30 สิงหาคม 2567

เจ็ดใครหนอ

มะกอกน้ำ ลูกแค่นี้ก็อร่อยแล้ว

ทุกวันนี้มีคนเสนอขายสินค้าที่จะทำให้อายุยืนแยะมาก ทั้งวิตามิน อาหารเสริม สะเต็มเซลล์ โดยอ้างงานวิจัยสารพัด แต่ความเป็นจริงคืองานวิจัยที่จะพิสูจน์ว่าอะไรทำให้คนอายุยืนนั้นต้องมีระยะเวลาวิจัยนานระดับหลายสิบปีขึ้นไป ซึ่งตอนนี้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วนมีอยู่แค่ 1 งานวิจัยเท่านั้น ชื่อ
Adult Development Study ของฮาร์วาร์ด ใช้เวลาทำวิจัยนาน 83 ปี ใช้นักวิจัยถึงสามชั่วอายุคน เริ่มต้นติดตามคนอยู่ 724 คน จนถึงปัจจุบันติดตามอยู่ราว 2000 คน วันนี้เรามาพูดถึงงานวิจัยหนึ่งเดียวนี้ ว่าอะไรเป็นปัจจัยทำให้คนอายุยืน สุขภาพดี มีความสุขในชีวิต

เหตุหนึ่งเดียวที่ทำให้คนอายุยืนในงานวิจัยนี้ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่การมีหรือไม่มีเงิน ไม่ใช่การมีนิสัยออกกำลังกายหรือไม่ออก ไม่ใช่การมีการศึกษาสูงหรือต่ำ ไม่ใช่การได้ทำงานดีๆเท่ๆ (รวมทั้งเป็นประธานาธิบดี) หรือไม่ได้ทำ แต่ ปัจจัยเดียวที่สัมพันธ์ภาพการมีอายุยืนในงานวิจัยนี้คือการมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบตัว (social connectedness) ซึ่งงานวิจัยนี้ได้บัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมาคำหนึ่งว่า “ความฟิตทางสังคม (social fitness)” โดยที่งานวิจัยนี้ได้วิเคราะห์ปัจจัยความสัมพันธ์ย่อยที่จะทำให้เกิดความฟิตทางสังคมไว้ 7 ด้าน หรือ 7 ปัจจัย ซึ่งผมเรียกว่าเจ็ดใครหนอ..คือ

1.. Safety ใครหนอที่เมื่อเรารู้สึกอยู่ในภาวะวิกฤติหรือไม่ปลอดภัย เราจะวิ่งไปหาเขา

2.. Leaning & growth ใครหนอที่กระตุ้นให้เรากล้าทดลองเรียนรู้ กล้าเสี่ยง กล้าทำสิ่งใหม่ๆ กล้าล่าความฝัน ทำให้เราได้เรียนรู้และเติบโต

3.. Closeness ใครหนอที่ใกล้ชิดกับเราจนรู้จักเราดีไปเสียหมดทุกด้าน เมื่อรู้สึกท้อแท้หดหู่เมื่อไรเราก็จะไปหาเขา

4.. Identity affirmation ใครหนอที่เป็นคนคอยเตือนสติเรา ไม่ให้เราลืมตัวว่าเราเป็นใคร มาจากไหน และจะไปไหนต่อ

5.. Intimacy ใครหนอ ที่เราโรแมนติดหวานแหววด้วยอย่างลึกซึ้งเป็นประจำ (นับรวมกิ๊กด้วยไหมเนี่ย..หิ หิ)

6.. Help ใครหนอที่ช่วยเราได้ทุกเรื่อง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เรื่องเล็กเรื่องน้อยเช่นจะปลูกผักอย่างไร จะซ่อมก๊อกน้ำอย่างไร เราวิ่งหาเขาได้หมด

7.. Fun  ใครหนอที่ทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้ และเราสบายใจที่ได้อยู่ใกล้

ลองไล่เรียงดูขาประจำในชีวิตของท่านดูนะครับ ว่าเรามีครบทั้งเจ็ดใครหนอหรือยัง ถ้ายังก็คงต้องขยันหามาเพิ่ม ถ้ามีแล้วแต่ห่างเหินไปก็จะได้โทรหา เพื่อจะได้มี social fitness ให้เราอายุยืนไง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

27 สิงหาคม 2567

สามสิบบาทรักษาทุกที่.. ประเด็น ตุ๊กๆ โตโยต้า เบ้นซ์


(ภาพวันนี้ / ดอกตะล่อม)

คุณหมอสันต์ครับ

เรื่องสามสิบบาทรักษาทุกที่ ผมขอเรียนถามคุณหมอว่าที่รพ.ใหญ่แห่งหนึ่งร้องเรียนว่าสปสช.ลดการจ่ายเงินต่อหน่วยจากแปดพันเหลือห้าพันนั้นมันหน่วยอะไร ทำไมสปสช.ไปลดเงินเขาอย่างนั้น แล้วการลดเงินตรงนี้มันเกี่ยวอะไรกับนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ไหม แล้วที่หมอท่านหนึ่งบอกว่าใช้สามสิบบาทคือนั่งรถตุ๊ก ถ้าอยากนั่งโตโยต้าหรือเบ้นซ์ต้องจ่ายเพิ่ม มันจริงไหม แล้วมันจริงไหมที่หมอท่านหนึ่งบอกว่ายาบัญชียาหลักมันเป็นยาที่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่ายานอกบัญชียาหลัก

..............................................................

 

ตอบครับ

 

1. ถามว่าเงินที่โรงพยาบาลร้องเรียนว่าสปสช.ลดการจ่ายเงินต่อหน่วยจากแปดพันกว่าเหลือห้าพันนั้น มันหน่วยอะไร ตอบว่ามันเป็นหน่วยนับความแรงของกลุ่มโรคที่รักษาหรือดีอาร์จี. (DRG – Diagnosis Related Group) รากเหง้าของหน่วยนี้ก็คือชื่อโรคที่รักษานั่นเอง โดยหมอทั่วโลกตกลงเรียกชื่อโรคให้เหมือนกันตามทะเบียนโรค (ICD International Classification of Diseases) ซึ่งก็มีโรคหนักโรคเบา ครั้นจะจ่ายเงินค่ารักษาตามชื่อโรคตรงๆในการนอนรพ.แต่ละครั้งโรคมันแยะเกิน จึงรวบจ่ายเป็นกลุ่มโรคที่สัมพันธ์กัน ก็คือ DRG นั่นเอง แล้วเอาค่านี้มาใส่น้ำหนักต้นทุนการรักษาให้แต่ละโรค มีวิธีคิดซับซ้อน บวกลบคูณหารออกมาเป็นเงินที่รพ.จะได้ต่อหนึ่งหน่วยน้ำหนัก ประเด็นสำคัญก็คือสมัยก่อนสปสช.จ่ายตามที่คำนวณได้โดยตั้งต้นที่หน่วยละ 10000 บาท แต่ต่อมาแม้จะเพิ่มเงินงบประมาณทุกปีแต่ก็ยังไม่พอจ่ายเพราะค่ารักษาที่โรงพยาบาลเรียกเก็บนั้นมันมากขึ้นๆจนงบไล่ไม่ทัน สปสช.จึงเปลี่ยนวิธีจ่ายใหม่เป็นได้งบมาเท่าไหร่จ่ายให้เท่านั้น คือเอางบที่ได้มาทั้งหมดตั้ง เอาหน่วยนับที่รพ.เรียกเก็บมาทั้งหมดหาร ตกหน่วยละเท่าไหร่ก็จ่ายให้เท่านั้น ซึ่งสำหรับโรงพยาบาล ค่าที่ได้ต่อหน่วยมันสาละวันเตี้ยลงจนเงินไม่พอใช้ เขาจึงออกมาโวย

2.. ถามหมอสันต์ว่าแล้วทำไมสปสช.ไปลดเงินค่ารักษาของรพ.ลงอย่างนั้นละ ตอบว่าก็เขาบ่อจี๊แล้วอะสิครับ หากไม่ลดเงินที่จะต้องจ่ายให้รพ.แล้วจะให้ทำอย่างไรละครับ ถ้าหมอสันต์เป็นสปสช. หมอสันต์ตอนนี้ก็ต้องทำแบบเดียวกัน หิ..หิ

ลึกลงไปกว่านั้นคือสปสช.ได้ทำผิดตลอดมาในแง่ที่ไปโปรโมทค่าใช้จ่ายในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ใช้เงินจำนวนมากไปในเรื่องที่ไม่มีผลต่ออัตราตายของประชาชนเลย เช่นการลงทุนสร้างศูนย์หัวใจเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบๆแห่งเพื่อทำบอลลูนและผ่าตัดหัวใจขณะที่หลักฐานวิทยาศาสตร์บ่งชี้ไปในทางว่า 80% ของการรักษารุกล้ำเหล่านั้นไม่ได้เปลี่ยนการดำเนินของโรคและไม่ได้ลดอัตราตายเลย ส่วนที่เปลี่ยนการดำเนินของโรคได้เช่นการเปลี่ยนวิถีชีวิต สปสช.ลงทุนน้อยมาก ตอนนี้สปสช.ต้องชดใช้กรรมจากนโยบายเก่าที่ตัวองทำไว้ กล่าวคือสปสช.ไปเชื่อความศักดิ์นสิทธิ์ของ evidence-based medicine หรือการแพทย์แบบอิงหลักฐานที่อาจารย์จากโรงเรียนแพทย์พร่ำถึง โดยไม่เข้าใจว่ากลไกอุตสาหกรรมการแพทย์ที่แท้จริงนั้นมันเป็น reimbursement based medicine คือการแพทย์แบบอิงการเบิกจ่าย อะไรที่ให้เบิกได้ ก็จะเบ่งบานระเบิดระเบ้อ ส่วนหลักฐานนั้นช่วยกันสร้างขึ้นมาได้ถ้าต่างฝ่ายต่างอยากได้เงิน  

พอหมดปัญญารับมือค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเฮโลไปผิดทาง สปสช.ก็โยนทั้งหมดให้รพ.ไปแก้เอาเอง คือมีเงินให้แค่เนี้ยะ คุณไปลดการรักษาแพงๆเอาเอง ผมไม่เกี่ยว เท่ากับว่าการกำหนดทิศทางการแพทย์ของชาติตกอยู่ในมือของรพ.ซึ่งมีศักยภาพที่จะแก้ปัญหาเชิงนโยบายได้น้อยมาก แทนที่จะอยู่ที่สปสช.ซึ่งมีทั้งกฎหมายและเงินที่เอื้อให้ทำอะไรได้

