตนเองไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะแหกคอกออกไป แต่หากเห็นใครทำท่าจะแหกออกไปได้จริงๆ ความอิจฉานั้นจะออกฤทธิ์ทันทีในรูปของความหวังดี การมุ่งชี้ถูกชี้ผิด หรือแม้กระทั่งการลงมือการุณยฆาตคุณภายใต้ฉลากของเมตตาจิต แล้วคนขี้อิจฉาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล ล้วนเป็นคนรอบตัวคุณและมีพระคุณต่อคุณมาก่อนทั้งนั้น ผมจึงแนะนำว่าเมื่อคุณมั่นใจว่าคุณจำเป็นต้องฝ่าดงความอิจฉานี้ไปให้ได้ก็จงฝ่าไปเถิด แต่ขอให้ใช้วิธีที่ไม่รุนแรง คือด้านหนึ่งให้คุณยืนหยัดที่จะไปตาม "เสียงเพรียก" จากก้นบึ้งหัวใจของคุณ อีกด้านหนึ่งก็แกล้งหูทวนลมหรือแกล้งทำที "เล่น" มากกว่าทีจริง เพื่อไม่กระตุกต่อมอิจฉาของคนรอบตัวแบบตรงๆเกินไป 

    พูดถึงการ "เล่น" ไม่ว่าคุณจะเล่นหนักแค่ไหน คุณไม่เคยหวังอะไรจากการเล่นนั้นนอกจากความสนุก มันต่างจาก "การทำงาน" เมื่อคุณทำงานหนัก คุณหวังอะไรจากมันแยะอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เงิน ชื่อเสียง หรืออย่างน้อยก็หวังความภาคภูมิใจว่าคุณเก่งคุณทำได้ ดังนั้นคุณไม่ต้องทำงานหนักไม่ว่าในเรื่องใดๆ แต่จง "เล่น" ให้หนักที่สุดเท่าที่คุณจะเล่นได้

    พูดถึงเสียงเพรียก (calling) ผมหมายถึงเสียงเรียกร้องที่ขยันผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ที่แม้บางช่วงบางเวลาดูจะห่างหายไปแต่แล้วก็ไม่วายโผล่ขึ้นมาอีก จนหลายๆวูบคุณรู้ได้เองว่าชีวิตนี้หากไม่ลองตามมันไป มันคงจะพร่ำเพรียกเรียกร้องให้คุณห่วงหน้าพะวงหลังอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้น ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยว่าคุณควรทดลองตามมันไป แต่ที่สำคัญคือคุณต้องจำแนกให้ได้ว่าเสียงเพรียกนี้มันเป็นของจริงที่แตกต่างจากความสนใจ (attention) ในเรื่องโน้นบ้างเรื่องนี้บ้างซึ่งเป็นอะไรที่มาแล้วก็ไปแบบผิวเผินฉาบฉวย 

    2. ถามว่าถูกจองจำจนรู้สึก "เบื่อ" และ "เหงา" รวมถึงการเสพย์ติดอะไรบางอย่างเช่นการเขี่ยหน้าจอแก้เบื่อ ควรทำอย่างไร ตอบว่าถ้าเรารู้สึกเบื่อ รู้สึกเหงา หรือเสพย์ติดอะไรสักอย่างหรือหลายๆอย่าง นั่นหมายความว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้เราไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว มันไม่ใช่ประเด็นการแสวงหาเชิงจิตวิญญาณหรือ spirituality ที่ลึกซึ้งอะไร แต่เป็นแค่ประเด็นความรู้สึกอ้างว้างไม่เต็มอิ่มจากการที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรให้เต็มศักยภาพที่ตัวเองมี คุณจึงสมัครล่องลอยไปกับความคิดซึ่งทำให้คุณเพลิดเพลิน แต่ขณะเดียวกันความคิดก็ชักพาคุณไปหลงยึดติดความแน่นอนในเรื่องต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง แม้ว่าความคิดจะสร้างตัวตน (identity) สาระพัดให้คุณสวมใส่ ไม่ว่าการเป็นพ่อ เป็นลูก เป็นสามี  เป็นคนดี เป็นนักวิชาชีพ เป็นนักเทนนิส เป็นผู้นำชุมชน ฯลฯ ได้ในคราวเดียวกันแล้วก็ตาม แต่ลึกๆแล้วแก่นกลางของความเป็นคุณที่แท้จริงมันต้องการอะไรที่มากกว่านั้น ดังนั้น คุณจะต้องเริ่มต้นด่วยการคิดไตร่ตรองด้วยตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแยบยลเพื่อให้ตอบตัวเองได้ก่อนว่าชีวิตที่เหลืออยู่ซึ่งก็ไม่ได้ยาวนานอะไรนี้ คุณต้องการอะไรอย่างแท้จริง แล้วแล้วมอบชีวิตจิตใจให้เวลาทุกวินาทีไปเพื่อการบรรลุสิ่งนั้น นั่นแหละคือการเดินทางเชิงจิตวิญญาณหรือ spirituality ที่แท้จริง มันเริ่มที่ตรงนี้ มันเริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และทุกวินาทีต่อจากนี้ไป โดยเมื่อปักธงได้มั่นแล้วว่าคุณจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จากนั้นไปคุณจะไม่ยี่หระเลยว่าความมุ่งมั่นของคุณจะพาคุณไปขึ้นเขาลงห้วยลำบากลำบนเพียงไหนก็ตาม นี่แหละ คือวิธีหลุดพ้นจากความเบื่อและความเหงาหรือการเสพย์ติดใดๆก็ตาม  

