จดหมายจากคุณหมอใหม่ อย่าเอะอะก็..ขอลาออก

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่าง)

สวัสดีค่ะอจ.

ก่อนอื่นหนูต้องขอบคุณอาจารย์ที่ครั้งหนึ่งบทความของอาจารย์ (ตั้งแต่ปี2017) เรื่องนักศึกษาแพทย์เรียนไม่เก่งอาการร่อแร่ในอินเตอร์เนต ช่วยเป็นกำลังให้หนูอดทนเรียนแพทย์ศาสตร์จนครบ 6 ปี ด้วยอาศัยความอดทน แม้ว่าสุดท้ายเราจะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับเรา ทำให้เกิดความเครียดมากพอสมควร

      ตอนนี้หนูมาใช้ทุนรัฐบาลที่รพชแห่งหนึ่งค่ะ หนูพยายามตั้งใจดูคนไข้เท่าที่จะทำได้และไม่ harm คนไข้ หนูไม่เคยมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน หรือพี่ๆพยาบาล คนไข้หายกลับบ้านเราก็รู้สึกดีค่ะ หากสิ่งไหนไม่แน่ใจพยายามคอนเซาท์ขอความเห็นสตาฟ ซึ่งส่วนใหญ่ปัจจุบันอาจารย์ดีๆรับปรึกษา แต่สิ่งที่ทำให้หนูรู้สึกเหนื่อยเบื่อและอยากลาออกทุกวันไม่ใช่คนไข้แต่กลับเป็นคำตำหนิต่างๆที่รุนแรงพอสมควรจากสตาฟบางท่านเวลาคอนเซาท์ ที่เราต้องเจอและรับฟังตลอดโดยเลี่ยงไม่ได้ ฟังมาตั้งแค่สมัยเอกเทิร์นจนถึงตอนนี้ ทุกครั้งเราบอกกับตัวเองว่าช่างมันปล่อยผ่านไป แต่สุดท้ายมันก็โดนว่าจากการปรึกษาเคสอื่นๆที่เข้ามาอย่างหลากหลาย อาจจะไม่ได้เจอทุกวัน ทำให้พอโดนว่าบ่อยครั้งเข้า ถึงเวลาขึ้นเวรเราก็ไม่อยากอยู่ กลัว หรือกังวล วนเป็นวัฏจักร หนูจึงคิดอยากจะลาออกหากพอมีช่องทาง แต่ ณ ขณะนี้อาจจะต้องทนอยู่ไปก่อน อยากขอคำแนะนำอจในการรับมือกับความรู้สึกหรือเหตุการณ์แบบนี้ค่ะ หรือว่าสิ่งที่หนูเจอมันอาจจะเป็นสิ่งที่ intern ทุกคนเจอมาตลอดก็ไม่แน่ใจ อยู่รพชที่หมอน้อย4-5คนก็รู้สึกขาดแคลนจริง
แต่แรกหนูตั้งใจใช้ทุนให้ครบ 3 ปี แต่โดนว่าบ่อยๆจากสตาฟและก็คิดว่าคงต้องมีโอกาสได้โดนอีกจึงคิดว่าอยากจะลาออกแล้วจริงๆในทุกๆวันเลยค่ะ ทั้งๆที่ความตั้งใจแรกของเราอยากจะทำงานในรพชให้ครบใช้ทุน เราสามารถมีวิธีคิดหรือมุมมองอื่นๆที่พอจะช่วยมากกว่าการปล่อยวางหรือช่างมันมั้ยคะ
ขอโทษด้วยหากข้อความนี้รบกวนอาจารย์นะคะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. เรียนจบแพทย์มาเป็นหมอได้แล้ว นี่เป็นผลงานยืนยันความอึดของตัวเองอย่างดีเยี่ยม ทุกครั้งที่รู้สึกว่าจะทนอะไรไม่ได้ ให้คิดถึงว่าเรามี tract record ที่ดีเยี่ยมนะ วิชาเวชศาสตร์การเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาเรียกว่าเทคนิค evocation คือการปลุกพลังของตัวเองด้วยการชี้ให้ตัวเองเห็น tract record ของจริงที่ตัวเองทำได้มาแล้ว ว่านี่ไง เรามีอดีตที่ทำอะไรสำเร็จมาแล้วนะ ให้คุณหมอหัดใช้เทคนิคนี้บ่อยๆ มันจะทำให้ชีวิตมีพลังที่จะเดินหน้า ไม่เอะอะก็จะต๊อแต๊หดหู่ลูกเดียว

2.. เครื่องมือปลุกพลังชีวิตในอาชีพหมออีกอย่างหนึ่งคือ “เมตตาธรรม” อย่างที่คุณหมอพูดไว้นั่นแหละว่าเมื่อรักษาคนไข้แล้วเขาหายกลับบ้านเราก็สุขใจ ความรักหรือเมตตาธรรมนี้มันเป็นแหล่งกำเนิดความเบิกบาน (joyful) เมื่อได้ให้อะไรแก่ใครโดยไม่หวังอะไรตอบแทนกลับมาสำเร็จแล้ว ให้คุณหมอเอามือขวาทาบที่หน้าอกซ้ายหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ความปลื้มปิติที่เป็นพลังงานแผ่สร้านทั่วตัวเรา หัดทำอย่างนี้บ่อยๆความเป็นหมออาชีพมันจะค่อยๆซึมลึกจนแน่นปึ๊ก..ก หมายความว่าชีวิตเราจะมีรสชาติดีๆ จนใครเอาสะเต๊กมาแลกก็ ไม่ย้อม..ม