2. ถามว่าเงินที่รพ.ได้ต่อหน่วยที่ลดลงไปเรื่อยๆนี้ เกี่ยวอะไรกับนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกที่ไหม ตอบว่าไม่เกี่ยวหรอกครับ เพราะนโยบายรักษาทุกที่เป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนย้ายถิ่นที่ต้องเดือดร้อนย้อนไปใช้สิทธิ์หน่วยบริการปฐมภูมิที่บ้านเกิดจึงจะได้สิทธิ์ และค่าจ้างทำปฐมภูมิก็คนละส่วนกับค่าจ้างรักษาทุติยภูมิหรือตติยภูมิ นโยบายใหม่นี้ให้ใช้บัตรประชาชนไปใช้บริการหน่วยปฐมภูมิใกล้ที่อยู่ณ ขณะนั้นได้ทุกแห่ง และยังได้ขยายหน่วยบริการปฐมภูมิไปครอบคลุม ร้านยาคุณภาพ คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิกการแพทย์ชุมชนอบอุ่น และคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น คือทุกแห่งที่มีตราประมาณว่าอะไรอบอุ่นก็เข้าใช้บริการได้หมด ทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการปฐมภูมิได้ง่ายขึ้น

จะเกี่ยวอยู่บ้างแบบอ้อมๆก็ตรงที่ไม่ได้อธิบายให้ชัดว่า “นี่คือการใช้บริการปฐมภูมินะจ๊ะ” ต่อเมื่อเขาเห็นควรส่งต่อเข้ารพ.ทุติยภูมิเขาจึงจะส่งต่อให้ การไม่อธิบายอย่างนี้ทำให้คนเป็นโรคยากๆที่อยากได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดยากๆเร็วๆก็เฮโลไปใช้บริการโรงพยาบาลดังๆ ซึ่งตามธรรมชาติก็มักจะถูกยันไว้ที่หน่วยบริการปฐมภูมิของรพ.แห่งนั้น แต่ก็ยังมีช่องให้เกิดปัญหาได้สองอย่าง คือ (1) เมื่อมากันแยะก็อาจเกิดหน่วยบริการปฐมภูมแตกได้ (2) เนื่องจากความอยู่ใกล้ ทำให้แพทย์ที่หน่วยปฐมภูมิของรพ.ใหญ่ส่งต่อเข้ารับการรักษาแบบซับซ้อนได้เร็วทันใจ จึงต้องรับรักษาโรคซับซ้อนเป็นปริมาณมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าก็ยิ่งทำให้รพ.ขาดทุนมากขึ้น เพราะการจ่ายเงินค่ารักษาโรคซับซ้อนตอนนี้จ่ายกันแบบยิ่งขยันทำ ยิ่งขาดทุน

3. ถามว่าที่คุณหมอบางท่านแนะนำว่าการใช้บัตรสามสิบบาทคือรถตุ๊กๆ ถ้าจะนั่งโตโยต้าหรือเบ้นซ์ก็ความจะจ่ายเงินเพิ่ม หรือ co-pay มันคืออะไร ตอบว่าการร่วมจ่ายหรือ co-pay มันมีสองแบบ

แบบที่1. คือร่วมจ่ายแบบต่อหัวต่อปี คือเมื่อตอนเราจะเริ่มระบบสามสิบบาทรักษาทุกโรคคณะหมอที่ทำงานตั้งใจจะให้ผู้ถือบัตรร่วมจ่ายเป็นรายปีเช่นปีละ 1000 บาท (ตอนนั้น) ซึ่งมันสืบเนื่องมาจากโครงการบัตรประกันสุขภาพที่ออกมาทดลองใช้ก่อนหน้านั้นโดยเก็บค่าร่วมจ่ายปีละ 500 บาทหรือไงเนี่ย แต่นักการเมืองปากไวออกข่าวไปก่อนวันเลือกตั้งแล้วโดยไม่ได้พูดถึงส่วนร่วมจ่าย ก็เลยต้องตกกระไดพลอยโจนเลยตามเลย ผมเองเคยกระทุ้งรัฐบาลทุกยุคให้เก็บ co-pay ต่อหัวต่อปีนี้ แต่ไม่มีรัฐบายไหนกล้าทำ

แบบที่ 2. คือการให้ผู้เข้ารับบริการร่วมจ่ายส่วนที่ไม่ใช่สาระหลักของการรักษา เช่นซื้อยานอกบัญชียาหลักเอง จ่ายค่าห้องพิเศษเอง เป็นต้น ทุกวันนี้ผู้ใช้บัตรต้องร่วมจ่ายในส่วนนี้อยู่แล้ว

ดังนั้นคอนเซ็พท์ ตุ๊กๆ เบ้นซ์ โตโยต้า หมอสันต์เห็นว่าไม่ใช่ประเด็น (not relevant) ในเรื่องสามสิบบาทรักษาทุกโรค

  4.. ถามว่าบัญชียาหลักแห่งชาติมันเป็นของถูก ของไม่ดี ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเอาของดี จริงไหม ก่อนตอบผมขอแยกเรื่องยาปลอม ยาเถื่อน ออกไปก่อนนะเพราะคนชอบเอาสองอย่างนี้มาปนให้เข้าใจเขวว่ายาในบัญชียาหลักเป็นยาปลอมเป็นยาเถื่อน

วิทยาศาสตร์มีอยู่ว่าสารเคมีที่มีโครงสร้างเคมีเหมือนกันจะออกฤทธิในร่างกายเหมือนกันไม่ว่าจะผลิตโดยใคร ยาที่การใช้งานจริงมีหลักฐานว่าเปลี่ยนแปลงตัวชี้วัด (เช่นอัตราตาย) ไปทางบวกได้จะได้รับคัดเลือกเข้าไว้ในบัญชียาหลัก แม้ว่าบัญชียาหลักของไทยนี้...ขอโทษ มันบวม มันหยวน และมันหลวม หมายความว่ามียาไร้สาระอยู่ในนั้นแยะมาก เทียบกับบัญชียาหลักของ WHO ของเราบวมกว่าแยะ แต่ทั้งๆที่หลวมขนาดนี้ บริษัทยาก็พยายามทุกทางที่จะให้มันบวมให้มันหลวมยิ่งกว่านี้อีก

ผมตอบคุณจากหลักฐานวิจัยที่เชื่อถือได้ว่า ยาที่มีอยู่ในบัญชียาหลัก ณ วันนี้ เพียงพอแล้วต่อการรักษาโรคเพื่อให้ได้ผลในสาระสำคัญของโรคนั้นๆ (เช่นโรคมะเร็งก็ได้อัตรารอดชีวิตที่ยาวขึ้น เป็นต้น) ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสาะหาการรักษายานอกบัญชีมาใช้ นอกจากจะใช้เพื่อคลายความกังวลของตัวเอง เช่นอยากมีอัตรารอดชีวิตที่ยาวกว่ายาเก่า ก็อยากไปลองใช้ยาใหม่ที่ข้อสรุปของอัตรารอดชีวิตในระยะยาวยังไม่ชัดเจน เป็นต้น ซึ่งการไปใช้ยาในลักษณะนี้ ผู้ใช้ก็ควรเป็นผู้จ่ายเงินเอง

ข้อพิจารณาที่สำคัญอีกประเด็นหนึ่งคือ โรคเรื้อรังซึ่งเป็นโรคที่เป็นสาเหตุการตาย 70-80% ของผู้คนตอนนี้ ยาช่วยลดอัตราตายได้น้อยมาก จนถึงไม่ได้เลย ดังนั้นการร่ำร้องหายาดียาแพงสำหรับโรคเรื้อรังเป็นการใช้พลังงานอันมีอยู่จำกัดไปผิดที่ การแก้ปัญหาโรคเรื้อรังต้องไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต อันได้แก่การกินการเคลื่อนไหว การจัดการความเครียด เป็นต้น จึงจะเป็นการเกาถูกที่คัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

22 สิงหาคม 2567

การตรวจคัดกรองมะเร็งต่างๆสำหรับหญิงอายุ 40 ปี

 

ก่อนตอบคำถามวันนี้ ขอป่าวประกาศว่าผมจะปิดเว็บไซท์ http://www.drsant.com เพื่อกลับไปใช้ https://visitdrsant.blogspot.com/ แทน ด้วยเหตุผลว่าทนคุณมิจ (ฉาชีพ) ทำการแฮ้กเว็บไซท์หมอสันต์อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ไหว แฮ้กแล้วแก้ แก้แล้วแฮ้ก เขาแฮ้กเพราะเห็นคนอ่านแยะจึงจะดูดเอาผู้อ่านไปเข้าลิ้งค์ขายของที่เมืองจีนโน่น ร้อนถึงกูเกิ้ลเมื่อเห็นว่าถูกแฮ้กก็ปิดไม่ให้ค้นหาอ่านบทความข้างใน ทำให้ท่านผู้อ่านเดือดร้อนเขียนมาบ่นอยู่เรื่อย ต่อจากนี้ไปท่านอยากจะอ่านบทความให้ไปอ่านที่   https://visitdrsant.blogspot.com/ ทั้งของเก่าของใหม่ไปอยู่ที่นั่นหมด ส่วนท่านที่อ่านจากเฟซบุ้คนั้นยังคงอ่านได้จากเฟซบุ้คโดยตรงเหมือนเดิม

ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผ่าง ผ่าง ผ่าง

..............................................

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์

รบกวนสอบถามข้อมูล เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และการฉีดวัคซีน HPV สำหรับคนอายุ 40 ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ค่ะ

- ปัจจุบันอายุกำลังจะครบ 40 ปี เกิดปี 2527 ส่วนสูง 158 น้ำหนัก 42 กก.

- ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ และยังไม่เคยมีสิ่งใดผ่านเข้าไปในช่องคลอดค่ะ

- ยังไม่เคยรับการตรวจภายใน

- เคยเข้าพบหมอสูติ 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1: ในปี 2011 เนื่องจากเป็นเชื้อราในช่องคลอด ได้ขึ้นขาหยั่งให้หมอดู แต่หมอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ใด ๆ และให้ยามาทา สาเหตุน่าจะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อจากอุจจาระเนื่องจากสวนกาแฟ แล้วถ่ายเป็นน้ำทำให้กระเด็นไปสัมผัสช่องคลอด

ครั้งที่ 2 เนื่องจากมีอาการปวดท้องและมีไข้อ่อน ๆ เลยต้องตรวจหาสาเหตุ หลายแผนก รวมถึงสูติ คุณหมอสูติใช้การอัลตร้าซาวด์ และคลำมดลูก (ผ่านทางทวารหนัก) ไม่พบความผิดปกติ สรุปไม่เกี่ยวข้องกับสูติค่ะ

- ระยะเวลาที่มีประจำเดือนประมาณ 3-5 วัน (ระยะรอบเฉลี่ย 30 วัน) เวลาเป็นรอบเดือน มีอาการปวดท้องบ้าง แต่ไม่มาก (ไม่เคยถึงขั้นต้องทานยา) และจะมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง และมีตกขาว 2-3 วัน (เช็คดูจะตรงกับช่วงไข่สุกหรือไข่ตก ทราบจาก Application ที่บันทึกการมีรอบเดือน)

คำถาม คือ

- ควรฉีดวัคซีน HPV หรือไม่คะ

- ในเคสของหนู ควรตรวจอะไรบ้าง และบ่อยแค่ไหนหลังจากนี้คะ

- กรณีตรวจ HPV DNA ควรตรวจด้วยตนเอง หรือไปให้แพทย์ตรวจ แบบที่ต้องใช้ spatula คะ

*ถ้าต้องฉีดวัคซีน ควรไปฉีดวัคซีนก่อนค่อยตรวจใด ๆ หรือก่อนไปยุ่งอะไรกับน้องเค้า หรือควรตรวจเลยคะ

**เท่าที่ดูแล้วมันแทบมองไม่เห็นช่องทางเข้าเลยค่ะ ไม่อยากยุ่งอะไรกับน้องเค้าเลย แต่ถ้าคุณหมอบอกว่าจำเป็นก็จะทำค่ะ^^

- ช่วงหลังมานี้ชอบมีอาการเหงื่อออกกลางคืนเวลานอน บางทีเหงื่อออกเต็มคอ เต็มหน้าอกเลยค่ะ แต่สักพักก็กลับมาหนาว (ปกติเป็นคนขี้หนาวค่ะ) ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับอะไรได้บ้างคะ

ขอขอบคุณค่ะ

…………………………………………..

 

ตอบครับ

 

1.. ถามว่าเป็นหญิงที่ไม่เคยยุ่งกับชายเลยมาจนอายุ 40 ปี ต้องฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV (ซึ่งเป็น 70% ของต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูก) ไหม ตอบว่า ไม่ต้องฉีดครับ

มาตรฐานคำแนะนำของสำนักมาตรฐานทุกสำนักรวมทั้ง วิทยาลัยสูตินรีแพทย์อเมริกัน (ACOG) แนะนำว่าวัคซีนป้องกันไวรัส HPV จะป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ดีที่สุดในเด็กทั้งหญิงและชายวัย 11-12 ปี แต่แนะนำว่าใครอยากฉีดวัคซีนก็ควรฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี

แม้ว่าวัคซีนนี้จะได้รับอนุมัติจากอย.สหรัฐให้ฉีดได้ในคนอายุไม่เกิน 26 แต่ไม่เกิน 45 ปี แต่เป็นการอนุมัติบนหลักฐานงานวิจัย FUTURE III ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet  ซึ่งเอาคนอายุ 24-45 ปี จำนวน 3,817 คนโดยไม่เลือกว่ามีภูมิคุ้มกันหรือไม่มี ติดเชื้อแล้วหรือไม่ติด เอามาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งฉีดอีกกลุ่มหนึ่งไม่ฉีดวัคซีน (ยี่ห้อ Gardasil ) แล้วตามดู 4 ปี พบว่ากลุ่มที่ฉีดมีภูมิคุ้มกันโรคเพิ่มขึ้นแน่นอนและปลอดภัย แต่การเป็นมะเร็งปากมดลูก (CIN2/3) นั้นไม่ต่างกัน ดังนั้นในคำอนุมัติของ FDA จึงมีข้อบังคับให้ติดข้างฉลากว่า

"ข้อมูลไม่ได้ชี้ชัดว่า Gardasil ป้องกันมะเร็งระยะ CIN2/3 ที่เกิดจากเชื้อ HPV ในหญิงอายุเกิน 26 ปีได้"    

กล่าวโดยสรุปคือหมอสันต์แนะนำว่าวัคซีนนี้ควรฉีดสำหรับคนอายุ 9-26 ปี หากอายุเกินนั้นประโยชน์ยังไม่ชัดเจน ยังไม่ควรฉีด แต่หากใครมีความชอบส่วนตัวอยากจะฉีดก็ไปขอหมอเขาฉีดได้ เอาแบบที่ชอบที่ชอบเลยครับ แต่ว่าออกเงินเองนะ เพราะของฟรีจากรัฐบาลมีให้เฉพาะหญิงอายุ 11-20 ปี (ป.5 - มหาลัยปี 2) เท่านั้น

 

2.. ถามว่าหญิงบริสุทธิ์อายุ 40 ปีควรตรวจอะไรด้วยความถี่แค่ไหนในแง่ของการป้องกันมะเร็ง ตอบว่าไม่ว่าจะเป็นหญิงบริสุทธิ์ หรือหญิงมีประสบการณ์ ก็ใช้หลักเดียวกันในการตรวจคัดกรอง คือ

2.1 เพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม ACOG แนะนำว่าควร (1) ตรวจเอ็กซเรย์เต้านม (mammogram) ทุก 1-2 ปี ในช่วงอายุ 40-75 ปี (2) รักษาน้ำหนักไม่ให้อ้วน (3) ลดหรือเลิกการดื่มแอลกอฮอล์

 

2.2 เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ คณะทำงานป้องกันโรครัฐบาลอเมริกัน (USPSTF) แนะนำว่า (1) ควรเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (เช่นส่องตรวจสำไส้ใหญ่ – colonoscopy ทุก 10 ปี) ในช่วงอายุ 50-75 ปี (2) ควรลดการกินเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและเนื้อที่ผ่านการบ่ม (เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม) (3) ควรกินผักผลไม้ให้ได้อย่างน้อยวันละ 2-3 ถ้วย

2.3 เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก ACS แนะนำให้ตรวจ HPV testing ทุก 5 ปี ในช่วงอายุ 25-65 ปี นี่เป็นวิธีที่มีความไวดีที่สุดและมาแทนที่วิธีเก่าที่เรียกว่าทำแป๊ป (Pap smear) การทำ HPV testing ทำได้สองแบบ คือ

วิธีที่ 1. ไปหาหมอสูตินรีเวช ขึ้นขาหยั่ง ให้หมอใส่เครื่องถ่างช่องคลอด (speculum) เพื่อเอาอุปกรณ์เข้าไปเก็บตัวอย่างเยื่อเมือกปากมดลูก

วิธีที่ 2. เก็บตัวอย่างด้วยตนเอง (self collection) โดยซื้อชุดตรวจมา สอดอุปกรณ์เข้าไปในช่องคลอดเพื่อเก็บตัวอย่างจากช่องคลอดด้วยตนเองแล้วส่งไปให้เขาตรวจทางไปรษณีย์

สำหรับคุณซึ่งเล่าเองว่าเคยสำรวจพื้นที่ส่วนตัวแล้วพบว่าหาทางเข้ายากมาก ผมแนะนำว่าไปใช้บริการของสูตินรีแพทย์จะดีที่สุดครับ เพราะย่านนั้นคนไม่ชำนาญพื้นที่ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามเนื่องมีทางเข้าหลายทางไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน สมัยผมทำงานอยู่เมืองนอก เพื่อนที่เป็นหมอสูตินรีแพทย์คนหนึ่งเล่าว่าผู้ป่วยเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งมาหาด้วยอาการว่าเธอทำการสำรวจค้นหาด้วยอุปกรณ์ (แท่งดินสอ) แล้วทำอุปกรณ์หายเอากลับคืนไม่ได้ ตรวจภายในก็ไม่พบอะไร เอ็กซเรย์ดูก็ไม่เห็น ต้องฉีดสารทึบรังสีเข้าไปในหลอดเลือดดำเพื่อดูระบบขับปัสสาวะ (IVP) จึงเห็นแท่งดินสอลอยเท้งเต้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ หิ..หิ

4.. ถามว่าหญิงวัย 40 ชอบเหงื่อออกกลางคืนเวลานอน บางทีเหงื่อออกเต็มคอ เต็มหน้าอกเลยค่ะ แต่สักพักก็กลับมาหนาว เกี่ยวกับอะไรบ้าง ตอบว่าเกี่ยวกับเลือดจะไปลมจะมาครับ แต่มีความเป็นได้นิดหนึ่งที่จะเกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป กรณีการเป็นเลือดจะไปลมจะมา คุณไม่ต้องทำอะไรนอกจากทำใจอย่างเดียว กรณีการเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ สิ่งพึงทำคือในการตรวจสุขภาพประจำปีครั้งหน้า ให้ขอหมอตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ (TSH, FT4) ด้วยก็จะเป็นการรอบคอบดีครับ

จบคำถาม จบข่าว


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.     Munoz N et al. Safety, immunogenicity, and efficacy of quadrivalent human papillomavirus (types 6, 11, 16, 18) recombinant vaccine in women aged 24–45 years: a randomised, double-blind trial. Lancet 2009; 373: 1949–5

[อ่านต่อ...]

