ชีวิตจะเหมือนผีซอมบี้ที่ถูกกำกับโดยประสบการณ์ในอดีต
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ขอปรึกษาเกี่ยวกับคุณแม่ค่ะ ปัจจุบันอายุ 91 มีโรคประจำตัวเบาหวาน ไตเสื่อม ลิ้นหัวใจรั่วแต่ไม่เคยน้ำท่ วมปอดหรือนอนหอบเหนื่อย เลือดจาง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันอยู่ประมาณ 120-140 วัดออกซิเจนปลายนิ้วได้ 98-99 เดินเองได้โดยใช้ Walker ทานอาหารเอง อาบน้ำแต่งตัวเองได้ แต่มีปัญหาเรื่องอารมณ์รุ นแรงและเป็นลักษณะสองบุคลิก เวลาอยู่ที่บ้านจะพู ดจาหยาบคายมากอารมณ์รุนแรง (เคยให้ทำสมาธิหายใจเข้ าหายใจออก ทำได้แปบเดียวก็ไม่ทำค่ะ) แต่ถ้าออกไปข้างนอกจะเป็นคนเรี ยบร้อยพูดจาปกติยิ้มแย้มแจ่มใส คุณหมอให้ออกกำลังกายด้ วยการยกขา ลุกนั่ง กำมือ วันละสามเวลา พอกลับมาบ้านไม่ทำเลย และพูดว่าหมอไม่ได้อยู่บ้านเดี ยวกันจะไปรู้อะไร เวลาไปหาหมอก็ไปโกหกเอาสิว่ าทำทุกวัน หมอไม่รู้เรื่องหรอก จะมีชอบโกหกด้วยค่ะเวลาให้ ออกกำลังกายจะพูดว่าเวียนหัวอยู่ บางทีทำท่านวดขาและพูดว่ าปวดขาทันทีเลย แต่ความจริงไม่ได้เป็นแน่นอนค่ ะ คุณหมอหลายท่านแนะนำให้พบคุ ณหมอผู้สูงอายุหรือคุณหมอด้านจิ ตเวชผู้สูงอายุ เคยพาไปพบคุณหมอด้านนี้มาแล้ วสองคน คุณหมอคนแรกให้ยา Escitalopram มาทาน แต่บอกว่าน่าจะทำอะไรไม่ได้ แนะนำให้พาไปอยู่ศูนย์ดูแล พอลองทานยาก็มีเวียนหัวเลยหยุ ดไปค่ะ ต่อมาไปเจอคุณหมอคนที่ สองโรงพยาบาลเอกชนประมาณกลางเดื อน พ.ค. ให้ยาAripiprazole 5mg เริ่มกิน 1/2 เม็ด วันละครั้ง และตรวจดูพบว่าค่าโซเดียมต่ำอยู่ ที่ 127 อาจเป็นปัญหาทำให้สับสนเลยให้ Sodium Chloride มาทานด้วย หลังจากนั้นปลายเดือน พ.ค. คุณแม่ล้มพาไปตรวจพบว่ากระดู กเชิงกรานด้านซ้ายหัก ส่วนสะโพกที่ดามไว้ด้านขวาเคลื่ อนเล็กน้อย คุณหมอบอกว่าไม่ทำอะไรให้รอสั กระยะจะค่อยๆกลับมาปกติ ให้ยาแก้ปวดเป็น Ultracet มาทาน สัปดาห์แรกก็ยังลุกเดินใช้ Walker เองได้ แต่ช่วงกลางคืนร้องปวดจนนอนไม่ ได้ พากลับไปพบคุณหมอกระดูก คุณหมอเอกซเรย์เพิ่มเติมก็บอกว่ าดูไม่แตกต่างจากเดิม แต่ให้ Pregabalin มาเพิ่มทานก่อนนอน พอกลับมาก็บ่นปวดเรื่อยๆทั้งที่ ทานยาตลอด และดูเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา แต่พอกลางคืนยังร้องปวดจนนอนไม่ ได้ ช่วงนี้ก็มีนัดคุณหมอด้านจิ ตเวชเลยพาไปตามนัดและเล่ าอาการที่ล้มมาให้ฟัง คุณหมอปรับยา Aripiprazole เป็น 1 เม็ด และให้ Trazodone 1/4 เม็ด เพื่อช่วยให้นอนหลับ และช่วงนี้ก็เริ่มมีอาการว่าไม่ ยอมเดิน ไม่ยอมยกขายกแขนไม่ขยับตั วอะไรเลย ร้องเรียกให้คนมาอุ้ม ทานอาหารก็ไม่อยากทานเองแต่อ้ าปากให้คนป้อน ให้ลุกเดินไม่ทำ ยกขาออกกำลังก็ไม่ทำ เอาแต่พูดยกขาไม่ได้เดินไม่ได้ นั่งหลับตาง่วงตลอดเวลา และก็มีอาการสับสนและเห็นคนนั้ นคนนี้ที่ไม่มีอยู่จริง ระหว่างนี้มีนัดต้องไปเจอคุ ณหมอที่ดูเรื่องเลื อดจางและโรคหัวใจ คุณหมอทั้งสองคนก็แนะนำว่าให้ หยุดยา Pregabalin และยาด้านจิตเวช และรอดู 2 สัปดาห์ว่าอาการดีขึ้นไหม ตอนนี้หยุดยาพวกนี้มาได้ประมาณ 10 วันแล้ว อาการปัจจุบันคือเหมือนง่ วงนอนตลอดเวลาเอาแต่หลั บตาแบบคนเหม่อลอยชีวิตไม่ เอาอะไรแล้วนั่งนอนท่าไหนท่านั้ น ร้องเรียกให้คนมาอุ้มอย่างเดียว ไม่ยอมเดิน ไม่ขยับร่างกายอะไรเลย ไม่ทานอาหารเองแต่พอป้อนก็ ทานแค่ไม่กี่คำ ให้ขยับตัวลุกบ้างหรือกำมื อยกแขนก็ไม่ทำทั้งนั้นและพูดว่า ยกขาไม่ได้ ลุกไม่เดิน มาอุ้มหน่อย พอจับตัวจะประคองให้ยืนก็ทิ้งตั วลงและโวยวายลั่นว่า ไม่ไป ไม่ยื น ไม่เดิน อย่ามายุ่ง แสดงอารมณ์รุนแรง แต่มีบางวันพยายามให้ลุกเดินช่ วยประคองก็ทำได้ค่ะเพียงแต่ไม่ ค่อยมีแรง เข้าใจว่าเป็นเพราะหลังจากล้ มมาแทบจะไม่ ทำอะไรเลยและทานอาหารน้อย จริงๆแขนขายังมีแรงดีมากอยู่ เลยค่ะ เพราะมีแรงต้านฝืนได้ตลอด เลยอยากจะขอรบกวนปรึกษาคุณหมอว่ าจะพอมีทางให้เค้ารู้สึกอยากกลั บมาลุกเดินหรือขยับร่ างกายอะไรเองบ้างไหมคะ และอาการที่เหมือนง่ วงนอนตลอดเวลาปล่อยตัวเองไปเรื่ อยๆน่าจะเกิดจากอะไรได้บ้างคะ อาทิตย์นี้มีนัดกายภาพแต่ยังไม่ รู้ว่าจะเป็นยังไงค่ะ เพราะตอนนี้เค้าไม่เอาอะไรเลย ส่งผลเลือดและยาที่ทานอยู่ตอนนี้ แนบมาด้วยค่ะ
ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ
...............................................
