ถ้าจะไม่ให้ "อิน" กับอุปาทานหรือสิ่งสมมุติ แล้วจะทำงานให้ดีได้อย่างไร
![]() |
คน มีธรรมชาติจะเอียงไปตามสิ่งแวดล้อม |
จารย์คะ หนูมีคำถาม
1. ถ้าจะไม่ให้อินกับอุปาทานหรือสิ่งที่สมมุติกันขึ้นมากเกินไป แล้วจะทำงานให้ดีได้อย่างไร เพราะการทำงานเช่นการสร้างบริษัทยูนิคอร์น ต้องอินแบบสุดๆจนไม่ต้องคำนึงถึง work life balance งานจึงจะสำเร็จได้
2. เมื่อมีเงินแล้ว ไม่ต้องทำงานแล้ว จะมีความสุขในชีวิตได้อย่างไรเมื่อขาดความภูมิใจว่าชีวิตนี้มีค่า
3. จะไม่ให้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้อย่างไร เมื่อเราทำผิดพลาดทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย จะยอมรับมันกับตัวเองได้อย่างไร
4. ในการมองหาเป้าหมายของชีวิต หากสิ่งที่เราอยากทำเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วยเพราะท่านเป็นห่วงเรา แล้วเราก็หงุดหงิดว่าอยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ แต่ก็ห่วงพ่อแม่ว่าจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ จะมีทางออกอย่างไร
........................................................
ตอบครับ
1. ถามว่า ถ้าจะไม่ให้ "อิน" กับอุปาทานหรือสิ่งที่สมมุติกันขึ้นมากเกินไป แล้วจะทำงานให้ดีได้อย่างไร
ก่อนจะตอบคำถามนี้ขอเท้าความไปถึงว่าชีวิตของคนเรานี้มีสองส่วนที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน
ส่วนที่หนึ่ง คือการมีชีวิตอยู่ หายใจได้ รู้ตัว มีประสบการณ์ (existence)
ส่วนที่สอง คือคุณค่าและความหมายของชีวิต (essence) หรือที่คุณเรียกว่าอุปาทานนั่นแหละ
ทั้งสองส่วนนี้ ส่วนที่หนึ่งเกิดขึ้นมาก่อนแทบจะพร้อมกับการเกิดมาเป็นคน ส่วนที่สองเกิดตามมาทีหลัง จากการที่เราค่อยๆได้เรียนรู้และบัญญัติสมมุติต่างๆขึ้นในใจเราอย่างรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง เหมือนอย่างที่นักคิดในยุโรปช่วงปี 1800 กว่าๆตั้งเป็นม็อตโตไว้ว่า
"Existence precedes essence"
แปลว่าของจริงคือการมีชีวิตอยู่..มาก่อน ส่วนของปลอมคืออุปาทาน..มาทีหลัง
ส่วนคำว่า "อิน" ของคุณนั้น ผมถือว่าหมายถึงการ "เต็มร้อย" กับเป้าหมายใดๆที่คุณเลือกขึ้นมาทำหรือเลือกขึ้นมาเป็นเป้าหมายชีวิต ซึ่งเมื่อคุณเลือกเป้าหมายว่าจะทำอะไรขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายดีหรือเลว เข้าท่าหรือไม่เข้าท่า คุณก็ต้องเต็มร้อยกับมันแน่นอน ไม่งั้นคุณก็จะกลายเป็นคนทำอะไรแค่ครึ่งหัวใจ (halfheartedly) ภาษาบ้านๆเรียกว่าคนพันธ์เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ภาษาหมอถือว่าการทำอะไรไม่เต็มร้อยเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นคนป่วยชนิด เบื่อ ท้อแท้ ซึมเศร้า ขี้เหงา และเอียนการทำงาน (burn out)