19 สิงหาคม 2567

ที่นี่ประเทศไทย

(ภาพวันนี้ / ไปเยี่ยมเพื่อนสายอุปกรณ์ ขอถ่ายรูปห้องทำงานของเขาไว้)

สวัสดีค่ะคุณหมอสันต์


ขอรบกวนเวลาคุณหมอ ปรึกษาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับโรคทางกาย แต่เป็นความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น แล้วทำให้เครียด แล้วนอนไม่หลับมาเป็นเดือนแล้วค่ะ

เหตุการณ์ที่ทำให้ทุกข์กาย ทุกข์ใจมาก เกิดจากความเห็นแก่ตัวของเจ้าของห้องชุด (อยู่ติดกัน) ที่คอนโดที่เป็นเจ้าของร่วม (ตั้งแต่มกราคม 2552) ลักลอบให้เช่าห้องชุดแบบรายวัน รายสัปดาห์ผ่าน Web AIRBNB (ผิดข้อบังคับอาคารชุดและผิดพรบ โรงแรม) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 โดยที่นิติบุคคลที่บริหารโดยบริษัทชื่อดังให้ความร่วมมือในการรับฝากกุญแจห้องและคีย์การ์ด และช่วยปกปิดความผิดให้ 

จากความกังวลเรื่องความปลอดภัย และได้กลิ่นสารฟอกขาวชนิดรุนแรง กลิ่นควันจากบุหรี่ กลิ่นควันไม่ทราบชนิด จากผู้เช่ารายล่าสุดเป็นหญิงชาวรัสเซียและสามี ที่เข้ามาพักตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นมา

เมื่อค่อนข้างแน่ใจว่า นิติบุคคลให้ความร่วมมือกับเจ้าของห้องดังกล่าว จึงได้ร้องเรียนไปที่ส่วนกลางของบริษัทรับบริหารนิติบุคคลดังกล่าว แต่เมื่อมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางของบริษัทดังกล่าว ผลออกมากลายเป็นว่า เจ้าของห้องที่ทำผิดไม่ได้รับการลงโทษทางกฎหมายแต่อย่างใด หนำซำ้ในหนังสือชี้แจงจากบริษัท ยังช่วยปกปิดความผิดของนิติบุคคลและเจ้าของห้องร่วมที่ทำความผิด รวมทั้งคณะกรรมการนิติบุคคลที่ต่างรู้เห็นเป็นใจ เพราะได้รับผลประโยชน์จากการกระทำที่ผ่านมา

ได้มีการแจ้งไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สถานีตำรวจในท้องที่ แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด รวมทั้งลูกบ้านคนอื่นๆ ในคอนโดต่างเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงต่างเมินเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

รบกวนถามคุณหมอสันต์ค่ะ ควรจะวางใจอย่างไรดี ในระหว่างต้องต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม และความปลอดภัยในการใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติในบ้านของตัวเอง ขอความกรุณาคุณหมอสันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพ
…………………………………………………

ตอบครับ

พุทธัง ธัมมัง สังคัง อะไรมันจะคัน เอ๊ย.. ไม่ใช่อะไรมันจะน่าเห็นใจอย่างนี้

จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่เรื่องสุขภาพหรือการเจ็บป่วย แต่บางครั้งหมอสันต์เบื่อเรื่องสุขภาพ จึงต้องหยิบจดหมายประหลาดๆขึ้นมาตอบบ้าง

1.. ถามว่ามีเพื่อนบ้านนิสัยไม่ดีจะวางใจให้สงบอย่างไร ตอบว่าสิ่งแรกที่ทำได้ทันทีก็คือทำใจ หรือ make your heart โดยท่องคาถาว่า “ที่นี่ประเทศไทย” ผมมีข้อมูลที่บอกให้คุณสบายใจได้อย่างหนึ่งว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยวดอกในเรื่องแบบนี้ ในเรื่องการต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รักคือเพื่อนบ้านซังกะบ๊วยนี้ผมได้รับฟังมาจากคนไข้ของผมเองเต็มสองรูหูสารพัดแบบ บ้างทะเลาะกันเรื่องหมาในหมู่บ้านจัดสรร คนไทยเลี้ยงหมาไทย ฝรั่งเลี้ยงหมาฝรั่ง แล้วตกลงกันไม่ได้ว่าขี้หมาที่กองอยู่หน้าบ้านโจทก์นี้เป็นหมาของใครมิใยที่โจทก์จะชี้ประเด็นขนาดของขี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเป็นของหมาตัวไหนก็ยังตกลงกันไม่ได้ จนท้ายที่สุดต้องตัดสินใจกันด้วยไม้หน้าสาม ผลก็คือฝรั่งแขนหัก สาปส่งเมืองไทยและขายบ้านย้ายกลับเยอรมันไปเลย อีกรายหนึ่งเป็นเศรษฐีไปซื้อบ้านอยู่ในหมู่บ้านราคาร้อยล้านขึ้น กะว่าที่กว้างเป็นไร่ๆและอยู่ในหมู่คนรวยด้วยกันจะได้ไม่ต้องไปทนรำคาญใคร กลับปรากฎว่าแค่ในขั้นทำรั้วก็เป็นคดีทะเลาะกับข้างบ้านแบบจะชนะคะคานกันรุนแรงเล่นเอานอนไม่หลับและซึมเศร้าไปเลย อีกรายหนึ่งมีเพื่อนบ้านเป็นคุณนายไฮโซแต่อุปถัมภ์แมวจรจัดไว้หลายสิบตัวส่งกลิ่นขี้แมวเหม็นอบอวลรบกวนจนต้องฟ้องร้องไม่มองหน้ากันอยู่หลายปี ตัวเองซึ่งมีปัญหาสุขภาพมาก่อนเมื่อเข้าระยะป่วยหนักอยู่ในไอซียูก็ยังแค้นคุณนายไฮโซข้างบ้านอยู่ไม่เลิก มิใยที่หมอสันต์จะแนะนำอย่างไรก็ “ไม่” ลูกเดียว จนนาทีเกือบสุดท้ายเธอเกิดมีใจให้อภัยเพื่อนบ้านขึ้นมาเองดื้อๆ แล้วอาการป่วยของเธอก็กลับดีวันดีคืนเป็นที่อัศจรรย์

กล่าวโดยสรุป ที่นี่ประเทศไทย อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าไปซีเรียสกับคอนเซ็พท์ ดี ชั่ว ถูก ผิด มากเกินไป ให้ทำใจมากๆเป็นการชดเชย

2.. เพื่อประกอบการทำใจของคุณ สังคมไทยเป็นสังคมของมนุษย์พันธ์ไทยซึ่งมีแคแรคเตอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธ์อยู่สองสามอย่างเช่น (1) ชอบความง่าย (simplicity) โดยที่คอนเซ็พท์เท่ๆทางสังคมนั้นมีไว้แค่เป็นกิมมิค (gimmick) ไม่ได้เชื่อหรือเคารพนับถือจริงจัง (2)  มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนสูง แบบว่าอัตตาแยะ แม้ว่าตามทะเบียนบ้านจะนับถือศาสนาพุทธก็ตาม ยิ่งยากจน ยิ่งชนบท ยิ่งมีอีโก้มาก (3) มีหลักคิดแบบเจ้าถ้อยหมอความ โดยมีไอดอลตัวเอ้ชื่อ “ศรีธนนชัย”

เขียนถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งในช่วงเลือกตั้งรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา ผมไปบรรยายแล้วได้นั่งคุยกับกลุ่มเจ้าภาพอยู่ในวงหนึ่งซึ่งไม่ค่อยสนิทกันนัก ผมชวนคนนั่งข้างๆคุยว่าเขาจะไปเลือกตั้งไหม เขายักไหล่ตอบว่าเขาไม่ต้องการไปยุ่งกับวงจร โง่-งก-ปลิ้นปล้อน ผมถามว่าวงจรนี้มันเป็นอย่างไรเขาตอบว่า

“..ถ้าประชาชนโง่-งก-ปลิ้นปล้อน ก็จะได้สส.ที่โง่-งก-ปลิ้นปล้อน

ถ้าสส.โง่-งก-ปลิ้นปล้อน ก็จะได้รัฐบาลที่โง่-งก-ปลิ้นปล้อน

ถ้ารัฐบาลโง่-งก-ปลิ้นปล้อน ก็จะบ่มเพาะให้ประชาชนเป็นคนโง่-งก-ปลิ้นปล้อน..

อามิตตาภะ พุทธะ ผมฟังแล้วอ้าปากทำตาโตด้วยความตะลึง แหงนมองเพดาน ฝรั่งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในวงด้วยขอให้ผมแปลวงจรนี้ให้ฟังหน่อย เพราะเขาฟังภาษาไทยได้งูๆปลาๆ ผมแปลคีย์เวอร์ดให้เขาฟังว่า

“ Stupid, Greed, and Cheat”

คราวนี้เป็นฝรั่งอ้าปากทำตาโตด้วยความตะลึง แหงนมองเพดานบ้าง หิ..หิ

3.. ในความยุ่งขิงปลิ้นปล้อนมั่วซั่วมีบางอย่างที่มันเวอร์ค สมัยต้มยำกุ้ง โรงพยาบาลที่ผมบริหารอยู่เกิดหนี้ท่วมหัวหมดปัญญาใช้หนี้ ต้องยอมรับให้ฝรั่งเข้ามาเป็นนาย วันหนึ่งผมกับนายฝรั่งนั่งรถไปด้วยกันเพื่อไปประชุมประนอมหนี้ เขาชี้ให้ผมดูสายโทรศัพท์บ้าง สายไฟฟ้าบ้าง สายอินเตอร์เน็ทบ้าง ที่ขมวดอยู่บนเสาไฟฟ้าหัวมุมถนนซึ่งมันม้วนมันพันกันเละเทะยุ่งเหยิงสุดพรรณนา และพูดว่า

“ที่ผมแปลกใจประเทศไทยอยู่อย่างหนึ่งก็คือเกือบทุกอย่างมันมั่วเละเทะ แต่มันเวอร์ค”

ดังนั้น ผมแนะนำคุณว่าสิ่งต่อไปนี้อาจจะเวอร์คในสถานการณ์ของคุณ

3.1.. คนทุกชาติทุกภาษา รวมทั้งคนไทย ไม่ว่าจะยากดีมีจน เชื่อมโยงกันได้ด้วยเมตตาธรรม เริ่มต้นด้วยแทนที่จะมีชีวิตอยู่แบบแยกตัวออกจากสิ่งแวดล้อมเพราะกลัวการปนเปื้อน ลองเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแบบใหม่ ออกไปเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขา โอภาปราศรัย ช่วยเหลือกิจของส่วนรวมโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ยิ้มให้กับทุกคนแม้เขาจะหน้าบึ้งขึ้งเครียด เมื่อเขาโกงเราก็หลับตาเสียข้างหนึ่งเมื่อเห็นว่าเงินที่เราเสียไปจะทำให้อีกหลายคนมีความสุขขึ้น แล้วคุณจะพบว่าอะไรที่แย่ๆในชีวิตมันมีทางออกที่ดีขึ้น อย่างน้อยการได้เห็นคนอื่นที่คุณไปช่วยเหลือว่าเขาแย่กว่าคุณก็ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นแล้ว

