ไปตรวจยีน APOE-4 แล้วหมอจะให้ฉีด Brain Peptide รักษาอัลไซเมอร์

 


เรียนคุณหมอสันต์

พี่ ... RD 2 ค่ะ ขอรบกวนเรียนถามคุณหมอ เนื่องจากไปตรวจสุขภาพกับคลีนิค Anti Aging เค้าแนะนำให้ตรวจ Apo E  เพื่อดูความเสี่ยงการเป็นอัลไซเมอร์  ผลตรวจได้ E 4  ซึ่งแพทย์ที่อ่านผลบอกว่าเสี่ยงในการจะเป็นอัลไซเมอร์กว่าคนทั่วไป 15-20 เท่า
และแนะนำเรื่องการนอนให้ดีรวมทั้งทำ IF 8/16  มีอาหารเสริมหลายชนิดเพื่อปรับฮอร์โมน ไม่ทราบรายละเอียดของอาหารเสริมที่ให้ซื้อมากนัก เพราะคลีนิคทำขึ้นมาเองในราคาค่อนข้างแรงพร้อมทั้งแนะนำ(กึ่งบังคับเล็กๆโดยพยาบาล)ให้ฉีด Brain Peptide 3 amp ในขั้นต้น 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3 สัปดาห์ และยังต้องฉีดต่อไปอีกถ้าผลเลือดหลัง 6 สัปดาห์ยังไม่สมบูรณ์ ในราคาเข็มละ 10,800 บาท (หนึ่งหมื่นแปดร้อยบาท) คำถามคือ
1. ยาฉีด Brain Peptide 3 amp ตัวนี้มีผลดีจริงไหมคะ มีผลวิจัยรองรับหรือไม่ หรือทำเพียงเพื่อให้สบายใจหายกังวล
2. การให้อาหารเสริม Bio Identical Progesterone 100 mg  เพื่อปรับความสมดุลของฮอร์โมน ควรทานหรือไม่คะ
กราบขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างยิ่งค่ะ  ได้คุยกันกับกลุ่ม RD อยากให้คุณหมอจัดคอร์สผู้สูงวัยว่าต้องทานอาหาร ออกกำลังกาย ทานอาหารเสริมแบบไหนที่เหมาะกับวัย  รู้สึกเลยว่าการไปคลีนิคที่คิดว่าจะได้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง กลับกลายเป็นเหมือนจุดอ่อนทางการค้าที่คนกลุ่มหนึ่งเค้าเตรียมไว้เพราะวัยนี้แล้วตรวจยังไงก็ต้องเจอจุดที่ต้องรักษา หรือป้องกันแน่นอน ไม่รู้จะหันไปพึ่งที่ไหนเลยค่ะอยากให้มีคอร์ส อบรม หรือคุณหมอจะเขียนเป็นหนังสือจะเป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวงค่ะ

ด้วยความเคารพ

......................................................

ตอบครับ 

ผมตั้งประเด็นคำถามให้มันครอบคลุมนะ เผื่อท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย

    1. ถามว่าการตรวจยีน APOE นี้มันคืออะไร ตอบว่ามันคือระหัสพันธุกรรมในเซลล์ของเราที่ทำหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญไขมัน ชื่อเต็มของมันคือ Apoliproprotein E ซึ่งยังแยกย่อยไปตามความผันแปรที่บางจุด (alleles) ซึ่งปัจจุบันนี้พบความผันแปรสามแบบคือ E2 E3 E4 ยีนตัวนี้ดังขึ้นมาจากการพบความสัมพันธ์ว่าว่าหากเป็นความผันแปรแบบ E4 จะมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคอัลไซเมอร์เชิงพันธุกรรมมากขึ้น

    2. ถามว่าการตรวจพบ APOE-4 แสดงว่าโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์มากสุดๆแน่นอนใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ ต้องดูให้ลึกลงไปถึงว่าความผันแปรของชิ้นส่วนของยีนนั้นถ่ายทอดแบบพันธุ์แท้ (homozygous คือ E4/E4) หรือพันธ์ทาง (heterozygous เช่น E2/E4 หรือ E3/E4) ถ้าเป็นพันธุ์แท้ก็มีความสัมพันธ์กับโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์สูง กล่าวคือถ้าคุณเป็น APOE4 แบบพันธุ์แท้โอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 10 เท่าจริง แต่หากเป็น APOE4 แบบพันธ์ุทางโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป 2-3 เท่าเอง

