ทำงานโค้ชมากขึ้นแล้วชักอินกับแนวทางจิตวิญญาณจนเกิดอาการหน่ายโลกวุ่นวาย

โสกเขา


เรียน อ.สันต์ ที่เคารพ ค่ะ

    หลังจากเรียนจบคอร์ส หนูมาเริ่มทำโค้ช กับคนไข้โรคอ้วนและเมตาบอลิก ที่ศูนย์โภชนาการ รพ. ... ตอนนี้คนไข้ในมือหนู 13 คน และน่าจะมากขึ้นๆๆๆ หนูมีโค้ชแทบทุกวัน 1-3 คน/วัน โดยรวม มันมีความสุขมากค่ะ โดยเฉพาะตอนที่คนไข้เริ่มปรับตัวเองได้ทีละนิด และเกาะเข้าหาเป้าหมายของตัวเองจริงๆ....มันท้าทายความสามารถของโค้ชทุกครั้ง เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆค่ะ ถ้ามันเหนื่อยมากก็ชี่กง+นั่งสมาธิเติมพลังเอา ...
ประเด็นที่จะปรึกษา อ.สันต์ คือ
    (1) ตอนนี้เหมือนหนูอินเข้าไปในโลกของจิตวิญญาณมาก มันเหมือนเราใช้ตอนโค้ชเพื่อดึงให้ศิษย์เห็นตัวเองโดยเร็วที่สุด (บางคน ขึ้นกับการรับรู้) แล้วพอเรากลับมาใช้ชีวิตในโลก วุ่นวายปกติ เราจะรู้สึกไม่ใช่ที่ของเราเอามากๆเลยค่ะ...หนูควรทำอย่างไรดีให้มี switch เปิด-ปิด ได้ทั้งตอนโลกจิตวิญญาณ และโลกกายภาพอ่ะค่ะ มัน balance ยังไม่ได้ เรียนขอปัญญาจาก อ.สันต์
    (2) นอกจากนี้ยังมี noise รบกวนจากเพื่อนร่วมงานบางคนที่ไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ เขาเห็นว่าเราดื้อดึงขวางโลกไปทำไม
ด้วยความเคารพค่ะ

...................................................................

ตอบครับ

    1. ถามว่าได้ทำงานโค้ชผู้ป่วยให้เปลี่ยนนิสัยตนเองเพื่อรักษาโรคเรื้อรังได้สำเร็จโดยใช้หลักเมตตาธรรมและการยอมรับจนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะบรรลุความหลุดพ้นซะแร้ว..ว แต่ขณะเดียวกันก็เกิดอาการหน่ายโลกที่ยังมุ่งไปทางกิเลสหนากระโหลกกระลาชนิดพูดกันไม่รู้เรื่อง จะทำอย่างไรดี ตอบว่า การมุ่งไปในโลกของจิตวิญญาณคือการเปลี่ยนตัวตน (change identity) อุปมาเดิมเรามีบ้านอยู่ในกรุงเทพหลังเดียว แล้วต่อมาไปปลูกบ้านอีกหลังหนึ่งในชนบทตจว. ใหม่ๆคุณก็ต้องวิ่งรอกสองบ้าน จากอยู่บ้านกรุงเทพมากกว่าพอเกษียณก็กลายเป็นไปอยู่บ้านตจว.มากกว่า แต่ว่าอยู่บ้านไหนคุณก็ย่อมจะพูดคุยกับเพื่อนบ้านด้วยภาษาค่านิยมของถิ่นนั้น คุณย่อมจะไม่เอาเรื่องวัวเพื่อนบ้านทะลายรั้วเข้ามากินถั่วของคุณที่บ้านต่างจังหวัดมาปรับทุกข์กับเพื่อนบ้านที่กรุงเทพฉันใด การใช้ชีวิตในสังคมขณะที่คุณมุ่งไปในโลกของจิตวิญญาณก็ฉันนั้น 

    อีกประการหนึ่ง องค์ประกอบที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในโลกของจิตวิญญาณมีแค่สองอย่างคือกายและใจของเราเอง แค่มีสองอย่างนี้คุณก็สบายบรื๋อแล้ว อย่างอื่นที่อยู่นอกกายและใจของคุณนั้นไม่เกี่ยวเลย เพื่อนร่วมงานเขาจะมีทัศนะขวางหรือวิ่งตามโลกอย่างไรก็ไม่เกี่ยวเลย เพราะสิ่งภายนอกทุกอย่างล้วนต้องมาตั้งลำปรับทิศทางที่ใจของเราก่อนทั้งสิ้นก่อนที่จะเกิดเป็น "ชีวิต" ของเราซึ่งก็คือประสบการณ์ในใจของเราทีละช็อตทีละช็อต ก็ในเมื่อเพื่อนร่วมงานเขาจะพูดคิดทำอะไรมันก็ล้วนไม่เกี่ยว แล้วทำไมคุณหงุดหงิดละ ปัญหามันอยู่ที่ไหนกันนะ มันก็อยู่ที่ใจของคุณนั่นแหละ คุณยังไม่เจนจัดที่จะรับมือความคิดที่ในใจของคุณเอง โดยที่มันไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรือสิ่งนอกตัวอย่างอื่นเลย แค่คุณหัดขยันดูใจของคุณเมื่อมีสิ่งเร้าข้างนอกมากระทบ ดูอยู่นิ่งๆ รับรู้ความปั่นป่วนในใจ ยอมรับความปั่นป่วนนั้น แค่เนี้ยะ ใจของคุณก็จะค่อยๆเปิดกว้างขึ้นๆจนไม่มีใครเป็นคนขวางโลกในสายตาของคุณอีกต่อไป