3.2.. สังคมไทยมีรากฐานเป็นสังคมกสิกรรมที่เงียบเหงา จึงมีวัฒนธรรมกระต่ายตื่นตูม ยกตัวอย่างเช่นคุณได้กลิ่นควันบ่อยๆคุณก็ติดเซ็นเซอร์วัดควันแบบความไวสูงไว้ที่ระเบียงบ้านของคุณ มันไวมากขนาดได้กลิ่นลมหายใจของคนที่สูบแล้วดับบุหรี่ไปนานแล้วมันยังเปิดหวอเลย คุณก็ให้มันเปิดหวอเสียงดันลั่นเข้าไว้ สมัยนี้จะให้มันส่งเสียงร้องดังลั่นว่า ไฟไหม้ ไฟไหม้ ให้แตกตื่นกันไปทั้งคอนโดมันก็ทำได้นะ

3.3. ด้วยเหตุผลเดียวกับข้อ 3.2 ในสังคมไทยนี้ผู้รับผิดชอบที่ไม่รับผิดชอบอะไรล้วนกลัวอยู่อย่างหนึ่งคือกลัวตกเป็นข่าว ดังนั้นทางเลือกคู่ขนานไปกับการดำเนินการตามกฎหมายก็คือคุณทำเรื่องนี้ให้เป็นข่าว นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เวอร์คในสังคมแบบไทยๆ

3.4.. ถ้าทำทุกอย่างแล้วมันยังไม่เวอร์คคุณก็ขายคอนโดเก่าไปหาที่อยู่ใหม่ คนที่ย้ายที่อยู่ด้วยเหตุผลเพื่อหนีเพื่อนบ้านนั้นมีอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนจะเลือกทางนี้คุณต้องลองวิธี 3.1 อย่างเจนจบก่อนนะ เพราะมันจะช่วยให้ข้อมูลแก่คุณว่าใครกำลังหนีใคร ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าเราหนีตัวเองซึ่งหนีไปไหนก็หนีไม่พ้น

มีอยู่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วผมไปออกโทรทัศน์เรื่องที่พักผู้สูงอายุ จำได้ว่ามีผอ.คอนโดบ้านพักผู้สูงอายุแห่งหนึ่งมาเป็นวิทยากรร่วมด้วย ขณะแต่งหน้ารอออกรายการเราคุยกันเรื่อยเปื่อยไป ผมเปรยถึงผู้สูงอายุท่านหนึ่งที่จะย้ายมาจากคอนโดบ้านพักผู้สูงอายุแห่งนั้นและมาขอให้ผมช่วยหาบ้านพักถาวรในมวกเหล็กวาลเลย์ให้ ท่านผอ.รีบบอกว่า

“อ๋อ คนนี้เหรอ คุณหมออย่าไปยุ่งด้วยเชียวนะ เธอจะทำให้หมู่บ้านแตกได้”

 นี่ไง ตัวอย่างของการหนีเพื่อนบ้าน โดยไม่รู้ว่ากำลังหนีตัวเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์





[อ่านต่อ...]

10 สิงหาคม 2567

อย่าลืมสิ เจ้าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่นะ

(ภาพวันนี้ / กระดุมทองบนเชิงลาดหน้าบ้าน)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

      เมื่อปีที่แแล้วผมเป็นโควิดและไข้หวัดใหญ่ ติดกันจึงไม่ได้ออกกำลังกายประมาณ 3 เดือน(ปกติจะวิ่งสัปดาห์ละ3-4วัน วันละ 5กม.) พอหายกลับมาวิ่งใหม่ พบอาการวิ่งแล้วจุกที่คอ เหมือนคอแห้งมากแต่พักสักครู่ก็หาย ไปหาหมอ ได้รับการตรวจ Tpoponin i ได้ค่า 106.7 หมอบอกว่าผมเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ ให้ฉีดสีสวนหัวใจทำบอลลูน ถ้าทำไม่ได้อาจต้องทำบายพาส  ผมตกใจมาก แต่ยังไม่กล้าทำ ขอทานยาดูอาการไปก่อน (หมอให้เซ็นต์ปฏิเสธการฉีดสีสวนหัวใจด้วย) ผมจึงไปหาข้อมูลใน internet พบคลิปเรื่อง รักษาโรคด้วยตัวเองเมื่อเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ของคุณหมอเข้า เลยลองเอามาปฎิบัติดู ควบคู่กับการทานยาโรคหัวใจไปด้วย รวมเวลาประมาณ 1 ปี น้ำหนักลดลงจาก 74 เหลือ 60 (ผมสูง169 )ไขมันLDLจาก 133 เหลือ 48 /HDL จาก 37 เป็น 50 /ไตรกี จาก 164 เป็น 56 รู้สึกอาการจุกเวลาวิ่งดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีอาการเมื่อชีพจรเต้นเกินกว่า 120 ครั้ง/นาที แต่อาการน้อยลงกว่าเดิมมาก อยู่มาวันนึงผมลืมทานยาแต่กลับรู้สึกดีไม่มีอาการจุกเลย แต่พอกลับมาทานยาต่อก็รู้สึกมีอาการเหมือนเดิม  ผมจึงลองแกล้งลืมทานยาอีก (ประมาณสัปดาห์ละครั้ง)ก็รู้สึกว่าร่างกายปลอดโปล่งมาก ผมอยากถามว่าเป็นไปได้มั้ยครับว่าผมหายดีแล้วหรืออาจไม่ได้เป็นอะไรเลยตั้งแต่แรก หรือยังไม่หายและต้องทานยาต่อไป  ปัจจุบันทานยา Tovastatin 40 mg. Miracid 20 mg. Aspirin 81 mg. Sandoz 10mg. รบกวนด้วยครับ

…………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าอาการวิ่งออกกำลังกายหนักๆแล้วจุกแน่นคอหอย พอเพลาการวิ่งลงอาการก็หายไป เป็นอาการของโรคอะไร ตอบว่าเป็นอาการของโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วน (stable angina) ข้อมูลแต่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะลงมือรักษาตัวเองด้วยการปรับอาหาร ออกกำลังกาย จัดการความเครียดด้วยตนเองไปเลย ไม่ต้องรอตรวจยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตรวจสวนหัวใจก่อน ซึ่งคุณก็ได้ทำมาได้ดีมากแล้ว

2.. ถามว่าอาการหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วนจะเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโควิดไหม ตอบว่ามีทั้งแบบที่เกี่ยวข้องกับโควิดและแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิดเลย กลไกการเกิดโรคป่วยหลังโควิด (post covid 19 conditions – PCC) รวมถึงที่แสดงอาการแบบหัวใจขาดเลือดเจ็บแน่นหน้าอกนั้น วงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบว่ากลไกแท้จริงเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าอาการแบบหัวใจขาดเลือดถูกลิสต์ว่าเป็นอาการยอดนิยมที่พบบ่อยอาการหนึ่งหลังเป็นโควิด

3.. ถามว่าแอบหยุดยาเองแล้วดีขึ้น จะเลิกกินยาเสียดีไหม ตอบว่ารายชื่อยาที่คุณให้มานั้นไม่มียาตัวไหนรักษาโรคเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วนได้แม้แต่ตัวเดียว ถ้าคุณไม่อยากกินจะเลิกกินเสียทั้งหมดก็ได้ แต่เฉพาะตัว Aspirin หากคิดจะเลิกคุณควรเลิกแบบค่อยๆเลิก ใช้เวลานานอย่างน้อยหนึ่งเดือน เพราะหากเลิกทีเดียวพรวดพราดเลือดจะจับกลุ่มเร็วกว่าปกติและก่อปัญหาได้ ย้ำอีกทีว่ายาทั้งหมดไม่ได้กินเพื่อให้คุณหายจากโรคเพราะยาทำให้คุณหายจากโรคไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะเรียกมันว่าโรคเรื้อรังรึ การเปลี่ยนวิถีชีวิตเท่านั้นที่ทำให้คุณหายจากโรคได้

4.. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ความจริงแล้วคุณไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลย ตอบว่าเป็นไปได้น้อยมากครับ เพราะอาการที่สัมพันธ์กับการออกกำลังกายบ่งชี้ว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างกับกลไกการทำงานของอวัยวะร่างกายขณะออกกำลังกาย ไม่ใช่ภาวะปกติ อย่างน้อยก็อาจะเป็นผลพวงจากโควิด19 หรือร่างกายไม่ฟิต หรืออย่างมากก็อาจเป็นโรคหัวใจขาดเลือดจริงๆ

5.. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่คุณเป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วน แล้วคุณทำตัวดีและมันหายไปแล้ว ตอบว่าการตอบคำถามนี้จะพาให้คุณตั้งอยู่ในความประมาทและกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมที่ไม่ดูแลสุขภาพ ดังนั้นผมขอตอบแบบอ้อมๆโดยยกตัวอย่างตัวผมเองซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมีอาการเจ็บหน้าอกแทบทุกครั้งที่ออกแรงหรือเครียดร่วมกับวินิจฉัยยืนยันโรคได้ชัดแล้ว แต่พอเปลี่ยนวิถีชีวิตจนอาการหายไปกลับมาวิ่งจ๊อกกิ้งหรือเดินเร็วได้ นับช่วงปลอดอาการมาได้ตอนนี้ก็ราว 15 ปีแล้ว ผมยังไม่เคยวินิจฉัยตัวเองเลยว่าผมหายแล้ว มีแต่จะคอยเตือนตัวเองอยู่ทุกครั้งที่เผลอปล่อยตัวให้ไหลเลื่อนกลับไปหานิสัยเดิมว่า

            “..อย่าลืมตัวสิ เจ้าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่นะ”