    3. ถามว่าถ้าโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์จะสูงกว่าชาวบ้านตั้ง 10 เท่า ชีวิตมันก็ต้องจบลงด้วยการเป็นอัลไซเมอร์ค่อนข้างแน่นอนใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่หรอกครับ คุณอย่าไปสติแตกกับคำขู่ด้วยการนำเสนอทางสถิติเพื่อขายสินค้า เพราะพ่อค้าเขามีวิธีพูด เช่น

    ถ้าจะขู่ให้รีบซื้อสินค้าของเขา เขาจะพูดว่าคุณมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าชาวบ้าน 10 เท่า หรือไม่ก็พูดว่าคนที่มียีน APOE4 พันธุ์แท้อย่างคุณนี้ (สมมุติว่าคุณเป็นแบบพันธุ์แท้) จะมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์เกิน 50% ฟังดูแล้วขนหัวลุกใช่ไหม แต่เขาไม่ได้บอกคุณให้หมดว่าสถิตินั้นเขาไปตั้งนับกันที่อายุ 85 ปีเป็นต้นไป ถ้าเป็นหมอที่น่ารักหน่อยเขาจะพูดว่าคุณอย่ารีบกังวลให้มากไปเลย เพราะ 50% ของคนที่มียีนพันธุ์แท้อย่างคุณนี้จะไม่มีอาการป่วยแบบอัลไซเมอร์เลยจากนี้ไปจนอายุ 85 ปี เห็นแมะ พูดสองแบบ ขายของได้มากน้อยต่างกัน

    4. ถามว่าการฉีด brain peptide รักษาอัลไซเมอร์ได้จริงไหม ตอบว่าไม่รู้ครับ ตอนนี้รู้แต่ว่ามันลดการสะสมแป้งอะไมลอยด์ในสมองหนูทดลองได้ ในหนูนะ ไม่ใช่ในคน แต่ในคนจะเป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้ ผมอธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง คืออัตลักษณ์ของโรคอัลไซเมอร์ในเนื้อสมองมีสองอย่างคือ (1) มีการสะสมแป้งอะไมลอยด์เป็นขยะขึ้นในเนื้อสมอง (2) มีโปรตีนผิดปกติชื่อเทา (tau) ลักษณะขยุกขยิกยัดอยู่ในเนื้อสมอง การวิจัยยาก็จึงมุ่งไปที่การหาทางเอาทั้งสองอันนี้ออกจากสมอง โดยเดาล่วงหน้าว่าหากทำได้จะทำให้โรคอัลไซเมอร์ดีขึ้น แต่ที่แน่ๆ ณ ขณะนี้ยังไม่มียาอะไรทำให้โรคอัลไซเมอร์ดีขึ้นอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังเลย

    5. ถามว่าการฉีด brain peptide ปลอดภัยไหม มีงานวิจัยรับรองไหม ตอบว่างานวิจัยความปลอดภัยการฉีด brain peptide ในคนกำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง ยังไม่มีผลสรุป ส่วนใหญ่เป็นการทดลองฉีดรักษามะเร็งสมอง ข้อมูลเท่าที่มียังไม่พอที่ผมจะตอบคำถามข้อนี้ได้ครับ ถ้าใครอยากฉีดก็ให้ฉีดแบบอาสาสมัครกล้าตายเพื่อมนุษย์ชาติ ความตายหรือความทุพลภาพของคุณจะได้เป็นข้อมูลให้อนุชนรุ่นหลัง ในประเทศไทย brain peptide ยังไม่ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการให้ใช้ในคน เพราะหลักฐานความเสี่ยงและประโยชน์ยังไม่พอ ที่ฉีดๆกันอยู่นั้นคือแอบฉีด แต่แพทยสภาก็หลับตาเสียข้างหนึ่ง คืออยากแอบฉีดก็แอบฉีดไปเหอะ อย่ามีเรื่องงามหน้าขึ้นมาละกัน