      2. ถามว่าเมื่อถูกเพื่อนร่วมงานมองเราอย่างไม่เข้าใจหรือตำหนิติเตียนว่าทำไมเราไม่ทำตัวให้เหมือนคนอื่น เราจะทำอย่างไรดี ตอบว่าความอยากเหมือนคนอื่นเป็นการดิ้นรนของอัตตาของเรานะ อัตตา (identity) คือชุดของ "ความคิด" ที่ชงขึ้นมาเพื่อปกป้องและเชิดชูสำนึกว่าเรานี้เป็นบุคคลที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีมีการศึกษาดีเป็นที่ยอมรับคนหนึ่ง ชื่อว่าความคิดมันมีรากที่มาสามทางเท่านั้นคือสัญชาติญาณ (instinct) เชาวน์ปัญญา (intellect) และปัญญาญาณ (intuition) ความอยากให้คนอื่นมองว่าเราเหมือนเขาเป็นสัญชาติญาณที่จะให้เราปลอดภัยได้รับการยอมรับ สัตว์ฝูงทุกชนิดย่อมมีสัญชาติญาณตัวนี้คอยกำกับเป็นธรรมดา เมื่อความคิดที่อัตตาชงขึ้นนี้โผล่มาในหัวของเรา เราก็นิ่ง รับรู้ ยอมรับ ว่ามันมาจากไหน มันมาเพราะอะไร แต่ขณะเดียวกันก็อย่าลืมว่าเรากำลังทำงานเปลี่ยนตัวตน (change identity) อยู่ไม่ใช่หรือ ก็ที่คุณเรียกว่าการเดินในเส้นทางจิตวิญญาณนั่นแหละคือกระบวนการเปลี่ยนตัวตน เปลี่ยนจากสำนึกว่าตนเป็นบุคคลที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีคนหนึ่งไปเป็นแค่ความว่างเปล่าที่สังเกตและรับรู้ทุกช็อตของประสบการณ์ในใจอย่างยอมรับและเข้าใจ ดังนั้นคุณจะไปเดือดร้อนอะไรละ ก็แค่มองให้ออกว่าเจอเข้าแบบนี้ดูซิเจ้าตัวตนเก่าเขาดิ้นพราดๆรับไม่ได้ แต่ตัวตนใหม่เขาเฉยเขารับได้แบบไม่เดือดร้อนอะไร มองให้เห็นอย่างนี้กระบวนการเปลี่ยนตัวตนของคุณก็จะดำเนินไปได้เร็วขึ้น ดีซะอีก

    3. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมต้องการแสดงความชื่นชมตัวคุณ ที่คุณมาเรียนวิชาโค้ชแล้วเอามันไปใช้ได้อย่างมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโดยที่ตัวคุณเองก็มีความสุขกับการโค้ชไปด้วย คำบอกเล่าของคุณแสดงว่าคุณเข้าถึงและใช้ยุทธศาสตร์ของการโค้ชทั้งสี่ยุทธศาสตร์ (CAPE) อย่างได้ผล

    สำหรับคนยังไม่รู้จักวิชาโค้ชสุขภาพผมอธิบายยุทธศาสตร์ทั้งสี่ว่ามีดังนี้

C - Compassion คือ เมตตาธรรม
A - Acceptance คือ การยอมรับศิษย์ ตามที่เขาเป็น
P - Partnership คือ การเป็นหุ้นส่วนที่เสมอภาคกันทำงานด้วยกันสู่เป้าหมายเดียวกัน
E -Evocation คือการคอยเตือนคอยชี้ให้เห็นว่าใจของศิษย์นั้นแท้จริงแล้วเขาบอกว่าเขาอยากได้อะไร จะได้พากันมุ่งไปที่สิ่งนั้นโดยไม่หลงทาง

    ทุกวันนี้ที่มวกเหล็กผมเปิดสอนหลักสูตรโค้ชวิถีชีวิต (Certified Lifestyle Coaching - CLC) ให้กับสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทยด้วย คนที่มาเรียนก็คือบรรดานักวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขต่างๆที่โดยหน้าที่ปกติก็ต้องช่วยเหลือผู้ป่วยเปลี่ยนนิสัยเพื่อรักษาโรคเรื้อรังของตนอยู่แล้ว ที่ผมมาเปิดสอนหลักสูตรนี้ก็เพื่อให้การลงหลักปักฐานแนวทาง "เวชศาสตร์วิถีชีวิต" ในเมืองไทยที่ผมตั้งใจและพยายามทำเรื่อยมามีโอกาสที่จะสำเร็จมากขึ้น ส่วนจะสำเร็จจริงแค่ไหนมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่คนสองคน หนึ่ง คือตัวผู้ป่วยโรคเรื้อรังเองที่จะลงมือเปลี่ยนนิสัยตัวเองเพื่อรักษาโรคให้ตัวเอง สอง ก็คือโค้ชที่จะใช้ความเจนจัดในวิชาชีพของตนช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเปลี่ยนนิสัยของเขาเองได้สำเร็จ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

ยังวนเวียนอยู่ในหลุม

แผนเกษียณแบบเกาะบิทคอยกินจนสิ้นชาติ

หมอสันต์กราบขออภัย และขอเปิดรับสมัคร์แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY 33) ใหม่

ถึงเวลาที่ต้องพูดโต้งๆแล้ว ว่าอาหารพืชเป็นหลักเป็นอาหารสำหรับโรคไตเรื้อรัง

การต่อสิทธิประกันสังคมกับการใช้สิทธิบัตรทองอย่างไหนดีกว่ากัน