            เพราะในการจัดการโรคเรื้อรังทุกโรคไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ความดัน เบาหวาน เป็นต้น แก่นของเรื่องคือการเปลี่ยนนิสัยให้สำเร็จอย่างยั่งยืน ไม่ใช่สำเร็จแบบม้าตีนต้น เพราะผมเคยเห็นผู้ป่วยที่ประสบความสำเร็จแบบม้าตีนต้นหลายรายที่ได้ปลื้มกับความสำเร็จของตัวเองสุดท้ายก็ไหลรูดไปอยู่ที่เดิม ดังนั้นในการเปลี่ยนนิสัยเพื่อรักษาโรคเรื้อรังนี้ เราไม่นับม้าตีนต้น เรานับเฉพาะผู้เปลี่ยนนิสัยได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมันต้องอาศัยสติคอยดึงตัวเองให้ออกห่างความเย้ายวนที่จะลากเรากลับไปหานิสัยเก่าอยู่ร่ำไป

            กล่าวโดยสรุป คุณจะเลิกกินยาแล้วโฟกัสที่การเปลี่ยนวิถีชีวิตก็ทำได้ครับ แล้วใช้การออกกำลังกายให้หนักพอควรเป็นตัวประเมินความรุนแรงของหัวใจขาดเลือด หากสบายดีก็ทำแค่นี้ต่อไป หากมีอาการรุนแรงจนคุณภาพชีวิตเสียหายรับไม่ได้ก็ค่อยไปสืบค้นเพิ่มเติมในทิศทางที่จะทำการรักษาแบบรุกล้ำเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตต่อไป

 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

07 สิงหาคม 2567

เป็นข้าราชการถ้าใช้สิทธิ UCEP ในรพ.เอกชนแล้วย้ายเข้ารพ.ของรัฐต่อไม่ได้จะทำอย่างไร


  (ภาพวันนี้ / แวะกินข้าวเย็นที่ร้านข้างตลาดต้นแค มวกเหล็ก)

เรียน คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

ผมชื่อ … เป็นแฟนบล็อกของคุณหมอมาอย่างยาวนาน

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ใช้ความรู้ในบล็อกของคุณหมอช่วยญาติสนิท ให้มีความรู้ในเรื่องการใช้สิทธิ์ UCEP อย่างปัจจุบันทันด่วน เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด ที่ ER จนท. หน้างานทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และจะให้เข้าระบบปกติ คนที่นำส่งจึงถามไปตรงๆ ว่า ใช้ UCEP ได้ไม่ใช้หรือ เจ้าหน้าที่คัดกรองจึงตอบว่า “ได้”

อายุคนไข้ 59 ปี เป็นคนสูบบุหรี่ แต่กินอาหารตามปกติ ไม่วีแกน ไม่มัง มีโรคความดันสูง โรคเบาหวานชนิดที่ 2

และโรคไต (ไม่ทราบระยะ) อาการคือ เจ็บแน่นหน้าอกแบบด่วนเกิน 20 นาที หายใจไม่ออก และเริ่มเกร็งไปทั้งตัว 

ไปถึง รพ. แรกรับ ออกซิเจนในเลือดเหลือ 83% และการบีบตัวของหัวใจแย่ จึงเกิดเหตุที่ต้องใช้ UCEP และแพทย์ต้องเปิดหลอดเลือดโดยใช้ยาโดยด่วน อาการดีขึ้น ตอนนี้ รพ. เอกชนได้ประสาน รพ. ต้นสิทธิ์บัตรทอง ภายใน 72 ชม. ผู้ป่วยไปนอนที่ รพ. ต้นสิทธิ์เรียบร้อยครับ แต่แพทย์ทำท่าจะสวนหัวใจ ผมว่าเขาอาจต้องฟอกไตไปตลอดชีวิต

คำถามครับคุณหมอ

ผมใช้สิทธิ์ข้าราชการ ซึ่งไม่มีโรงพยาบาลต้นสิทธิ์ หากเกิดกรณีที่ต้องใช้ UCEP ที่ รพ. เอกชนที่ใกล้ที่สุด และผมไม่มีเส้นสาย ทุก รพ. รัฐ อ้างว่าเตียงเต็ม ถามว่า ในทางปฏิบัติจะทำอย่างไรครับ

ปล. ผมขอขอบพระคุณคุณหมอสันต์เป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ผมได้ส่งคลิปวิธีลดความดัน, การดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวานชนิดที่ 2, การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไต ของคุณหมอไปให้ญาติผู้ดูแลผู้ป่วย หวังว่าเขาจะได้ประโยชน์ครับ

………………………………………………………

ตอบครับ

ก่อนตอบคำถาม ผมขอสรุปเรื่องก่อนนะว่าญาติของคุณซึ่งเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ได้เข้ารพ.เอกชนเป็นการฉุกเฉิน ใช้สิทธิ UCEP ได้รับการรักษาการเปิดหลอดเลือดฉุกเฉินในสามวันแรก และได้ย้ายไปรพ.ต้นสังกัดบัตรทองเพื่อการรักษาต่อเนื่องเรียบร้อยแล้ว

ส่วนคำถามของคุณนี้เป็นกรณีสมมุติว่าถ้าคุณซึ่งเป็นข้าราชการ เกิดกรณีฉุกเฉินต้องเข้ารพ.เอกชนใกล้บ้านและใช้สิทธิ์ UCEP ครบสามวันแล้วต้องย้ายไปอยู่รพ.ต้นสังกัด แต่คุณเป็นข้าราชการซึ่งไม่มีโรงพยาบาลต้นสังกัด ต้องอาศัยการส่งต่อเข้ารพ.ของรัฐแห่งใดแห่งหนึ่ง หากทุกโรงพยาบาลที่จะส่งต่อไปปฏิเสธการรับโดยให้เหตุผลว่าเตียงเต็มหมด จะทำอย่างไร เพราะจะอยู่รพ.เอกชนต่อก็ต้องจ่ายเงินเองซึ่งจ่ายไม่ไหว จะย้ายเข้ารพ.ของรัฐก็ไม่มีที่ไหนรับ

คำถามของคุณเจาะเข้าตรงช่องโหว่ของระบบสวัสดิการข้าราชการพอดี กล่าวคือมีหลักการดีมากว่าเข้ารพ.ของรัฐที่ไหนได้หมด แต่ในทางปฏิบัติคือบางจังหวะ (เช่นช่วงโควิดระบาด) เข้าที่ไหนไม่ได้เลยเพราะเต็มหมดจะทำอย่างไร สู้คนมีสิทธิ์สามสิบบาทหรือประกันสังคมไม่ได้ เพราะชั่วดีถี่ห่างยังไงเขาก็เข้าโรงพยาบาลต้นสังกัดของเขาได้

ต่อปัญหานี้ผมตอบว่า ทางเลือกที่คุณมีอยู่ตอนนี้คือ

วิธีที่ 1. อาศัยเส้น ซึ่งเป็นวิธียอดนิยมที่เวอร์คสุด แต่คุณบอกว่าคุณเป็นคนไม่มีเส้น ก็ต้องอาศัยวิธีถัดๆไป

วิธีที่ 2. อาศัยหมอที่รักษาคุณอยู่ในรพ.เอกชน แล้วขอให้หมอช่วยติดต่อเพื่อนเขาที่อยู่ในรพ.ของรัฐที่ไหนสักแห่ง วิธีนี้เป็นวิธียอดนิยมที่ผู้ป่วยที่หมดเงินกับรพ.เอกชนใช้มากที่สุด ซึ่งก็เวอร์คดีพอควร เพราะหมอย่อมต้องมีเพื่อนมีพวกหมอด้วยกันกระจายอยู่ทั้งภาครัฐและเอกชน และหากเป็นหมอผ่าตัดเขาก็จะมี “ซี้” ส่วนตัวไว้เผื่อเหนี่ยวเสมอ เผื่อผู้ป่วยที่ตนผ่าตัดเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวจะได้หาทางย้ายเข้ารพ.ของรัฐได้

วิธีที่ 3. อาศัยเสียงร้อง ขณะที่หมอเอกชนติดต่อย้ายไปไหนก็เตียงเต็มให้คุณจดไว้ว่ารพ.อะไร ขอย้ายเข้าเวลาเท่าไหร่ ที่เขาตอบปฏิเสธ รวบรวมให้ได้อย่างน้อย 5-10 รพ. พอวันรุ่งขึ้นคุณก็เขียนเป็นหนังสือร้องขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรพ.โดยตรง ถ้าเป็นกทม.ก็ร้องไปที่ผอ.สำนักงานแพทย์กทม. ถ้าเป็นตจว.ก็ร้องไปที่นายแพทย์ สสจ. (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ว่าคุณกำลังเดือดร้อนเงินหมดขอให้ท่านช่วยหาเตียงให้คุณโดยให้รายชื่อรพ.ที่เขาปฏิเสธแล้วทั้งหมด ในคำร้องนั้นระบุด้วยว่าถ้าท่านไม่ช่วยคุณก็เหลือทางไปทางเดียวคือไปร้องเรียนกับสื่อมวลชน ผมเชื่อว่าท่านหาเตียงให้คุณได้แน่นอน เมื่อเขาเลือกรพ.ให้ได้แล้วคุณก็อย่าไปเกี่ยวว่าต้องได้รพ.นั้นรพ.นี้ เขาให้ไปรพ.ไหนคุณก็ไปก่อน ถ้าหมอที่นั่นเขารักษาคุณไม่ได้เขามีระบบที่สามารถส่งต่อๆกันไปภายในระบบรพ.ของรัฐด้วยกันเอง

นพ.สันต์ใจยอดศิลป์

………….

[อ่านต่อ...]