เมื่อจะทำอะไรก็จำเป็นต้องอินแบบเต็มร้อยอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว ก็จะเหลือประเด็นเดียวคือจะเลือกเอาอะไรมาทำหรือมาเป็นเป้าหมายชีวิต ซึ่งในภาพใหญ่สำหรับทุกคนคืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณมีความสุข แต่ว่าความสุขเองก็มีสองระดับ คือ ระดับความเพลิดเพลิน (pleasure) ซึ่งต้องไปซื้อไปหาเอามาจากข้างนอก ทั้งนี้หมายความรวมทั้งการที่คุณวางแผนบรรลุเป้าหมายการสร้างบริษัทยูนิคอร์นด้วย กับ ระดับความเบิกบาน (joy) ที่เอ่อขึ้นมาจากข้างในเองโดยไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน ความเบิกบานนี่มันเป็นที่นี่เดี๋ยวนี้ มันเป็นการเดินทาง (journey) มันไม่ใช่เป้าหมาย (destination) คุณต้องเก็ทให้ถูกก่อนนะ
คำแนะนำของผมคือให้คุณอินกับอะไรก็ตามที่จะพาคุณเข้าถึงความเบิกบานที่ข้างในที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อน ถือว่าเป็น สะเต็พที่หนึ่ง ซึ่งทำได้ด้วยการฝึกวางความคิดหรือวางอุปาทานทั้งหลายลงไปก่อน จนคุณนิ่งเป็น ยอมรับทุกอย่างที่ภายนอกเป็น และได้สัมผัสรับรู้ความเบิกบานที่ข้างในด้วยตัวเองได้ทุกครั้งที่อยากกลับเข้าไปสัมผัส คราวนี้คุณก็จะเป็นคนที่ "สุข" ในระดับลึกๆตลอดกาลแบบจะตกน้ำก็ไม่ไหลจะตกไฟก็ไม่ไหม้แล้ว คราวนี้คุณก็ไป สะเต็พที่สอง คือไปหาความสุขที่ข้างนอกแบบความเพลิดเพลินที่ไหนอย่างไรก็เชิญเลย จะตั้งบริษัทยูนิคอร์นหรือสหคอร์นหรือจะไปขุดดินทำโคกหนองนา หรือจะไปซื้อบิทคอยน์ ซื้ออีธีเรี่ยม ก็ได้ทั้งนั้น ในการทำแต่ละอย่างคุณอยากจะอินแบบเต็มร้อยหรือจะอินแบบเกินร้อยก็เชิญเลย
2. ถามว่า คนเราเมื่อมีเงินแล้ว ไม่ต้องทำงานแล้ว จะมีความสุขในชีวิตได้อย่างไรในเมื่อขาดความภูมิใจว่าชีวิตนี้มีค่า แหม.. คำถามของคุณนี้มันถามเจาะเข้าใจกลางของปัญหาของคนรุ่นใหม่ซึ่งต่อไปจะต้องอยู่ในยุคพระศรีอารย์ภายใต้การนำของหุ่นยนต์ ทุกคนไม่ต้องทำงาน ทุกอย่าง ทั้งเงิน ทั้งพลังงาน ทั้งข้อมูล มีให้ฟรีหมด ซึ่งฟังดูก็น่าจะดีที่มนุษย์ไม่ต้องลำบากแล้ว จะกิน จะนอน จะร้องรำทำเพลงและสืบทอดเผ่าพันธ์ก็ทำได้อย่างใจปรารถนา แต่เอาเข้าจริงๆมนุษย์ยุคนั้นก็ยังไม่วายเกิดคำถามอยู่ดี ว่า "แล้วจะไปเอาความสุขมาจากไหน เมื่อความภาคภูมิใจว่าชีวิตนี้มีคุณค่ามีความหมายไม่มีอีกต่อไปแล้ว"
ตอบว่าความภาคภูมิใจเป็นอุปาทานนะ มันเป็นเฟคนิวส์ การจะหาความสุขในยุคพระศรีอารย์ให้คุณกลับไปอ่านตำตอบในข้อหนึ่งใหม่ คืออย่าเพิ่งยุ่งกับเฟคนิวส์ เข้าให้ถึงความเบิกบานที่ข้างในด้วยการฝึกวางอุปาทานทั้งหลายไปให้ได้ก่อน เมื่อเบิกบานแล้ว การจะไปเล่นกับเฟคนิวส์ชนิดไหนก็เชิญ
คนสมัยเก่าที่มองข้ามช็อตเป็น เขาเห็นปัญหาที่คุณถามนี้ล่วงหน้าแล้ว ในราวปี 1800 กว่าๆ ในอเมริกา ประมาณยุคลินคอล์น ขณะที่สังคมกำลังสาละวนสร้างอารยธรรมมนุษย์ด้วยการวางรางรถไฟข้ามประเทศ วางสายโทรศัพท์ข้ามเมือง ก็มีคนกังขาล่วงหน้าแล้วว่าเฮ้ย ถ้าคนสบายกันขนาดนั้นแล้วต่อไปจะไปหาความสุขกันจากไหน เพราะอะไรๆความเจริญก็พามาให้หมด จึงมีคนหนึ่งชื่อธอเรียว (Henry David Thoreau) ตัดสินใจออกไปค้นหาแหล่งความสุขที่แท้จริงของคนว่าถ้าอารยธรรมประเคนทุกอย่างให้หมดแล้วคนจะได้ความสุขจากไหน เขาปลีกตัวออกจากสังคมไปปลูกกระต๊อบอยู่คนเดียวในป่า ด้วยตั้งใจว่า
"..ข้าด้นดั้น เข้าไป ในไพรพฤกษ์
หมายเจาะลึก ว่าความสุข อยู่ที่ไหน
เฝ้าศึกษา ถึงแก่นแท้ เพื่อแน่ใจ
ไม่ยอมสิ้น อายุขัย ถ้าไม่พบ.."
เพื่อเป็นข้อมูลให้คุณ สองปีในป่าผ่านไปเขาก็บอกว่าพบแล้ว ว่าความสุขของมนุษย์นั้นอยู่ที่ "การได้ใช้ชีวิตแบบง่ายๆ แบบอินๆ แบบมีศิลป์" (live simply, deliberately, artfully) นี่อาจเป็นคำตอบให้คุณได้อีกส่วนหนึ่งนะ
3. ถามว่า จะไม่ให้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้อย่างไร เมื่อเราเองเป็นคนทำผิดพลาดทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย ตอบว่าการรับมือกับความรู้สึกผิดนี้ ผมขอแบ่งเป็นสามส่วนนะ
3.1 ส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ คือเราทำอะไรลงไปเนี่ย ตรงไหนถูกตรงไหนผิด ตรงไหนผิดก็ยอมรับผิดแล้วแก้ไขส่วนที่ผิดไปแล้วซะ เช่นทำของเสียก็ซ่อมแซม พูดเสียๆก็ตามไปขอโทษเขา แล้วก็สรุปบทเรียนว่าครั้งต่อไปเราจะทำยังไงจึงจะไม่พลาดแบบครั้งนี้อีก ขอบคุณความผิดพลาดซะด้วยที่มาเป็นบทเรียนให้ จบส่วนวิทยาศาสตร์
3.2 ส่วนที่เป็นนิติศาสตร์ คุณก็ทำตัวเป็นตุลาการ ซึ่งเขาใช้หลักง่ายๆตรงไปตรงมามาก ว่ารากของความผิดคือ "เจตนา" แล้วก็สอบสวนการกระทำผิดนั้นย้อนไปหาเจตนา คุณก็สอบสวนตัวเองสิว่าคุณเจตนาที่จะทำเรื่องเสียหายนี้จริงๆตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า หรือว่าคุณไม่ได้เจตนาแต่มันดันขึ้นต้นอย่างแล้วออกมาอีกอย่างแบบนี้ ถ้าคุณไม่ได้เจตนา คุณก็ไม่ผิด พิพากษายกฟ้อง จบข่าว
บางครั้งในการพิจารณาคดีอาจจะต้องใช้หลักฐานระดับพยานแวดล้อม (circumstantial evidence) ช่วยด้วย เช่นข้าแต่ศาลที่เคารพ ดิฉันเป็นคนดีทำความดีมามากมาย กล่าวคือ 1 2 3 4 5 แต่ดิฉันมาพลาดท่าครั้งนี้ครั้งเดียว ซึ่งก็จะช่วยให้ศาลเห็นภาพของคุณตรงความเป็นจริงมากขึ้น เป็นต้น
บางครั้งการพิพากษาคดีก็ต้องหยุมหยิมลึกลงไปเหมือนเด็กเล่นขายของ (เพราะคุณกำลังเล่นกับความรู้สึกผิดซึ่งเป็นความรู้สึกระดับเด็กๆ) หยุมหยิมในประเด็นการแบ่งส่วนของความผิดเหมือนตัดแบ่งขนมพายว่าควรเป็นของใครเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นคุณเลี้ยงแมวแล้วแมวมันเป็นมะเร็ง คุณพามันไปหาหมอ หมอบอกว่าจะเอาแบบผ่าตัดหรือแบบใช้ยาเคมีบำบัด คุณเลือกเอาแบบผ่าตัด แล้วแมวตาย คุณก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าเพราะถ้าฉันไม่พาเธอไปหาหมอคนนี้เธอก็จะไม่ตาย หรือถ้าฉันเลือกที่จะให้เธอใช้ยาเคมีบำบัดซะเธอก็จะไม่ตาย เป็นต้น หลักนิติศาสตร์ในการแบ่งเค้กความผิดก็ เช่น