ตอบครับ
1. อาการที่เล่ามานั้น เป็นอาการหลายของอย่างรวมกัน ทั้ง (1) ผลจากอุบัติเหตุล้มกระดูกหักทำให้ปวดเรื้อรัง (2) ความชราทำให้กล้ามเนื้อลีบอ่อนแอ (3) สมองเสื่อม และ (4) การที่ใจถูกครอบด้วยความคิดอัตโนมัติเสียจนคำว่าสติแทบไม่เหลือเลย
2.1 จะต้องเลิกป้อนอาหาร เพราะ (1) จะทำให้ผู้สูงอายุสูญเสี ยคุณภาพชีวิตที่สำคัญคือท้ายที่สุดจะกินเองไม่ได้เลยจริงๆ (2) เพิ่มความเสี่ยงของการสำลักซึ่งเป็นเหตุการตายหรือทุพลภาพหนึ่งในสองเหตุหลักของคนแก่ คือการสำลัก กับการลื่นตกหกล้ม (3) การป้อนอาหารจะนำไปสู่การรักษาที่ไร้ประโยชน์ (futile treatment) อันต่อไปซึ่งจ่อคิวตามมาคือการผ่าหรือเจาะเพื่อให้อาหารทางสายยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งแพทย์ทั้งญาติผู้ป่วยไม่ควรทำให้ผู้ป่วย ยกเว้นตัวผู้ป่วยจะร้องขอให้ทำด้วยเหตุผลพิเศษเช่นเพื่อบำบัดความหิวขณะที่กลไกการกลืนด้วยตนเองทำไม่ได้ เป็นต้น
2. จะต้องเลิกอุ้มผู้สูงอายุแบบอุ้มไปอุ้มมา เพราะจะทำให้ผู้สูงอายุสูญเสี ยคุณภาพชีวิตสำคัญอีกอย่างคือการเดินได้ไปอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นผู้ทุพลภาพถาวรไป ยังไม่นับโอกาสเกิดกระดูกหักและบาดเจ็บต่อทั้งผู้อุ้มและผู้ถูกอุ้ม ถ้าท่านเรียกให้อุ้มนอกจากคุณจะปฏิเสธแล้วคุณควรถือเป็นโอกาสหลอกล่อฝึกกายภาพบำบัดให้ท่านแทน และควรหาโอกาสชวนท่านให้ขยันออกกำลังกายโดยมีเป้าหมายให้เดินได้ ผู้สูงอายุทุกคน ทุกวัย (รวมทั้งคนเป็นอัมพาตด้วย) ควรกำหนดเป้าหมายของการออกกำลังกายว่าเพื่อให้เดินได้เองจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต แต่หากท่านไม่ยอมทำ คุณก็ต้องทำใจว่าคุณช่วยท่านได้แค่นี้ ที่หลือก็ต้องปล่อยให้ท่านไปตามทางของท่าน
3. ถ้าลูกหลานพอมีเวลาให้ ให้ชวนคุยกันแบบดีๆ หมายความว่าไปนั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มองหน้ากันและกัน พูดช้าๆชัดๆ ด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยนเคารพนับถือไม่ตำหนิ หากท่านหยาบคายไร้มารยาทคุณก็ให้อภัยท่านเสีย ไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นด้วยหรือยอมรับความหยาบคาย แต่หมายความว่าคุณทำหูทวนลมเสียไม่ยอมให้ความหยาบคายของท่านมาทำให้คุณต้องเสียใจหรือน้อยเนื้อต่ำใจ ทุกครั้งที่คุยกัน ควรชวนฝึกสติ ฝึกรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน อย่างน้อยครั้งละครึ่งหรือหนึ่งนาทีก็ยังดี นี่เป็นสิ่งดีที่สุดที่ลูกกตัญญูจะให้กับพ่อแม่ได้
4. ถ้าคุณไม่มีเวลาดูแลท่านเพราะคุณเองก็ต้องทำมาหากิน หรือถ้าคุณไม่มีพลังในการดูแลท่าน แบบว่าเข้าใกล้กันทีคุณเซ็งชีวิตไปสามวัน การเอาผู้สูงอายุไปไว้ใน nursing home ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับ ราคาเนอร์ซิ่งโฮมในบ้านเราก็ไม่ได้แพง เดือนละ 35000 บาทก็พอหาได้แล้ว (ไม่นับค่าแพมเพิร์สนะ นั่นเป็นส่วนที่แพงที่สุดที่ต้องจ่ายไม่ว่าอยู่บ้านหรืออยู่เนอร์สซิ่งโฮม)
5. ไม่มียาอะไรรั กษาโรคชรา โรคกล้ามเนื้อลีบ โรคสมองเสื่อม และอาการเหม่อไร้สติได้ นอกเหนือไปจากการออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีพืชเป็นหลักอย่างหลากหลาย การออกแดด การฝึกสติสมาธิ และการจัดการการนอนหลับให้ดี ซึ่งทั้งหมดนี้ตัวผู้สูงอายุต้องทำด้วยตัวเอง ลูกหลานช่วยอะไรได้น้อยมาก ดังนั้นยาอะไรก็ไม่สำคัญดอก อยากกินยาอะไร ไม่อยากกินยาอะไร เอาแบบที่ชอบได้เลย
6. ข้อนี้ไม่ใช่สำหรับคุณในฐานะลูกนะครับ แต่ผมแถมให้สำหรับผู้สูงวัยทุกท่านที่เป็นแฟนบล็อกนี้ ว่าสิ่งที่มาพร้อมกับชราภาพคือการที่ใจจะ "เหม่อ" ไปกับความคิดอัตโนมัติที่เกิดจากการรีไซเคิลความจำเก่าๆ ชีวิตจะเหมือนผีซอมบี้ที่ถูกกำกับโดยประสบการณ์ในอดีต ความเหม่อนี้จะครอบครองพื้นที่ในใจไปมากขึ้นๆ จนมากถึงระดับ 90% หรืออาจจะ 100% สำหรับบางคน มากเสียจนสิ่งที่เรียกว่า "สติ" นั้นแทบจะหล่นหายไปจากพจนานุกรมเลยทีเดียว หากการเป็นผู้สูงวัยจะมียุทธศาสตร์สำคัญอะไรในชีวิตเหลืออยู่บ้าง ก็คือการตั้งอกตั้งใจแข็งขืนไม่ให้เหม่อไปกับความคิดซ้ำซากเดิมๆนี่แหละ ยุทธวิธีหรือเครื่องมือสำคัญก็คือโมเมนต์ที่ "ฉุกคิด" ให้รีบฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากตรงนี้ ใช้สูตรที่ผมเคยเขียนไปแล้วบ่อยๆก็ได้ ทันทีที่ฉุกคิดขึ้นได้ว่ากำลังเหม่อ ให้ STOP
S Stop หยุด
T Take deep breath หายใจเข้าลึกๆ
O Observe สังเกตเข้าไปในใจตัวเอง มองดูความคิด จนความคิดงวดลง
P Proceed เดินหน้าใช้ชีวิตกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไปอย่างมีสติ
หากทดลองทำแล้วรู้สึกอึดอัดติดขัดก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่ามันทำไม่ได้ เพราะความเหม่อมันมีพลังโมเมนตั้มอันหนักแน่นของมันอยู่ การจะเข้าไปหยุดมันแบบจะให้หยุดกึกย่อมจะยากเป็นธรรมดา แต่อย่าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมยืนยันว่าการฝึกสติแม้ในวัยชราแล้วนี้มันทำได้ มันเป็นไปได้ ขอให้ยืนหยัดทู่ซี้ฝึกไป เพราะผมเองก็เคยเป็นโรคเหม่อมาตั้งแต่ก่อนเข้าวัยชราด้วยซ้ำ ก็อาศัยการฝึกสตินี่แหละจนเอาชนะความเหม่อได้ การเป็นคนชรานี้ หากไม่เป็นคนเหม่อ มีอะไรเกิดขึ้นในใจแล้วรู้ได้ทันที ชีวิตในวัยชราจะเป็นชีวิตที่สงบเย็นและสร้างสรรค์อย่างเกินความคาดหมายเลยทีเดียว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์