04 สิงหาคม 2567

ผมไปต่อไม่ไหวแล้ว

(ภาพวันนี้ / ไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียว เพื่อนที่ไปด้วยเป็นศิลปินเขาวาดให้)

เรียนคุณหมอสันต์

            ผมตั้งต้นทำธุรกิจ import export ทำมาได้สิบปี ปัจจัยแวดล้อมมันแย่ลง สงคราม การแข่งขัน การคดโกงไม่ชำระหนี้ ทำให้ธุรกิจของผมลำบาก ผมต่อสู้มาจนรู้สึกว่าหมดแรงแล้ว ไม่สนุกแล้ว หรือพูดตรงๆก็คือทุกข์มาก อยากจะหายตัวไปดื้อๆ แต่ในชีวิตจริงก็ทำไม่ได้เพราะยังมีลูกมีเมีย แต่ผม..ไปต่อไม่ไหวแล้ว

…………………………………………

ตอบครับ

ก่อนจะตอบคำถามของคุณผมขอพูดอะไรเรื่องเปื่อยก่อนนะ

ความเป็นจริงของทุกอย่างในจักรวาลนี้คือทุกอย่างมันดำเนินไปแบบเป็นวงจรการเกิดดับเป็นรอบๆซ้ำๆซากๆเช่นโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ หรือหนอนผีเสื้อโตเป็นดักแด้ กลายเป็นผีเสื้อ ออกไข่ แล้วตายไป และไข่นั้นก็จะกลายเป็นหนอนของรอบใหม่ เป็นต้น มนุษย์เอาวงจรเกิดดับนี้มาสร้างคอนเซ็พท์เวลา มีชั่วโมง วัน เดือน ปี อยู่ในปฏิทิน คอนเซ็พท์ปฏิทินนี้ก่อให้เกิดคอนเซ็พท์อตีต อนาคต และคอนเซ็พท์ที่ว่าเกิดมาเป็นคนแล้วต้องมุ่งหน้าสร้างอนาคต ที่วาดความสำเร็จไว้ที่การได้เงิน การมีปริญญามีเกียรติมียศ การเป็นคนสำคัญ โดยอาศัย “ความอยาก” หรืออาจเรียกให้เพราะขึ้นหน่อยว่า “แรงบันดาลใจ” เป็นพลังขับดันหรือเป็นพลังชีวิตพาให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น

ชีวิตแบบนี้มันไม่มีปัญหาอะไรตราบใดที่เราไม่เผลอลืมไปว่าปฏิทินเป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่เราสมมุติขึ้น และว่าความเป็นจริงของทุกสิ่งในจักรวาลนี้ล้วนเป็นไปตามรอบของการเกิดดับ โดยสิ่งที่เราเรียกว่าอนาคตนั้นแท้จริงแล้ว..ไม่มี หากจะมีก็มีสารัตถะจริงแท้อยู่อย่างเดียวคือความตายและการแตกดับสลายของทุกสิ่งที่เราสมมุติขึ้น แต่ปัญหาคือเรามักจะเผลอลืม แล้วมักเกิดอะไรมาสะกิดให้คิดได้ถึงความไร้สาระของสิ่งที่เราได้พยายามทำมา ซึ่งการสะกิดนี้มักเกิดในสองช่วง คือ

ช่วงที่ 1 คือช่วงกลางทาง เมื่อเราพบว่าความพยายามที่จะสร้างอนาคตนั้นช่างยากเย็นแสนเข็นฝืดเคืองฝืนความรู้สึกซะ เราอาจจะยังไม่รู้ดอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา รู้แต่ว่าหากทั้งหมดนี้เป็นการเล่นขายของตอนเราเป็นเด็ก โมเมนต์นี้คือโมเมนต์ที่เราหมดสนุกและตัดสินใจเลิกเล่นละ กลับบ้านหาแม่ดีกว่า

ช่วงที่ 2 คือช่วงปลายทาง เมื่อเราประสบความสำเร็จในการสร้างอนาคตแล้ว แต่เมื่อมาถึงจริงๆเรากลับพบว่ามันไม่ใช่อย่างที่เราคิด มันเป็นความผิดหวังว้าเหว่ บางคนปรับตัวโดยควานหาเป้าตัวใหม่เพื่อสร้างอนาคตครั้งใหม่ เพราะได้เรียนรู้ว่าตอนกำลังสร้างมันยังสนุกพอทนได้แต่ตอนมาถึงแล้วมันทนไม่ได้ แต่บางคนรับรู้ความไร้สาระของชีวิตที่ผ่านมาไว้มากเสียจนมองไม่เห็นประโยชน์ที่จะไปเล่นมันอีกรอบ

ไม่ว่าจะมาถึงตอนช่วงกลางทาง หรือช่วงปลายทาง มันก็เหมือนกันตรงที่ว่าหมดสนุกเสียแล้ว อยากเลิกเล่น กลับบ้าน หาแม่

ในสมัยที่เราเป็นเด็กเล่นขายของ มันไม่แย่มาก เพราะ (1) เรารู้ว่าเรากำลังเล่น และที่เราสมมุติทุกอย่างกันขึ้นในวงเล็กๆเราพอควบคุมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุน กำลังซื้อ เป็นต้น (2) พอถึงจุดเบื่อหรือพูดกันไม่รู้เรื่อง เราก็เลิกเล่นกลับบ้านหาแม่ได้

แต่ในการสร้างอนาคตในชีวิตที่เราถือว่าเป็นชีวิตจริงนี้ มันแย่กว่าการเล่นขายของตรงที่ (1) ปัจจัยต่างๆที่เราสมมุติขึ้นมันเป็นการตกลงกันในวงกว้างแบบจริงจังซะจนเราไปเปลี่ยนแปลงควบคุมบังคับอะไรไม่ได้เลย มันจึงยาก มันจึงฝืดจนเราหมดแรงที่จะฝืนทำต่อ (2) พออยากจะเลิกเราไม่รู้จะเลิกยังไง เพราะคนอื่นเขาไม่ยอมเลิกกับเรา และเมื่อเลิกแล้วเราก็ไม่รู้จะไปหาใคร เพราะเราไม่มีแม่ให้วิ่งไปหาแล้ว

การแก้ปัญหา

คุณจะต้องเข้าหาปัญหานี้จากสองทิศทางพร้อมๆกันคือ (1) การมองภาพใหญ่ (perspective) ของชีวิตให้ออก (2) การแก้ปัญหาที่พลังชีวิต (life energy) มันกำลังเหือดแห้งลง

ในทิศที่ 1. การมองภาพใหญ่ของชีวิต คุณต้องขยายมุมมองจากเดิมที่มีกรอบการมองแคบอยู่แค่ว่าการสร้างอนาคตเป็นเรื่องจริงที่ต้องทุ่มเท อุปสรรคใดๆที่เกิดขึ้นต้องแก้ หากแก้ไม่ได้ อนาคตก็จะหดจุ๊ดจู๋ ชีวิตก็จะหดจุ๊ดจู๋ไปด้วย มาเป็นมุมมองที่กว้างใหญ่กว่าเดิม มองให้เห็นว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงวงจรของการเกิดดับของสรรพสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วล้วนเดินหน้าไปสู่การเสื่อมสลายแตกดับหายสาบสูญไปในที่สุดไม่มีตรงไหนจะอยู่นิ่งๆหรือเป็นอย่างใจเราได้เลย เพียงแต่ว่าเราไปตั้งคอนเซ็พท์ขึ้นมาว่าชีวิตมีกรอบเวลากำกับ เราต้องสร้างอนาคตที่มีความสำเร็จเป็นหมุดหมายก่อนตาย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือเป็นแค่ความคิดของเราเท่านั้น หาใช่เป็นความจริงของชีวิตไม่ พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเราแค่เล่นละครชีวิตซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเล่นขายของตอนเราเป็นเด็ก เราจึงต้องเล่นละครให้เป็น คืออินกับการเล่นละครให้พอดีๆ ให้มันแค่สนุก แต่ไม่อินมากเกินไปจนกลายเป็นความทุกข์ เพราะมันเป็นแค่ละครที่จะต้องจบแบบตายกันเกลี้ยงไม่เหลืออะไรจีรังอยู่แล้ว หากเราอินแค่พอดี ปัญหาในละครชีวิตก็จะกลายเป็นความท้าทายสนุกสนาน แต่หากเราอินมากเกินไป ปัญหาในละครก็จะบีบคั้นเราให้เครียดยิ่งขึ้น เครียดยิ่งขึ้น จนเราสติแตกหาทางออกไม่เจอ

ดังนั้นให้รับรู้ชีวิตสองด้านควบคู่กันไป ทั้งการเล่นละคร และการชมละครที่ตัวเองเล่น ขณะที่ชีวิตดำเนินไป ให้หัด หยุด ดู เงี่ยหูฟัง รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น (Stop, look, listen, feel) เสียบ้าง เพราะที่เราพยายามวิ่งหรือพยายามสร้างอนาคตสู่เป้าหมายแทบตายนั้น เราอาจจะอยู่ตรงเป้าหมายที่แท้จริงแล้วก็ได้

          ในทิศที่ 2. การแก้ปัญหาที่พลังชีวิตมันเหือดแห้ง พลังชีวิตก็คือความสนุกในการเล่นละครหรือการเล่นขายของ มันสืบเนื่องมาจากทิศที่ 1 กล่าวคือตราบใดที่เรายังเผลอคิดว่าชีวิตนี้มันเป็นของจริงที่ต้องเอากันให้ได้ ให้เป็นให้ตาย เราก็จะเครียด ความเครียดนั้นจะกัดกร่อนพลังชีวิตของเราในรูปของความคิดลบที่ผุดขึ้นในหัวของเราไม่เว้นแต่ละวัน ดังนั้นนอกจากจะมองชีวิตในภาพใหญ่ให้ออกว่ามันเป็นแค่ละครแล้ว คุณก็ต้องฝึกวิธีวางความคิดลบที่เกิดขึ้นในหัวคุณในแต่ละโมเมนต์ด้วยเพื่อไม่ให้ความคิดลบมาบั่นทอนพลังชีวิตที่แห้งอยู่แล้วให้แห้งเหือดลงไปอีก คือต้องมองทุกอย่างไปทางบวก มองปัญหาเป็นความท้าทายแบบเล่นเกมสนุกๆ ควบคู่กันไปคุณก็ต้องบ่มหรือฟูมฟังพลังชีวิตให้มันมีมากขึ้น ด้วยการ

1.. หายใจแบบเพิ่มพลังชีวิต ด้วยการสูดหายใจเข้าไปลึกๆช้าๆ กลั้นลมหายใจไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกเบายาวๆช้าๆ ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวันทุกที่ทุกเวลา