    ในเรื่องการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีห่ามๆหรือวิธีที่หลักฐานวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจนนี้ไม่ใช่ว่าผมจะต่อต้านตะพึดนะครับ เพราะหากไม่มีใครแอบๆทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยการแพทย์ของโลกก็คงไม่เจริญก้าวหน้ามาจนถึงวันนี้ แต่สิ่งผมเสนอให้รัฐบาลหรือกระทรวงสาธารณสุขทำคือควรกำหนดพื้นที่ (เช่นเมืองท่องเที่ยว) ที่มีขอบเขตชัดเจนว่าให้ทำเรื่องพวกนี้ได้ โดยที่ฝ่ายรัฐบาลได้กลั่นกรองประสิทธิผลและความปลอดภัยมาระดับหนึ่งก่อนแล้ว แล้วประกาศให้ลูกค้าทราบว่าการทำอะไรห่ามๆแบบนี้แม้ยังไม่ใช่วิธีรักษามาตรฐานการแพทย์สากลแต่รัฐบาลไทยอนุญาตให้ทำได้ในพื้นที่ที่ขีดไว้นี้โดยที่มีหลักฐานข้อมูลความปลอดภัยอยู่ประมาณนี้นะ ความเสี่ยงที่เหลือผู้สมัครใจเป็นลูกค้าต้องรับความเสี่ยงเอาเอง จะเรียกการรักษาในกลุ่มนี้ว่าเป็น controversial but reasonably safe treatment ก็ได้ ด้วยเหตุผลว่า (1) จะได้ไม่ต้องแอบทำอะไรลับๆล่อๆกันทั้งประเทศอย่างทุกวันนี้ (2) แพทยสภาก็จะได้สบายใจไม่ต้องแกล้งหลับตาเสียนข้างหนึ่งอย่างทุกวันนี้ (3) จะได้เป็นช่องทางหารายได้เข้าประเทศด้วย (4) จะเกิดข้อมูลความก้าวหน้าทางการแพทย์เพิ่มขึ้นแบบรวดเร็วกว่าการวิจัยทางคลินิกซึ่งต้องใช้เวลานานมากเกินไปด้วย

    6. ถามว่าการไปเจาะเลือดตรวจคัดกรองยีน APOE-4 มีประโยชน์ไหม ตอบว่าไม่มีประโยชน์หรอกครับ มีแต่จะถูกเขาหลอกขายของให้ ผมเรียกว่ามันเป็นกรรมของคนรวย ก็ในเมื่อไม่ต้องตรวจก็รู้ว่าตัวเองขี้หลงขี้ลืมอยู่แล้ว ทำไมไม่วินิจฉัยว่าตัวเองเป็นโรคสมองเสื่อมเรียบร้อยแล้วและลงมือจัดการโรคนี้ด้วยตัวเองซะเลยละ ไม่ต้องเที่ยววิ่งตรวจโน่น นี่ นั่น ก่อนหรอก เพราะโรคเรื้อรังทั้งหลาย ปัญหามันไม่ใช่อยู่ที่การวินิจฉัย แต่อยู่ที่การลงมือจัดการโรค อย่าเอาแต่รำมวยตรวจนั่นตรวจนี่แต่ไม่ลงมือทำอะไรในแง่ของการจัดการโรคสักที เนื่องจากโรคเรื้อรังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง ทั้งหมดนี้ยังไม่มียารักษาให้หายได้ ตรวจวินิจฉัยยืนยันได้แน่นอนก็ใช่ว่าหมอเขาจะเสกให้หายได้ แต่มีหลักฐานวิจัยว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตคือเปลี่ยนการกินการอยู่จะทำให้โรคดีขึ้นหรือถึงกับหายได้ ซึ่งการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตนี้ไม่ใช่ว่าหมอเขาจะมาเปลี่ยนให้เรานะครับ เรานี่แหละต้องเปลี่ยนของเราเอง ดังนั้นแค่มีเบาะแสให้สงสัยว่าเราจะเป็นโรคเรื้อรังโรคใดโรคหนึ่งข้างต้นให้วินิจฉัยตัวเองไปเลยว่าเป็นโรคนั้นไปเรียบร้อยแล้วจะได้ไม่ต้องวิ่งตรวจแต่ลงมือเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเลยทันทีตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องรอให้หมอเขาวินิจฉัยยืนยันก่อนจึงค่อยเปลี่ยนตัวเองหรอก วิธีนั้นมันเป็นการหลอกตัวเองแบบหาเรื่องชกลมไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทำอะไรจริงจัง

    7. ถามว่าอาหารเสริมรักษาสมองเสื่อมที่เขาทำเองขายเองนั้นควรกินไหม ตอบว่าขึ้นชื่อว่าอาหารก็คือของที่ขายกันในตลาดอย่างเสรีไม่มีการควบคุม คุณอยากซื้ออะไรกินก็ซื้อกินได้ครับตำรวจไม่จับหรอก แต่ถามว่ามันรักษาหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ไหม ตอบว่าหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้มันยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกครับผมจึงตอบคำถามนี้ให้คุณไม่ได้ ถ้ามันสรุปได้ก็จะมีคนทำเป็นยาขายไปนานแล้ว