- โชคชะตาหรือกรรมเก่าของแมวที่ดันมาเป็นมะเร็ง เอาไป 80%
- ฉันที่ตัดสินใจที่พาไปหาหมอคนนั้นคนนี้ ไม่ผิดเพราะสำหรับฉันหมอคนไหนก็มีความรู้เหมือนกัน ตรงนี้ฉันรับผิดมา 0%
- หมอที่ผ่าตัดแล้วทำให้เธอตาย แม้เขาจะไม่เจตนาแต่เขาก็ผ่าไม่เก่งต้องรับไป 10%
- ฉันที่ตัดสินใจให้เธอผ่าตัดซึ่งทำให้เธอตาย ตรงนี้ฉันรับส่วนผิดมา 10%
โหลงโจ้งว่านิติศาสตร์เรื่องแมวตายนี้คือคุณผิดแค่ 10% แล้วมันแยะคุ้มกันการร้องไห้เป็นเผาเต่าไหมละ
3.3 ส่วนที่เป็นจิตเวชศาสตร์ ก็คือการที่คนเราไม่ยอมรับหรือรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเพราะไปหลงเชื่อในอุปาทานว่าชีวิตของตนควรจะเป็นชีวิตของนางเอก พอเกิดอะไรที่บ่งชี้ว่านางเอกจริงเขาไม่เจออย่างนี้ดอกก็รับไม่ได้ เมื่อช้างตายทั้งตัวแต่เรารับไม่ได้ก็ต้องหาใบบัวมาปิดพอให้เรายอมรับได้ ความรู้สึกผิดคือใบบัวนั้น ยกตัวอย่างเช่นคุณแต่งงานมี ผ. เป็นหนุ่มรูปหล่อจ๊ะจ๋าเอาใจ แต่มาวันหนึ่งเขาไปมี ม. คนใหม่ คุณก็รู้สึกผิดว่าตัวเองเป็นคนไม่สวยไม่แต่งหน้าทำจริตจะก้านแบบเธอคนนั้นไม่เป็น จึงได้แต่นั่งรู้สึกผิดว่าตัวเองไม่สวยอยู่ในศาลาคนเศร้า ทั้งๆที่ความเป็นจริงคืออีโก้ของคุณรับไม่ได้ที่ตลอดชีวิตจากนี้ต่อไปข้างหน้าผู้หญิงสนิมสร้อยพึ่งตัวเองไม่ได้อย่างคุณจะอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีผู้ชายมาดูแลอีกแล้ว
การแก้ปัญหาในเชิงจิตเวชศาสตร์นี้ก็ง่ายๆ คือการเปิดใจยอมรับ (acceptance) ทุกอย่างตามที่มันเป็น การจะรู้ว่าทุกอย่างตามที่มันเป็นมันควรจะเป็นยังไงก็ใช้ความสามารถในการคิดไตร่ตรองเอาตามเหตุผลแห่งตรรกะ ธรรมด้า ธรรมดาเนี่ยแหละ ซึ่งในการนี้หากคุณรู้จักใช้เอกสารอ้างอิงที่ทำไว้โดยกัลยาณมิตรรุ่นก่อนๆบ้างด้วยก็ยิ่งดี เช่นคำพังเพยที่ว่า
"ไม้ท่อนหนึ่งลอยมาพบกับไม้อีกท่อนหนึ่งกลางมหาสมุทรแล้วแยกจากกันไปฉันใด
การมาพบกันของผู้เกิดมา ก็ฉันนั้น"
แค่ reference อันนี้อันเดียวหากตรรกะของคุณไม่เสื่อม คุณก็ยอมรับได้ทันทีเลยว่าช้างมันตายไปแล้ว จะเอาใบบัวไปปิดมันทำพรือ
4. ถามว่า ในการมองหาเป้าหมายของชีวิต หากสิ่งที่เราอยากทำเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วยเพราะท่านเป็นห่วงเรา แล้วเราก็หงุดหงิดว่าอยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ แต่ก็ห่วงพ่อแม่ว่าจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ จะมีทางออกอย่างไร
