ลูกหลานอายุ 19 ปีประกาศอิสรภาพไม่ยอมเรียนหนังสือ



 ส่งจาก iPad ของฉัน

         สวัสดีค่ะ
ติดตามอ่านบทความของอาจารย์มานาน นึกว่ารู้เรื่องเด็กๆยุคนี้บ้างแล้ว แต่วันนี้ไปไม่เป็น เพราะได้รับคำปรึกษาว่าหลานชายอายุ 19 ปี ที่กำลังเรียนวิชาจิตวิทยาอยู่ ประกาศว่าไม่เรียนละ เพราะอยู่เฉยๆ กินๆนอนๆ ไม่ต้องยุ่งกับใครก็สบายดีแล้ว และเค้าคิดว่าจะอยู่ถึง 18 ปีก็พอแล้วชีวิตนี้ จากนี้ไปจะเป็นจะตายยังไงก็ช่างมัน นี่อยู่แถมมาให้ตั้ง 1 ปีแล้ว อย่ามาวุ่นวายกับเค้าได้มั้ย
    คิดว่าน่าจะเป็นอาการซึมเศร้า เพราะเด็กไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ยังไง ก่อนนี้เป็นลูกและหลานคนเดียวของบ้าน ได้รับการดูแลทุกสิ่งจนไม่ต้องคิดอะไรเลย เด็กขอออกจากบ้านเพื่อไปเรียนที่กรุงเทพ และเลือกเรียนสาขาจิตวิทยาด้วย นี่เรียนได้ไม่ทันครบปี ได้ผลอย่างนี้ค่ะ เอาไงดีคะ เค้าไม่คิดว่าต้องการความช่วยเหลือใดๆ คุณแม่ปรึกษาจิตแพทย์แล้ว บอกว่า ถ้าเด็กไม่มาคุยด้วยก็ช่วยไม่ได้??

           ด้วยความเคารพ นับถือ ...

...............................................................

ตอบครับ

    ก่อนตอบจดหมายนี้ผมขอชี้ประเด็นให้กระจ่างก่อนนะ ว่าปัญหานี้เป็นปัญหาของคุณแม่กับคุณยาย ไม่ใช่ปัญหาของตัวเด็ก ดังนั้นผมจะแยกคำตอบออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่ง ปัญหาส่วนของคุณแม่กับคุณยายควรทำอย่างไร ส่วนที่สอง อนาคตของเด็กวัยรุ่นๆนี้เขาจะไปทางไหนกัน  

    ส่วนที่ 1. ส่วนที่เป็นปัญหาของคุณแม่และคุณยาย

    ประเด็นที่ 1. การสำคัญผิดว่าการมีลูกคือการเป็นเจ้าของชีวิตหนึ่งชีวิต จริงอยู่เราอาจเรียกร้องสิทธิว่าเราเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตได้ แม้ว่าในความเป็นจริงยังมีปัจจัยร่วมๆให้กำเนิดอีกหลายอย่างเช่น อากาศ น้ำ อุณหภูมิ อาหาร ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นต้น แต่เอาเถอะจะถือว่าเราเป็นผู้ให้กำเนิดแต่ผู้เดียวก็ไม่ว่า แต่เราไม่สามารถเรียกร้องสิทธิความเป็นเจ้าของชีวิตได้เลย เพราะชีวิตคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจของแต่ละคน ซึ่งเราไม่มีอำนาจอิทธิพลใดๆจะไปควบคุมบังคับได้ ความพยายามหรือความคาดหวังที่จะให้ลูกได้อย่างที่ใจเราอยากได้นั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่เห็นๆเหน่งๆตั้งแต่เริ่มแล้ว ในประเด็นนี้จึงไม่มีวิธีอื่นใดนอกจากต้องเปลี่ยนโลกทัศน์ของคุณแม่และคุณยายจากที่อยากให้เขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น มาเป็นโลกทัศน์ยอมรับเขา ตามที่เขาเป็น..จบข่าว