    8. ข้อนี้ผมแถมให้นะ งานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดย Chicago Health and Aging Project และ Rush Memory and Aging Projects ได้ใช้ตัวชี้วัดวิธีใช้ชีวิตออกมาเป็นคะแนนในหกประเด็นคือ การกินอาหารดีต่อสมอง (MIND diet ซึ่งผมเคยเขียนถึงบ่อย) การออกกำลังกาย การเลิกบุหรี่ การนอนหลับ การผ่อนคลายความเครียด และการทำกิจกรรมกระตุ้นสมอง งานวิจัยพบว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามปัจจัยด้านวิถีชีวิตเหล่านี้ ผู้ที่ปฏิบัติตามปัจจัยด้านเหล่านี้ได้ถึงสองหรือสามอย่าง มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ลดลง 37% ขณะที่ผู้ที่ปฏิบัติตามได้สี่หรือห้าอย่าง ปัจจัยเหล่านี้ลดความเสี่ยงลงได้ถึง 60% ซึ่งเหลือเชื่อ เป็นครั้งแรกที่ผลวิจัยสรุปว่าผู้ที่ใช้ชีวิตแบบเอื้อต่อการมีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมลงได้ถึง 60% ย้ำ สมองเสื่อมป้องกันได้ 60% โดยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีในหกประเด็นหลัก คือ

(1) อาหารแบบ MIND diet ซึ่งไฮไลท์สิบอย่างคือ ผักใบเขียว, ผักทั่วไป, นัท, เบอรี่, ถั่วต่างๆ, ธัญพืชไม่ขัดสี, อาหารทะเล, เป็ดไก่, น้ำมันมะกอก, เหล้าไวน์ ในภาพรวมอาหารที่ดีต่อสมองควรเป็นอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและมีความหลากหลาย ทั้งยังควรต้องเป็นอาหารที่เพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย (pre/pro biotic)

(2) การออกกำลังกาย ซึ่งต้องทำให้ถึงระดับหนักพอควร ต้องเล่นกล้ามด้วย ต้องฝึกการทรงตัวด้วย

(3) การนอนหลับ ซึ่งต้องนอนให้ได้วันละ 7 ชั่วโมงขึ้นไป

(4) การจัดการความเครียด ซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่การฝึกสติ ฝึกวางความคิด ฝึกผ่อนคลายร่างกาย ใช้ชีวิตกลางแจ้งกับธรรมชาติ ได้แดด ได้ลม

(5) การฝึกกระตุ้นสมอง ซึ่งต้องฝึกอย่างหลากหลาย เพราะสมองทำงานถึงหกด้าน คือ สติ ความจำ การคิดวินิจฉัย ภาษา การสังคม และการเคลื่อนไหว-ทรงตัว นอกจากความครอบคลุมทั้งหกด้านแล้วการกระตุ้นสมองยังควรต้องเลือกวิธีที่มีเป้าหมายชัดเจน มีความท้าทาย และมีความซับซ้อนกว่าสิ่งเดิมๆที่ทำในชีวิตประจำวันด้วย

(6) การเลิกบุหรี่

    9. แถมอีกข้อหนึ่ง ในแง่ของการใช้ชีวิต ในเชิงอาการวิทยา โรคสมองเสื่อม (ซึ่งรวมทั้งอัลไซเมอร์) แตกต่างจากโรคขี้หลงขี้ลืมเล็กๆน้อยๆ (MCI) ตรงที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่งในเจ็ดอย่าง (IADL) ต่อไปนี้ได้ คือ

(1) ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ เช่น ขับรถก็ไม่ได้ เดินไปขึ้นรถเมลก็ไม่ได้ เป็นต้น

(2) ดูแลเงินทองบัญน้ำบัญชีของตัวเองไม่ได้

(3) ดูแลจัดการหยูกยาของตัวเองไม่ได้

(4) ทำความสะอาดห้องหับที่หลับที่นอนตัวเองไม่ได้

(5) ซื้อของจ่ายตลาดเองไม่ได้

(6) ทำอาหารหรือหาอาหารกินเองไม่ได้

(7) อยู่คนเดียวไม่ได้ จะโทรศัพท์หาใครก็โทรไม่เป็นหรือหาเบอร์ไม่ถูก เป็นต้น

ดังนั้นการชลอโรคสมองเสื่อมที่ทำได้ทันทีคือการพยายามทำกิจทั้งเจ็ดอย่างนี้ด้วยตนเองไปให้ได้นานที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

ยังวนเวียนอยู่ในหลุม

แผนเกษียณแบบเกาะบิทคอยกินจนสิ้นชาติ

หมอสันต์กราบขออภัย และขอเปิดรับสมัคร์แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY 33) ใหม่

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"

การต่อสิทธิประกันสังคมกับการใช้สิทธิบัตรทองอย่างไหนดีกว่ากัน