ก่อนจะตอบคำถามนี้ขอชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ในใจของมนุษย์ที่เรียกว่า "อารมณ์ ซ้อนอารมณ์" ทำให้มนุษย์พูดกับมนุษย์ไม่รู้เรื่อง
อุปมาสมมุติว่าคุณเป็นลูกอยากออกจากบ้านไปมีชีวิตอิสระเสรีนิวฟรีด้อม แต่ก็ติดขัดที่เป็นห่วงแม่ ก็เลยได้แต่อึดอัดขัดข้อง ขัดข้องมากก็ "เหวี่ยง" มันไปทั่ว แม่ซึ่งโดนลูกหลงไปด้วยก็เป็นทุกข์ว่าลูกสาวของฉันปูนนี้แล้วยังไม่มีความสุข แล้วฉันจะตายตาหลับได้อย่างไร นี่เรียกว่าปรากฎการณ์อารมณ์ซ้อนอารมณ์ คือ
คนที่หนึ่งเป็นห่วงคนที่สอง จึงเป็นทุกข์
คนที่สองเห็นคนที่หนึ่งเป็นทุกข์ จึงเป็นทุกข์เพราะเป็นห่วงคนที่หนึ่ง
ประมาณนี้ โหลงโจ้งแล้วฉากสุดท้ายก็คือ ตายยกจอ หิ..หิ เป็นหนังไม่สร้างสรรค์เลยใช่มะ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งแม่ทั้งลูกต่างก็ถูกขังอยู่ในกรงของอุปาทาน อุปาทานของแม่คือลูกเป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา ย่อมจะมีความคาดหวังที่จะเห็นลูกเป็นอย่างที่แม่อยากให้เป็น ส่วนอุปาทานของลูกคือคอนเซ็พท์ความกตัญญู
การแก้ปัญหานี้ก็ต้องเริ่มที่ตรรกะง่ายๆอีกแหละ เช่น
1. ถ้าลูกมีความสุขและแม่มีความสุขคือความลงตัวอย่างยิ่ง แต่ถ้าแม่มีความสุขแต่ลูกเหวี่ยงโครมๆอยู่ในกรงอุปาทานของความกตัญญู ตรงนี้เป็นความไม่ลงตัว ต้องรีบแก้ไข
2. สัตว์ทุกชนิด อย่าว่าแต่คนเลย เมื่อแม่เลี้ยงดูมาจนโตแล้วก็ต้องออกจากอกแม่ไปเสาะแสวงหาความตื่นเต้นในชีวิตให้เต็มศักยภาพที่ตนมี การถูกขังไว้ย่อมผิดธรรมชาติ เว้นเสียแต่ว่าถ้าเปิดกรงแล้วลูกไม่ไปเอง อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ด้วยตรรกะที่เป็นสากลสองข้อนี้ คุณในฐานะคุณลูกต้องค่อยๆคุยกับคุณแม่ตรงๆทีละนิดๆ ว่าอย่างนี้หนูไม่มีความสุข ว่าหนูอยากจะทดลองออกไปใช้ชีวิตอย่างโน้น เป็นต้น
ค่อยๆคุย ให้เวลาคุยพักใหญ่ อาจจะหลายเดือน ส่วนใหญ่ได้ผล เพราะลึกลงไปสุดก้นบึ้งหัวใจของแม่คืออยากเห็นลูกมีความสุข แต่ถ้าคุยแล้วไม่ได้ผล หมอสันต์ก็จะแนะนำให้ใช้วิธีสุดท้าย ซึ่งเคยแนะนำให้เลขาของตัวเองใช้เมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วได้ผลดีเสียด้วย คือ..
"หนีออกจากบ้าน!"
หิ..หิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์