ตื่นเช้าขึ้นมา ให้หันหน้าไปยังที่ว่างๆโล่งๆ ชูสองมือขึ้น สูดหายใจเข้าให้เต็มปอดดูดเอาพลังจากภายนอกเข้ามา วาดมือลงพร้อมกับหายใจออกและผ่อนคลายร่างกาย ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ ชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

2.. ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มหัวเราะ การผ่อนคลายทำง่ายๆโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย ยิ้มไปด้วย ขณะมีความคิดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวและมีไฟฟ้าวิ่งในเส้นประสาทมากจนกลบพลังชีวิตซึ่งเป็นไฟฟ้าระดับแผ่วเบาไปหมด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทสงบลง จะรับรู้พลังชีวิตได้ง่าย

การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นยิ้มและหัวเราะให้เป็นกิจวัตร มองตัวเองในกระจกบ่อยๆแล้วยิ้มให้ตัวเองทุกครั้ง ชีวิตนี้ในวันหนึ่งๆไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เป็นไร เพราะอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นมันเป็นเรื่องของอีโก้หรือความคิดอย่าไปให้ราคามันเลย วันๆหนึ่งๆขอให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะก็พอแล้ว หรืออย่างน้อยได้ยิ้มทั้งวัน เพราะนั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน

3.. ถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาสนใจพลังชีวิตแทน สนใจรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าบนผิวกายให้บ่อยๆหรือเกือบจะตลอดเวลา เรียกว่าขยันทำ body scan ขยันทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับรู้พลังชีวิตผ่านความรู้สึกบนร่างกาย เช่นรำมวยจีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำได้ดีหากผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะในชีวิตนี้ความสนใจคือที่มาของอำนาจ อะไรที่ความสนใจไปจดจ่อสิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่และสำคัญ เราท้อแท้กับชีวิตเพราะเราเอาความสนใจไปขลุกอยู่กับความคิดลบหรือความล้มเหลวในชีวิตทำให้ความคิดลบมันใหญ่ขึ้นมา ถ้าย้ายความสนใจมาจดจ่อที่พลังชีวิต พลังชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง

4.. ถ้าจะคิดให้คิดบวก การไม่ยุ่งกับความคิดดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังติดข้องอยู่ในความคิด เลิกยังไม่ได้ ถอนตัวยังไม่ขึ้น ก็ให้ใช้ประโยชน์จากความคิดเสียเลย คือให้มุ่งไปทางคิดบวก หนีความคิดลบ เพราะความคิดบวกจะบ่มเพาะพลังชีวิตให้เป็นปึกแผ่นขึ้น เนื่องจากพลังงานที่แผ่คลุมไปทั่วที่เราเรียกว่าพลังจักรวาลนั้นในแง่ของความคิดมันก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง โลกในทางจิตวิญญาณพื้นฐานของมันมีอย่างเดียวคือเมตตาธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านั้น หมายความว่า ความเมตตา ให้อภัย ขอโทษ ขอบคุณ นี่เป็นความคิดบวกที่จะเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้ ความกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอนาคต กลัวอีโก้ของตัวเองจะอับเฉา นี่เป็นความคิดลบซึ่งชงขึ้นมาจากอีโก้ของเรา การหัดคิดบวกอาจเริ่มด้วยการหัดเขียนอะไรที่บวกๆในชีวิตเช่น “รายการขอบคุณ” คือเขียนว่าวันนี้เรามีเรื่องดีๆในชีวิตอะไรที่ควรขอบคุณบ้าง และควรหัดสอบสวนความคิดของตัวเอง ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมาสอบสวนหมด ความคิดนี้ใครชงขึ้นมา เพื่ออะไร ความคิดไหนที่จับไต๋ได้ว่าชงขึ้นมาโดยอีโก้ซึ่งกลัวตัวเองจะอับเฉาก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดไร้สาระจากอีโก้ โผล่อีกทีจะได้ดีดทิ้งทันที่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขลุกด้วย สอบสวนความคิดเรื่อยไป ดีดทิ้งเรื่อยไป จนความคิดหายเกลี้ยงไปหมดจากหัวได้ยิ่งดี

5.. จงใจทำอะไรใหม่ ๆ อะไรใหม่ๆที่นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แค่จงใจตั้งใจทำอะไรใหม่พลังชีวิตก็จะบู้ม..ม ขึ้นมาทันที เพราะในการทำอะไรใหม่ๆมันเปิดให้เราได้พบกับความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ก็คือด้านหนึ่งของพลังชีวิต ทั้งนี้มีประเด็นย่อยสี่ประเด็นคือ

5.1 ต้องเลือกอะไรที่เราชอบ (passion) คืออะไรที่ถูกจริต ทำให้กระดี๊กระด๊า ดลบันดาลความตื่นเต้นให้ท่านได้จะจะเห็นๆ อาศัยความรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่อาศัยเหตุผล

5.2 เมื่อลงมือทำ ต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ จดจ่ออยู่ที่การกระทำ นิ่ง แน่วแน่ จริงจัง

5.3 อย่าไปพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะได้ จะเสีย จะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เรียกว่า zero result คือทำโดยยอมรับว่าผลมันอาจจะเป็นศูนย์ไว้ก่อน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้ได้ทำ

5.4 ทำเสร็จแล้วเฉลิมฉลองทุกครั้ง เช่นสมมุติตั้งใจว่าเมื่อเสร็จกิจจากโถส้วมแล้วจะซ้อมท่านั่งยอง (squat) หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บมาก แต่พอทำเสร็จแล้วอย่าลืมเฉลิมฉลอง ฮ่า.. ทำได้ละ การเฉลิมฉลองทำให้พลังชีวิตเดินทางครบรอบวงของมัน ซึ่งจะทำให้มันแกร่งขึ้นๆ ไม่รู้จบ

ทุกเช้าตื่นขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมาทำไม วันนี้จะทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำสักอย่างได้ไหม อาจะเป็นอะไรเล็กๆเช่นรดน้ำต้นไม้ที่ไม่เคยรดมันเลยมานานแล้วสักครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำให้ครบสี่องค์ประกอบข้างต้น จบด้วยการเฉลิมฉลอง

6.. ออกกำลังกาย นี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง ทำให้เราหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขึ้น ไปสร้างเป็นพลังงานให้เซลล์ร่างกายมากขึ้น

7.. กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต คืออาหารพืชผักผลไม้ถั่วนัท ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี กินเนื้อสัตว์แต่น้อย ยิ่งเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยิ่งควรลดลงเพราะกินแล้วเครียดมากกว่ากินพืช

8.. นอนหลับให้พอ เพราะการนอนหลับเป็นการชาร์จพลังชีวิตโดยตรง

9.. อยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติเช่นป่าไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย ธรรมชาติเป็นสถานที่ดีที่สุดที่จะออกจากความคิดไปอยู่กับพลังชีวิต เพราะธรรมชาติเป็นสนามพลังงานอยู่แล้ว หาเวลาปลีกตัวออกไปจากผู้คน ไปอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เวลาอยู่ในธรรมชาติ ให้สังเกตทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส และรับรู้มันโดยไม่พิพากษาหรือคิดตัดสินหรือคิดต่อยอดใดๆ

10.. อยู่กับน้ำ อยู่ใกล้น้ำ คลุกคลีกับน้ำ จุ่มน้ำ แช่น้ำ เที่ยวน้ำตก เพราะน้ำนั้นกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นพลังงานภายนอกตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานที่ดี ในตัวเราก็มีน้ำเสียตั้ง 70% เวลาอาบน้ำให้อาบน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายเรา เพื่อให้เราได้สัมผัสพลังชีวิตซึ่งเป็นความอุ่นจากภายในได้ง่าย

11. อยู่กับเสียงดนตรี เน้นทำนอง ไม่เน้นคำร้อง ฟังไปทีละตัวโน้ต เป็นวิธีวางความคิดลบที่แนบเนียนโดยอีโก้ไม่ทันระแวง

12. อย่าทำอะไรที่เหนื่อยเกินไป มากเกินไป แม้จะเป็นการทำหน้าที่ เป็นการทำดี แต่ก็ไม่ควรให้มากเกินไปหรือเหนื่อยเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เราต้องฝืนทำ ในชีวิตนี้มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เราต้องฝืนทำบางเรื่อง ก็ทำแต่เท่าที่จำเป็น ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่าฝืนทำให้มันมากเกินไป เพราะมันจะเหนื่อยเร็วและจะบั่นทอนพลังชีวิตของเรา ถ้าเหนื่อยมากนักก็พักเอาแรงบ้าง หยุดไปชั่วคราวแล้วกลับมาใหม่

ถ้าทำอะไรแล้วก็แพ้ ทำอะไรแล้วก็แพ้ ก็ยังไม่เป็นไร สู้ไม่ไหวก็เลิกไปก่อน หนีไปก่อน อย่าไปคิดมากกับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ ช่วงที่หมดพลังก็กบดานนิ่งๆสักพักก็ได้ อย่าไปมองการไม่ทำอะไรว่าเป็นความเลวร้ายหรือเป็นการปล่อยชีวิตให้ไร้ค่า นั่นเป็นความคิดลบที่ไร้สาระ ถ้าเหนื่อยมากก็หยุดไม่ต้องทำอะไรสักพัก คนเราขอแค่ให้หายใจเข้าออกได้ ไม่มีใครมาบีบคอไว้ ในที่สุดก็จะฟื้นฟูพลังชีวิตตัวเองกลับมาได้เองในที่สุด ลมหายใจเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องมี อย่างอื่นคุณมาเริ่มเอาใหม่ได้หมด อย่าไปห่วงลูกเกินเหตุ คุณสังเกตไหมลูกหมาจรจัดมันยังไม่อดตายเลย ไหนๆก็มีลูกแล้วให้มองให้เห็นด้านบวกของการมีลูกบ้าง หัดลูกให้มาช่วยกันแบ่งเบาภาระในบ้านหรือช่วยกันทำมาหากิน ลดความคาดหวังว่าจะต้องเลี้ยงลูกแบบเลอเลิศ เปลี่ยนมาเลี้ยงแบบบ้านๆธรรมดาๆ เปลี่ยนความกังวลเรื่องลูกให้เป็นความสนุกในการเลี้ยงลูกแทน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์   

[อ่านต่อ...]