3.. ด้านหนึ่งของเมตตาธรรมคือความปลาบปลื้มหรือ joyful ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีปีไม่มีขลุ่ยอย่างที่ผมว่าแล้ว อีกด้านหนึ่งของมันคือมันจะทำให้เราค่อยเกิดความยินยอมพร้อมใจที่จะให้อภัยแก่ชีวิตอื่นโดยอัตโนมัติ อุปมาเวลาเรารักษาคนไข้เด็กตัวเล็กๆที่ถูกเลี้ยงมาแบบดุๆ บางครั้งเด็กกัดมือเราเข้า เราไม่โกรธเด็กเลย ถูกแมะ เพราะเรามีเมตตาและให้อภัยแก่เด็กน้อยไร้เดียงสา ดังนั้น อุปไมย เวลาถูกรุ่นพี่เขากัดเอา มันก็ไม่ต่างกันดอก ให้คุณหมอทำแบบเดียวกัน แผ่เมตตา ให้อภัย คิดเสียว่าเขาเป็นเด็กโข่งที่ไม่เดียงสาในการจะเป็นพี่ที่ดี อย่าไปบ่มความโกรธขึ้งว่าเขามาเหยียบอัตตาเรา นั่นเป็นวิธีทำร้ายตัวเอง

พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย วันหนึ่งอยู่ๆโทรศัพท์มือถือผมก็มีหน้าตาของผู้หญิงประเภทที่สองสวยมากคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาทำปากพูดอะไรขมุบขมิบแต่ไม่ได้ยินเสียง ผมจึงคลิกเข้าไปฟัง แล้วก็ต้องอมยิ้มเพราะเธอพูดว่า

“รู้นะ ว่าการให้อภัยเป็นทานสูงสุด แต่….ไม่ให้ “

หิ หิ คุณหมออย่าไปเอาอย่างเธอเข้านะ การบ่มความโกรธหรือหงุดหงิดไว้ คนได้รับผลเสียคือตัวเราเอง ให้อภัยเขาไปซะแบบง่ายๆเราก็ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขแล้ว

4.. ขึ้นชื่อว่ารุ่นพี่หรือสต๊าฟล้วนมีหลายแบบ มันเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ต้องมีความหลากหลายทางชีวภาพ บ้างเป็นคนบูดมาแต่กำเนิด บ้างมีปัญหาชีวิตตัวเองที่แก้ไม่ตกจึงเหวี่ยงความทุกข์ของตัวเองไปทั่ว บ้างมีอัตตาแยะเสียจนเห็นคนอื่นโง่กว่าตัวเองไปหมด บ้างขี้เกียจที่จะรับรู้และแก้ปัญหาใดๆจึงใช้วิธีด่าทุกครั้งเวลารุ่นน้องเอาปัญหามาให้ช่วยแก้เพื่อให้น้องมันกลัวจะได้ไม่เอาปัญหามาคอนซัลท์อีก บ้างวางฟอร์มว่ามีความรู้แต่กลัวคนอื่นรู้ความจริงว่าไม่มีความรู้จึงสงวนคำปรึกษาราวกับว่ามันเป็นของแพงสุดๆ ที่ว่ามานี้ท่านผู้อ่านท่านอื่นอย่าได้เข้าใจผิดว่าหมอรุ่นพี่ๆมีแต่แย่ๆอย่างนี้เชียวหรือ เปล่าหรอกครับ คนในอาชีพหมอมันก็เหมือนกับคนในอาชีพอื่นๆทั้งหลายนะแหละ ส่วนใหญ่เขาเป็นคนดีอย่างที่คุณหมอใหม่ท่านนี้ก็พูดมาเองว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาจารย์ดีๆคอยให้คำปรึกษา แต่มันก็มีบ้างที่จะผ่าเหล่า คุณหมอก็แค่ยอมรับเขาตามที่เขาเป็น ขณะเดียวกันก็อยู่ห่างๆเขาไว้ ถ้าจำเป็นต้องพบต้องเจอกันก็ยิ้มให้และแผ่เมตตา พลางท่องคาถาในใจว่า

“…อามิตตาภะ พุทธะ”

(หิ..หิ)

5.. ที่เพิ่งมาทำงานได้ปีสองปีแล้วคิดจะลาออกซะแล้วนั้น ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งลาออกเลย การได้ไปทำงานในรพช.ถือเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตแล้วนะ ให้มองทุกเรื่องที่เข้ามาหาตั้งแต่เช้าจรดเย็นว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นมหัศจรรย์น่าศึกษาเรียนรู้ทั้งนั้น ทั้งนี้รวมทั้งการได้ผ่านพบคนที่สมประกอบบ้างไม่สมประกอบบ้างด้วย ถ้าเจออะไรแปลกๆแบบไม่เคยเจอหน่อยก็ลาออก เอะอะก็ลาออก อย่างนี้ต้องลาออก อย่างนั้นต้องลาออก โห แล้วชีวิตนี้จะไปอยู่ที่ไหนได้ละครับ เพราะแค่เดินออกไปนอกบ้าน มนุษย์สาระพัดแบบก็รออยู่สลอนแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี