04 สิงหาคม 2567

ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว

(ภาพวันนี้ / ไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียว เพื่อนที่ไปด้วยเป็นศิลปินเขาวาดให้)

เรียนคุณหมอสันต์

            ผมตั้งต้นทำธุรกิจ import export ทำมาได้สิบปี ปัจจัยแวดล้อมมันแย่ลง สงคราม การแข่งขัน การคดโกงไม่ชำระหนี้ ทำให้ธุรกิจของผมลำบาก ผมต่อสู้มาจนรู้สึกว่าหมดแรงแล้ว ไม่สนุกแล้ว หรือพูดตรงๆก็คือทุกข์มาก อยากจะหายตัวไปดื้อๆ แต่ในชีวิตจริงก็ทำไม่ได้เพราะยังมีลูกมีเมีย แต่ผม..ไปต่อไม่ไหวแล้ว

…………………………………………

ตอบครับ

ก่อนจะตอบคำถามของคุณผมขอพูดอะไรเรื่องเปื่อยก่อนนะ

ความเป็นจริงของทุกอย่างในจักรวาลนี้คือทุกอย่างมันดำเนินไปแบบเป็นวงจรการเกิดดับเป็นรอบๆซ้ำๆซากๆเช่นโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ หรือหนอนผีเสื้อโตเป็นดักแด้ กลายเป็นผีเสื้อ ออกไข่ แล้วตายไป และไข่นั้นก็จะกลายเป็นหนอนของรอบใหม่ เป็นต้น มนุษย์เอาวงจรเกิดดับนี้มาสร้างคอนเซ็พท์เวลา มีชั่วโมง วัน เดือน ปี อยู่ในปฏิทิน คอนเซ็พท์ปฏิทินนี้ก่อให้เกิดคอนเซ็พท์อตีต อนาคต และคอนเซ็พท์ที่ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วต้องมุ่งหน้าสร้างอนาคต ที่วาดความสำเร็จไว้ที่การได้เงิน การมีปริญญามีเกียรติมียศ การเป็นคนสำคัญ โดยอาศัย “ความอยาก” หรืออาจเรียกให้เพราะขึ้นหน่อยว่า “แรงบันดาลใจ” เป็นพลังขับดันหรือเป็นพลังชีวิตพาให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

ชีวิตแบบนี้มันไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่เราไม่เผลอลืมไปว่าปฏิทินเป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่เราสมมุติขึ้น และว่าความเป็นจริงของทุกสิ่งในจักรวาลนี้ล้วนเป็นไปตามรอบของการเกิดดับ โดยสิ่งที่เราเรียกว่าอนาคตนั้นแท้จริงแล้ว..ไม่มี หากจะมีก็มีสารัตถะจริงแท้อยู่อย่างเดียวคือความตายและการแตกดับสลายของทุกสิ่งที่เราสมมุติขึ้น แต่ปัญหาคือเรามักจะเผลอลืม แล้วมักเกิดอะไรมาสะกิดให้คิดได้ถึงความไร้สาระของสิ่งที่เราได้พยายามทำมา ซึ่งการสะกิดนี้มักเกิดในสองช่วง คือ

ช่วงที่ 1 คือช่วงกลางทาง เมื่อเราพบว่าความพยายามที่จะสร้างอนาคตนั้นช่างยากเย็นแสนเข็นฝืดเคืองฝืนความรู้สึกซะ เราอาจจะยังไม่รู้ดอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา รู้แต่ว่าหากทั้งหมดนี้เป็นการเล่นขายของตอนเราเป็นเด็ก โมเมนต์นี้คือโมเมนต์ที่เราหมดสนุกและตัดสินใจเลิกเล่นละ กลับบ้านหาแม่ดีกว่า

ช่วงที่ 2 คือช่วงปลายทาง เมื่อเราประสบความสำเร็จในการสร้างอนาคตแล้ว แต่เมื่อมาถึงจริงๆเรากลับพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราคิด มันเป็นความผิดหวังว้าเหว่ บางคนปรับตัวโดยควานหาเป้าตัวใหม่เพื่อสร้างอนาคตครั้งใหม่ เพราะได้เรียนรู้ว่าตอนกำลังสร้างมันยังสนุกพอทนได้แต่ตอนมาถึงแล้วมันทนไม่ได้ แต่บางคนรับรู้ความไร้สาระของชีวิตที่ผ่านมาไว้มากเสียจนมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะไปเล่นมันอีกรอบ

ไม่ว่าจะมาถึงตอนช่วงกลางทาง หรือช่วงปลายทาง มันก็เหมือนกันตรงที่ว่าหมดสนุกเสียแล้ว อยากเลิกเล่น กลับบ้าน หาแม่

ในสมัยที่เราเป็นเด็กเล่นขายของ มันไม่แย่มาก เพราะ (1) เรารู้ว่าเรากำลังเล่น และที่เราสมมุติทุกอย่างกันขึ้นในวงเล็กๆเราพอควบคุมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุน กำลังซื้อ เป็นต้น (2) พอถึงจุดเบื่อหรือพูดกันไม่รู้เรื่อง เราก็เลิกเล่นกลับบ้านหาแม่ได้

แต่ในการสร้างอนาคตในชีวิตที่เราถือว่าเป็นชีวิตจริงนี้ มันแย่กว่าการเล่นขายของตรงที่ (1) ปัจจัยต่างๆที่เราสมมุติขึ้นมันเป็นการตกลงกันในวงกว้างแบบจริงจังซะจนเราไปเปลี่ยนแปลงควบคุมบังคับอะไรไม่ได้เลย มันจึงยาก มันจึงฝืดจนเราหมดแรงที่จะฝืนทำต่อ (2) พออยากจะเลิกเราไม่รู้จะเลิกยังไง เพราะคนอื่นเขาไม่ยอมเลิกกับเรา และเมื่อเลิกแล้วเราก็ไม่รู้จะไปหาใคร เพราะเราไม่มีแม่ให้วิ่งไปหาแล้ว

การแก้ปัญหา

คุณจะต้องเข้าหาปัญหานี้จากสองทิศทางพร้อมๆกันคือ (1) การมองภาพใหญ่ (perspective) ของชีวิตให้ออก (2) การแก้ปัญหาที่พลังชีวิต (life energy) มันกำลังเหือดแห้งลง

ในทิศที่ 1. การมองภาพใหญ่ของชีวิต คุณต้องขยายมุมมองจากเดิมที่มีกรอบการมองแคบอยู่แค่ว่าการสร้างอนาคตเป็นเรื่องจริงที่ต้องทุ่มเท อุปสรรคใดๆที่เกิดขึ้นต้องแก้ หากแก้ไม่ได้ อนาคตก็จะหดจุ๊ดจู๋ ชีวิตก็จะหดจุ๊ดจู๋ไปด้วย มาเป็นมุมมองที่กว้างใหญ่กว่าเดิม มองให้เห็นว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงวงจรของการเกิดดับของสรรพสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วล้วนเดินหน้าไปสู่การเสื่อมสลายแตกดับหายสาบสูญไปในที่สุดไม่มีตรงไหนจะอยู่นิ่งๆหรือเป็นอย่างใจเราได้เลย เพียงแต่ว่าเราไปตั้งคอนเซ็พท์ขึ้นมาว่าชีวิตมีกรอบเวลากำกับ เราต้องสร้างอนาคตที่มีความสำเร็จเป็นหมุดหมายก่อนตาย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือเป็นแค่ความคิดของเราเท่านั้น หาใช่เป็นความจริงของชีวิตไม่ พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเราแค่เล่นละครชีวิตซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเล่นขายของตอนเราเป็นเด็ก เราจึงต้องเล่นละครให้เป็น คืออินกับการเล่นละครให้พอดีๆ ให้มันแค่สนุก แต่ไม่อินมากเกินไปจนกลายเป็นความทุกข์ เพราะมันเป็นแค่ละครที่จะต้องจบแบบตายกันเกลี้ยงไม่เหลืออะไรจีรังอยู่แล้ว หากเราอินแค่พอดี ปัญหาในละครชีวิตก็จะกลายเป็นความท้าทายสนุกสนาน แต่หากเราอินมากเกินไป ปัญหาในละครก็จะบีบคั้นเราให้เครียดยิ่งขึ้น เครียดยิ่งขึ้น จนเราสติแตกหาทางออกไม่เจอ

ดังนั้นให้รับรู้ชีวิตสองด้านควบคู่กันไป ทั้งการเล่นละคร และการชมละครที่ตัวเองเล่น ขณะที่ชีวิตดำเนินไป ให้หัด หยุด ดู เงี่ยหูฟัง รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น (Stop, look, listen, feel) เสียบ้าง เพราะที่เราพยายามวิ่งหรือพยายามสร้างอนาคตสู่เป้าหมายแทบตายนั้น เราอาจจะอยู่ตรงเป้าหมายที่แท้จริงแล้วก็ได้

          ในทิศที่ 2. การแก้ปัญหาที่พลังชีวิตมันเหือดแห้ง พลังชีวิตก็คือความสนุกในการเล่นละครหรือการเล่นขายของ มันสืบเนื่องมาจากทิศที่ 1 กล่าวคือตราบใดที่เรายังเผลอคิดว่าชีวิตนี้มันเป็นของจริงที่ต้องเอากันให้ได้ ให้เป็นให้ตาย เราก็จะเครียด ความเครียดนั้นจะกัดกร่อนพลังชีวิตของเราในรูปของความคิดลบที่ผุดขึ้นในหัวของเราไม่เว้นแต่ละวัน ดังนั้นนอกจากจะมองชีวิตในภาพใหญ่ให้ออกว่ามันเป็นแค่ละครแล้ว คุณก็ต้องฝึกวิธีวางความคิดลบที่เกิดขึ้นในหัวคุณในแต่ละโมเมนต์ด้วยเพื่อไม่ให้ความคิดลบมาบั่นทอนพลังชีวิตที่แห้งอยู่แล้วให้แห้งเหือดลงไปอีก คือต้องมองทุกอย่างไปทางบวก มองปัญหาเป็นความท้าทายแบบเล่นเกมสนุกๆ ควบคู่กันไปคุณก็ต้องบ่มหรือฟูมฟังพลังชีวิตให้มันมีมากขึ้น ด้วยการ

1.. หายใจแบบเพิ่มพลังชีวิต ด้วยการสูดหายใจเข้าไปลึกๆช้าๆ กลั้นลมหายใจไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกเบายาวๆช้าๆ ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวันทุกที่ทุกเวลา

ตื่นเช้าขึ้นมา ให้หันหน้าไปยังที่ว่างๆโล่งๆ ชูสองมือขึ้น สูดหายใจเข้าให้เต็มปอดดูดเอาพลังจากภายนอกเข้ามา วาดมือลงพร้อมกับหายใจออกและผ่อนคลายร่างกาย ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ ชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

2.. ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มหัวเราะ การผ่อนคลายทำง่ายๆโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย ยิ้มไปด้วย ขณะมีความคิดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวและมีไฟฟ้าวิ่งในเส้นประสาทมากจนกลบพลังชีวิตซึ่งเป็นไฟฟ้าระดับแผ่วเบาไปหมด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทสงบลง จะรับรู้พลังชีวิตได้ง่าย

การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นยิ้มและหัวเราะให้เป็นกิจวัตร มองตัวเองในกระจกบ่อยๆแล้วยิ้มให้ตัวเองทุกครั้ง ชีวิตนี้ในวันหนึ่งๆไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เป็นไร เพราะอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นมันเป็นเรื่องของอีโก้หรือความคิดอย่าไปให้ราคามันเลย วันๆหนึ่งๆขอให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะก็พอแล้ว หรืออย่างน้อยได้ยิ้มทั้งวัน เพราะนั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน

3.. ถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาสนใจพลังชีวิตแทน สนใจรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าบนผิวกายให้บ่อยๆหรือเกือบจะตลอดเวลา เรียกว่าขยันทำ body scan ขยันทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับรู้พลังชีวิตผ่านความรู้สึกบนร่างกาย เช่นรำมวยจีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำได้ดีหากผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะในชีวิตนี้ความสนใจคือที่มาของอำนาจ อะไรที่ความสนใจไปจดจ่อสิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่และสำคัญ เราท้อแท้กับชีวิตเพราะเราเอาความสนใจไปขลุกอยู่กับความคิดลบหรือความล้มเหลวในชีวิตทำให้ความคิดลบมันใหญ่ขึ้นมา ถ้าย้ายความสนใจมาจดจ่อที่พลังชีวิต พลังชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง

4.. ถ้าจะคิดให้คิดบวก การไม่ยุ่งกับความคิดดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังติดข้องอยู่ในความคิด เลิกยังไม่ได้ ถอนตัวยังไม่ขึ้น ก็ให้ใช้ประโยชน์จากความคิดเสียเลย คือให้มุ่งไปทางคิดบวก หนีความคิดลบ เพราะความคิดบวกจะบ่มเพาะพลังชีวิตให้เป็นปึกแผ่นขึ้น เนื่องจากพลังงานที่แผ่คลุมไปทั่วที่เราเรียกว่าพลังจักรวาลนั้นในแง่ของความคิดมันก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง โลกในทางจิตวิญญาณพื้นฐานของมันมีอย่างเดียวคือเมตตาธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านั้น หมายความว่า ความเมตตา ให้อภัย ขอโทษ ขอบคุณ นี่เป็นความคิดบวกที่จะเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้ ความกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอนาคต กลัวอีโก้ของตัวเองจะอับเฉา นี่เป็นความคิดลบซึ่งชงขึ้นมาจากอีโก้ของเรา การหัดคิดบวกอาจเริ่มด้วยการหัดเขียนอะไรที่บวกๆในชีวิตเช่น “รายการขอบคุณ” คือเขียนว่าวันนี้เรามีเรื่องดีๆในชีวิตอะไรที่ควรขอบคุณบ้าง และควรหัดสอบสวนความคิดของตัวเอง ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมาสอบสวนหมด ความคิดนี้ใครชงขึ้นมา เพื่ออะไร ความคิดไหนที่จับไต๋ได้ว่าชงขึ้นมาโดยอีโก้ซึ่งกลัวตัวเองจะอับเฉาก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดไร้สาระจากอีโก้ โผล่อีกทีจะได้ดีดทิ้งทันที่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขลุกด้วย สอบสวนความคิดเรื่อยไป ดีดทิ้งเรื่อยไป จนความคิดหายเกลี้ยงไปหมดจากหัวได้ยิ่งดี

5.. จงใจทำอะไรใหม่ ๆ อะไรใหม่ๆที่นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แค่จงใจตั้งใจทำอะไรใหม่พลังชีวิตก็จะบู้ม..ม ขึ้นมาทันที เพราะในการทำอะไรใหม่ๆมันเปิดให้เราได้พบกับความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ก็คือด้านหนึ่งของพลังชีวิต ทั้งนี้มีประเด็นย่อยสี่ประเด็นคือ

5.1 ต้องเลือกอะไรที่เราชอบ (passion) คืออะไรที่ถูกจริต ทำให้กระดี๊กระด๊า ดลบันดาลความตื่นเต้นให้ท่านได้จะจะเห็นๆ อาศัยความรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่อาศัยเหตุผล

5.2 เมื่อลงมือทำ ต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ จดจ่ออยู่ที่การกระทำ นิ่ง แน่วแน่ จริงจัง

5.3 อย่าไปพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะได้ จะเสีย จะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เรียกว่า zero result คือทำโดยยอมรับว่าผลมันอาจจะเป็นศูนย์ไว้ก่อน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้ได้ทำ

5.4 ทำเสร็จแล้วเฉลิมฉลองทุกครั้ง เช่นสมมุติตั้งใจว่าเมื่อเสร็จกิจจากโถส้วมแล้วจะซ้อมท่านั่งยอง (squat) หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บมาก แต่พอทำเสร็จแล้วอย่าลืมเฉลิมฉลอง ฮ่า.. ทำได้ละ การเฉลิมฉลองทำให้พลังชีวิตเดินทางครบรอบวงของมัน ซึ่งจะทำให้มันแกร่งขึ้นๆ ไม่รู้จบ

ทุกเช้าตื่นขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมาทำไม วันนี้จะทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำสักอย่างได้ไหม อาจะเป็นอะไรเล็กๆเช่นรดน้ำต้นไม้ที่ไม่เคยรดมันเลยมานานแล้วสักครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำให้ครบสี่องค์ประกอบข้างต้น จบด้วยการเฉลิมฉลอง

6.. ออกกำลังกาย นี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง ทำให้เราหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขึ้น ไปสร้างเป็นพลังงานให้เซลล์ร่างกายมากขึ้น

7.. กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต คืออาหารพืชผักผลไม้ถั่วนัท ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี กินเนื้อสัตว์แต่น้อย ยิ่งเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยิ่งควรลดลงเพราะกินแล้วเครียดมากกว่ากินพืช

8.. นอนหลับให้พอ เพราะการนอนหลับเป็นการชาร์จพลังชีวิตโดยตรง

9.. อยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติเช่นป่าไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย ธรรมชาติเป็นสถานที่ดีที่สุดที่จะออกจากความคิดไปอยู่กับพลังชีวิต เพราะธรรมชาติเป็นสนามพลังงานอยู่แล้ว หาเวลาปลีกตัวออกไปจากผู้คน ไปอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เวลาอยู่ในธรรมชาติ ให้สังเกตทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส และรับรู้มันโดยไม่พิพากษาหรือคิดตัดสินหรือคิดต่อยอดใดๆ

10.. อยู่กับน้ำ อยู่ใกล้น้ำ คลุกคลีกับน้ำ จุ่มน้ำ แช่น้ำ เที่ยวน้ำตก เพราะน้ำนั้นกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นพลังงานภายนอกตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานที่ดี ในตัวเราก็มีน้ำเสียตั้ง 70% เวลาอาบน้ำให้อาบน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายเรา เพื่อให้เราได้สัมผัสพลังชีวิตซึ่งเป็นความอุ่นจากภายในได้ง่าย

11. อยู่กับเสียงดนตรี เน้นทำนอง ไม่เน้นคำร้อง ฟังไปทีละตัวโน้ต เป็นวิธีวางความคิดลบที่แนบเนียนโดยอีโก้ไม่ทันระแวง

12. อย่าทำอะไรที่เหนื่อยเกินไป มากเกินไป แม้จะเป็นการทำหน้าที่ เป็นการทำดี แต่ก็ไม่ควรให้มากเกินไปหรือเหนื่อยเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เราต้องฝืนทำ ในชีวิตนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องฝืนทำบางเรื่อง ก็ทำแต่เท่าที่จำเป็น ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่าฝืนทำให้มันมากเกินไป เพราะมันจะเหนื่อยเร็วและจะบั่นทอนพลังชีวิตของเรา ถ้าเหนื่อยมากนักก็พักเอาแรงบ้าง หยุดไปชั่วคราวแล้วกลับมาใหม่

ถ้าทำอะไรแล้วก็แพ้ ทำอะไรแล้วก็แพ้ ก็ยังไม่เป็นไร สู้ไม่ไหวก็เลิกไปก่อน หนีไปก่อน อย่าไปคิดมากกับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ ช่วงที่หมดพลังก็กบดานนิ่งๆสักพักก็ได้ อย่าไปมองการไม่ทำอะไรว่าเป็นความเลวร้ายหรือเป็นการปล่อยชีวิตให้ไร้ค่า นั่นเป็นความคิดลบที่ไร้สาระ ถ้าเหนื่อยมากก็หยุดไม่ต้องทำอะไรสักพัก คนเราขอแค่ให้หายใจเข้าออกได้ ไม่มีใครมาบีบคอไว้ ในที่สุดก็จะฟื้นฟูพลังชีวิตตัวเองกลับมาได้เองในที่สุด ลมหายใจเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องมี อย่างอื่นคุณมาเริ่มเอาใหม่ได้หมด อย่าไปห่วงลูกเกินเหตุ คุณสังเกตไหมลูกหมาจรจัดมันยังไม่อดตายเลย ไหนๆก็มีลูกแล้วให้มองให้เห็นด้านบวกของการมีลูกบ้าง หัดลูกให้มาช่วยกันแบ่งเบาภาระในบ้านหรือช่วยกันทำมาหากิน ลดความคาดหวังว่าจะต้องเลี้ยงลูกแบบเลอเลิศ เปลี่ยนมาเลี้ยงแบบบ้านๆธรรมดาๆ เปลี่ยนความกังวลเรื่องลูกให้เป็นความสนุกในการเลี้ยงลูกแทน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์