    3. ถามว่าการที่โลกร้อนขึ้นจนถึงจุดใกล้แตกดับ การที่มนุษย์ทำให้มีการปล่อยคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น มันเกิดเพราะมนุษย์ดั้นด้นค้นหาความสุข ก็ในเมื่อมนุษย์นี้เกิดมาเพื่อเสาะหาความสุข แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขด้วยและไม่ทำให้โลกนี้เละเทะจนแตกดับด้วย 

    ตอบว่าก่อนอื่นผมขอวิเคราะห์คำว่าความสุข (happiness) ให้ลึกลงไปอีกเล็กน้อยนะ คือมันมีสองระดับ ระดับผิวคือความเพลิดเพลินสนุกสนาน (pleasure) กับระดับลึกลงไปคือความเบิกบาน (joy) ความแตกต่างของทั้งสองระดับนี้มีสองประเด็น คือ

    ประเด็นที่ 1. แตกต่างกันที่ความใสชัด (clarity) ของใจ ขณะเข้าถึงความสุขนั้น ความสุขระดับเพลิดเพลินสนุกสนาน คุณจะเข้าถึงมันได้ก็ต่อเมื่อคุณสร้างความขุ่นคือความพร่ามัวหรือความไร้สตินิดๆขึ้นก่อนจึงจะเข้าถึงมันได้ อุปมาพอคุณเริ่มเมาเบียร์แล้วคุณก็เริ่มจะเพลิดเพลิน ขณะที่ความเบิกบานนั้นจะเกิดได้ก็ในภาวะที่คุณมีสติเต็มร้อยใสบริสุทธิ์ไร้ความคิดเท่านั้น 

    ประเด็นที่ 2. แตกต่างกันที่ที่ที่คุณจะพบความสุข ขณะที่ความเพลิดเพลินคุณไปหาเอาจากข้างนอกผ่านการเพิ่มเติมการบริโภคต่างๆเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นความอร่อย การซื้อหาและครอบครองสมบัติต่างๆ ขณะที่ความเบิกบานมันเกิดขึ้นจากข้างในโดยไม่ต้องเพิ่มการบริโภคอะไรเลย 

    การจะมีความสุขโดยไม่เพิ่ม carbon emission ก็คือการเข้าถึงความเบิกบานที่ข้างในซึ่งไม่ต้องอาศัยการเพิ่มการบริโภคอะไรเลย

    แล้วเราจะเข้าถึงความเบิกบ้านที่ข้างในหรือ joy นี้ได้อย่างไรเล่า

    ในความเห็นของผม มันมีปัจจัยสามอย่างที่กำกับหรือช่วยให้คนเราเข้าถึงความเบิกบานที่ข้างในได้ง่ายขึ้น คือ

    (1) การมีทักษะในการคิด วิเคราะห์ไตร่ตรองด้วยตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลด้วยตนเองอย่างแยบยล

    (2) การมีเพื่อนที่ดี หมายถึงเพื่อนที่จะตอบคำถามที่ซับซ้อนให้แจ่มชัดได้และไม่ชักนำไปผิดทาง

    (3) การมีโอกาสอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะได้พบได้ประสบกับความเบิกบานที่ข้างใน เพื่อจะได้เปรียบเทียบได้เห็นด้วยตัวเองว่ามันเหนือชั้นและแตกต่างอย่างไรไปจากความเพลิดเพลินที่ได้จากกิจกรรมพื้นฐานเช่นการบริโภค การนอน การขับถ่าย การสืบพันธ์ เป็นต้น

      ข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียวในสามข้อนี้ ถ้าคุณสามารถหามาให้ตัวคุณได้ ก็หมายความว่าโอกาสมันเริ่มเปิดให้คุณแล้ว จากนั้น ให้ใช้คุณโอกาสนั้นสำรวจค้นหาต่อไปเองเถิด 

    4. ถามว่าประเทศหรือโลกทุกวันนี้ขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจการบริโภคและการตลาด หากทิ้งแนวทางการเพิ่มการบริโภคทางวัตถุนี้ไปเสีย จะไม่เป็นเหตุให้อารยธรรมของมนุษย์ล่มสลายหรือ ตอบว่า ความเบิกบานอันเป็นเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่นั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อดำรงรักษาระบบเศรษฐกิจการบริโภคหรือการตลาดให้อยู่ได้ ในทางตรงกันข้าม ระบบเศรษฐกิจการบริโภคหรือการตลาดต่างหากที่มีไว้เพื่อให้คนเข้าถึงความเบิกบานในชีวิต หากมันจะต้องล่มสลายไปเพื่อเปิดให้คนการเข้าถึงความเบิกบานในชีวิตได้มากขึ้น ก็ให้มันล่มสลายไป จะเป็นไรไปล่ะ  

    5. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ ว่าสิ่งซึ่งจะเป็นพละกำลังสำคัญให้คุณประสบความสำเร็จในการเข้าถึงความเบิกบานที่ข้างในได้คือ ศรัทธา (confidence) โปรดสังเกตว่าผมไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษว่า faith นะ แต่ใช้คำว่า confidence เพราะผมตั้งใจจะไม่ให้หมายถึงความเชื่อหัวปักอย่างมืดบอด (superstition) แต่ผมตั้งใจจะให้หมายถึงความรู้สึก (feeling) ที่เกิดขึ้นแล้วทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งความคิดจิตใจ ว่าฉันเป็นอย่างนั้นได้แน่นอน 100% หรือฉันทำอย่างนั้นได้แน่นอน 100%

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 





โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"