    ประเด็นที่ 2. การสำคัญผิดว่าความเป็นห่วงอัตตาของเราเองคือความรักลูก พูดแบบบ้านๆก็คือการเห็นว่าลูกคือเครื่องเชิดหน้าชูตาของพ่อแม่ ถ้าลูกไม่ได้ดีเราซึ่งเป็นพ่อแม่ก็อับอายหรือต้องทนรับฟังคำปรามาสของคนอื่นในลักษณะ "เลี้ยงลูกไม่เป็น" หรือ "งามหน้าแล้วไหมละ" เราจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ลูกได้ดี อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นความรักที่มีเงื่อนไข

    ความรักลูกที่แท้จริงต้องเป็นความรักความปรารถนาดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าลูกจะเลือกดำเนินชีวิตไปทางไหน จะทำตามที่คุณแนะนำหรือไม่ทำ คุณก็ยังมีความรักและความปรารถนาดีต่อเขาเสมอต้นเสมอปลาย คุณปล่อยให้เขาดำเนินชีวิตไปตามวิถีที่เขาเลือกโดยไม่เกี่ยงว่ามันจะไปคนละทางกับวิถีที่คุณแนะนำหรือไม่ คุณอาจแอบช่วยเหลือเขาโดยไม่ให้เขารู้ตัวบ้างก็ได้ หรือเมื่อใดที่เขาซมซานกลับมาขอความช่วยเหลือจากคุณตรงๆคุณก็ให้แก่เขาอย่างไม่มีเงื่อนไขถ้าหากการให้นั้นมันอยู่ในขอบเขตที่คุณมีจะให้ได้ อย่างนี้จึงจะเป็นความรักลูกที่แท้จริงอย่างไม่มีเงื่อนไข  

    ประเด็นที่ 3. การที่พ่อแม่ไม่รู้วิธีใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข เป็นเหตุให้ลูกอยากหนีให้พ้นอกพ่อแม่เร็วๆ บ่อยครั้งที่พ่อแม่เป็นคนดีมีเกียรติมีความรับผิดชอบสูงแต่ลูกหนีห่างมิใยที่พ่อแม่จะหวังดีอยากให้ลูกได้ดิบได้ดีสักแค่ไหนลูกก็ยังหนีๆๆๆ หนีลูกเดียว เพราะเขาเห็นๆอยู่หลัดๆว่าวิถีชีวิตแบบของพ่อแม่มันเป็นวิถีชีวิตที่ซังกะบ๊วยที่เขารับไม่ได้ สู้เขาไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า 

    ตัวชี้วัดชีวิตที่ดีมีตัวเดียวคือความสงบเย็นและเบิกบาน หากใครมีชีวิตที่สงบเย็นและเบิกบาน ยิ้มได้ หัวเราะได้ คนนั้นแหละมีชีวิตที่ดี ส่วนจะมีอาชีพอะไรมีการศึกษาแค่ไหนรับผิดชอบสังคมหรือการงานดีแค่ไหนนั้นไม่ใช่ประเด็น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ไก่ กา หมา แมว ก็ยังรู้ความข้อนี้และมุ่งหน้าที่จะมีชีวิตที่สงบเย็นและเบิกบาน มันจะหนีที่เดิมไปหาที่ใหม่ทันทีหากมันยังไม่ได้สิ่งนี้ ดังนั้นหากลูกหนีไปจากคุณด้วยเหตุนี้ก็อย่าไปตามเขากลับมาเลย เพราะคุณรักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ใช่หรือ สิ่งที่คุณพึงทำคือหันมารับมือกับประสบการณ์ในใจของคุณเองแต่ละช็อต แต่ละช็อต ให้มันเป็นไปด้วยความสงบเย็นและเบิกบานดีกว่า วิธีนี้มีโอกาสที่ลูกเขาจะกลับมาหาคุณมากกว่า ถึงหากเขาไม่กลับมาแต่แค่เขาได้ข่าวว่าพ่อแม่มีความสงบเย็นและเบิกบานเขาในฐานะลูกก็มีความสุขแล้วโดยที่คุณไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญอะไรเขาเลย นี่เป็นการเปลี่ยนมุมมองจากมุมเดิมที่ว่าถ้าลูกมีความสุขพ่อแม่จึงจะมีความสุข มาเป็นมุมมองใหม่ที่ว่าถ้าพ่อแม่มีความสุขแล้วลูกจึงจะมีความสุข

    ส่วนที่ 2. ส่วนที่เป็นปัญหาของเด็กวัยรุ่นเอง

    ต่อไปนี้เป็นแคแรคเตอร์ของเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่เท่าที่ผมสกัดได้จากการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ป่วยของผมเองจำนวนมากที่มีความทุกข์กับลูกบ้าง กับหลานบ้าง

    ประเด็นที่ 1. เด็กวัยรุ่นสมัยใหม่ มีจำนวนมากที่ไม่มีความสุขในชีวิต ผมเดาว่าสาเหตุเป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสได้สำรวจค้นหาหรือรับรู้ความมหัศจรรย์และลองผิดลองถูกกับสรรพสิ่งในชีวิตซึ่งเป็นปัจจัยใหญ่ที่จะทำให้ชีวิตคนเรามีความสุข เขาได้แต่ต้องจำยอมเรื่อยมาเพราะสัญชาตญาณความกลัวไม่ปลอดภัยทำให้เขาไม่กล้าแหกคอกจากพ่อแม่ จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถกิน นอน ขับถ่าย สืบพันธ์ ได้ด้วยตัวเองแล้ว เขาก็กล้าจะหนีจากพ่อแม่ไปสำรวจค้นหาในสิ่งที่เขาอยากสำรวจทันที ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปได้ดี แต่มีบ้างเป็นส่วนน้อยที่จะหนีสิ่งที่อยากหนีคือความคิดของตัวเองแต่หนีไม่พ้น กลับพลัดหลงไปติดหล่มจมโคลนอยู่กับยาเสพย์ติดแทน

    พูดถึงยาเสพย์ติด การอยากหนีความคิดของตัวเองแต่หนีไม่เป็นทำให้เด็กวัยรุ่นจำนวนหนึ่งหันเข้าหาสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางที่ช่วยลดความคิดได้ชั่วคราว ทั้งแอลกอฮอล์ ยาเสพย์ติด ยาหลอนประสาท และยารักษาโรคซึมเศร้าและโรคกังวลที่แพทย์พากันจ่ายให้เด็กๆกินเป็นว่าเล่น อัตราการใช้ยาในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเดาว่าถึงจุดหนึ่งจะมียาที่ออกฤทธิ์ลดความคิดได้ดีมากโดยไม่ทำให้เสพย์ติด (เช่น psylocibin ในเห็ดเมา เป็นต้น) ออกมาขายอย่างถูกกฎหมาย ถึงเวลานั้นไม่ต่ำกว่า 70% ของวัยรุ่นทั่วโลกจะเสพย์ยาตัวนี้กันทั่วหน้าเหมือนที่คนทั่วไปกินข้าว  

    ประเด็นที่ 2. เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ไม่เห็นประโยชน์ของการไปโรงเรียน ไปมหาลัย การได้ปริญญา เพราะรู้ว่าปริญญาได้มาก็เอาไปใช้ทำอะไรไม่ได้ และสิ่งที่สอนกันในมหาลัยนั้นงี่เง่ากว่า fake news ในอินเตอร์เน็ทเสียอีก มหาลัยสำหรับเด็กจึงเป็นแค่ที่สำหรับคนไม่รู้จะไปทำอะไรอย่างอื่นในชีวิตแล้วอย่างน้อยถือว่าได้ทำอาชีพรับจ้างเรียนหนังสือก็ยังดีกว่าอยู่เปล่าๆให้พ่อแม่มาคอยกดดัน อีกพวกหนึ่งมองมหาลัยเป็นที่จะได้ไปรู้จักและเฮฮาปาร์ตี้มีเซ็กซ์หรือถุนยากับเพื่อนๆ แต่ก็มีเด็กจำนวนนิดหน่อยที่มีความใฝ่ฝันอยากทำอาชีพที่กฎหมายบังคับว่าต้องเรียนจบเฉพาะทางเช่น แพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักกฎหมาย ซึ่งยอมบังคับตัวเองให้เรียนทางด้านนั้นจริงจังโดยหวังให้จบได้ปริญญา

    ประเด็นที่ 3. เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ส่วนใหญ่ไม่เห็นประโยชน์ของการต้องทำงานหรือการต้องหาเงิน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาถูกเลี้ยงมาแบบทุกอย่างคนอื่นทำให้หมดจนตัวเขาเองแก้ปัญหาอะไรเองไม่เป็นทั้งสิ้น แม้ความใฝ่ฝันส่วนตนก็จึงไม่กล้ามี คือเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเสมือนผู้ไร้ความสามารถจึงไม่กล้าแม้แต่จะคิดใช้ความสามารถไปทำอะไร 

    สาเหตุอีกอย่างหนึ่งนั้นคงเป็นเพราะเขาไม่รู้จะหาเงินไปทำไมด้วย เพราะเด็กจำนวนมากคิดว่าลำพังเงินที่พ่อแม่หาทิ้งไว้เขาใช้จนตายก็ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ขยันมากไปก็รังแต่จะทำให้โลกเละเทะเร็วขึ้นเปล่าๆ ดังนั้นสังคมในวันข้างหน้าเมื่อรุ่นนี้โตเป็นผู้ใหญ่จะไม่ค่อยมีใครคิดอ่านทำงานทำการอะไร ได้แต่กินๆ อยู่ๆ นั่งๆ นอนๆ และมีเซ็กซ์กันไปวันๆ ปล่อยให้หุ่นยนต์ทำงานแทนหมด ส่วนคนจริงๆนั้นหุ่นยนต์เลี้ยงไว้เพื่อให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้เลือกหุ่นยนต์หรือสมุนของหุ่นยนต์มาเป็นรัฐบาล ดังนั้นอนาคตของคนรุ่นลูกหลานจะเป็นอย่างไรต่อไป โน่น..ท่านต้องไปถามหุ่นยนต์เอาเอง

    ประเด็นที่ 4. เด็กวัยรุ่นสมัยใหม่ไม่สนใจที่จะเป็นคนดีจนตัวเองต้องเคร่งเครียดเพื่อสังคม หลักจริยธรรมและคุณธรรมวัยรุ่นเขาถือว่าคือสิ่งที่มีให้คนอื่นเขาทำกัน ยิ่งคนอื่นขยันทำให้มากๆยิ่งดีแต่สำหรับตัวเองนั้นขอสงวนสิทธิ์ที่จะแหกกฎเพื่อเอาตัวรอดยามคับขันได้เป็นครั้งคราว โดยไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งสิ้น

    ประเด็นที่ 5. แม้จะระอาผู้ใหญ่จนหมดอาลัยตายอยากกับอนาคตของสังคม แต่ลึกลงไปในใจของเด็กวัยรุ่นสมัยใหม่ก็ยังมีด้านที่น่ารักของมนุษย์อยู่ครบถ้วน การได้รับการเลี้ยงดูมาด้วยความรักและเอาใจใส่จากพ่อแม่ทำให้เด็กวัยรุ่นสมัยใหม่เป็นคนมีเมตตาธรรมและรักโลก สถิติผู้บริจาคเลือดให้กาชาดมากที่สุดคือกลุ่มคนอายุน้อย สินค้าที่ผลิตด้วยจิตสำนึกรักโลกจะขายดีในหมู่วัยรุ่น เป็นต้น ความจริงอันนี้ทำให้พอมองเห็นว่าโลกในมือของพวกเขาอาจไม่เลวร้ายมากนัก

    กล่าวโดยสรุป การที่เด็กๆลูกๆหรือหลานๆเขาประกาศอิสรภาพไม่ขอเป็นเมืองขึ้นของใครอีกต่อไปนั้นช่างเขาเถอะเพราะมันเป็นชีวิตของเขา ส่วนที่คุณแม่และคุณยายเป็นทุกข์นั้นเป็นปัญหาของคุณแม่กับคุณยายไม่ใช่ปัญหาของเด็ก ก็ให้คุณแม่กับคุณยายแก้ปัญหาของตัวเองเอาเองก็แล้วกัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

ยังวนเวียนอยู่ในหลุม

แผนเกษียณแบบเกาะบิทคอยกินจนสิ้นชาติ

หมอสันต์กราบขออภัย และขอเปิดรับสมัคร์แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY 33) ใหม่

ถึงเวลาที่ต้องพูดโต้งๆแล้ว ว่าอาหารพืชเป็นหลักเป็นอาหารสำหรับโรคไตเรื้อรัง

การต่อสิทธิประกันสังคมกับการใช้สิทธิบัตรทองอย่างไหนดีกว่ากัน