หมอสันต์คุยกับดร.เอสซี่

(กรณีอ่านทาง fb โปรดคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

ก่อนอื่น ขอแจ้งข่าวฝากจากผู้จัดจำหน่าย “หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี” ว่าจะขออนุญาตงดส่งหนังสือช่วงปีใหม่สำหรับออร์เดอร์ที่มาถึงในช่วง 27 ธค. 66 – 3 มค. 67 เพราะเป็นวันหยุดยาวของผู้ส่งหนังสือ อนึ่ง สำหรับท่านที่ขอส่วนลด 15% แบบที่เคยลดให้เมื่อวันพ่อเพื่อเอาไปเป็นของขวัญปีใหม่นั้น ลดให้ได้ครับแต่ต้องซื้อไม่ผ่านระบบชำระเงินของไลน์ช็อพโดยท่านนัดหมายผ่านทางไลน์ก่อนและท่านเดินทางมารับหนังสือเองที่กทม. เพราะถ้าทั้งจ่ายเปอร์เซ็นต์ให้ไลน์ช็อพด้วย ทั้งจ่ายค่าส่ง EMS ด้วย ทั้งลด 15% ด้วย โหลงโจ้งแล้วขาดทุน ส่วนลดทั้งหมดนี้เฉพาะในเทศกาลปีใหม่ก่อนถึงวันปิดร้าน (27 ธค. 66) หลังจากนั้นแล้วก็จะกลับไปหาราคาเต็มเหมือนเดิม

…………………………..

ดร.เอสซี่ (Calwell Eselstyn) เป็นศัลยแพทย์รุ่นก่อนผมสิบกว่าปี เขาไม่ได้ดังขึ้นมาจากงานผ่าตัด แต่ดังขึ้นมาจากการทำวิจัยเอาผู้ป่วยโรคหัวใจที่หมดทางไปแล้วมารักษาด้วยการให้กินอาหารมังสวิรัติแล้วได้ผลการรักษาที่ดีมาก เขาตีพิมพ์งานวิจัยของเขาในวารสารการแพทย์ระดับดีหลายฉบับ ตัวเขาเองเขียนหนังสือขายดีเล่มหนึ่งชื่อ Prevent and Reverse Heart Disease ผมเอาบทสนทนาแบบกันเองเมื่อพบกันครั้งล่าสุดมาให้แฟนบล็อกได้อ่านเล่นเพราะมีความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างแฝงอยู่

ดร.เอสซี่:

“ปี 1967 เป็นช่วงที่ผมเข้าไปใกล้เมืองไทยมากที่สุด ตอนนั้นมันเป็นสงครามเวียดนาม และผมก็ถูกส่งไปเวียดนาม

เออนี่ ดร.สันต์ คุณเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ นี่ผมจะบอกอะไรให้ สมัยผมทำงานอยู่คลิฟแลนด์ สมัยนั้นหมอผ่าตัดมีแยะแต่ล็อกเกอร์มีน้อย ผมแชร์ล็อกเกอร์ห้องผ่าตัดกับ ดร.ฟาวาโลโร คุณรู้จักใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร”

หมอสันต์:
“รู้.. เขาเป็นคนแรกที่คิดค้นการทำผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ

ว่าแต่ผมยังติดค้างไม่ได้ขอบคุณคุณอยู่เรื่องหนึ่ง คือผมเป็นหนี้งานวิจัยของคุณกับของดร.ออร์นิช (Dr. Dean Ornish) ว่าเป็นความบันดาลใจให้ผมรักษาโรคของผมเองด้วยการเปลี่ยนอาหารได้สำเร็จ”

ดร.เอสซี่:

ถ้าคุณดูให้ดีของผมกับของดีนก็ไม่เหมือนกันนะ ดีนเขาให้ทำอะไรมากมายหลายอย่างเยอะแยะ วิธีที่ดีนคิดขึ้นมันมาจากประสบการณ์ชีวิตของเขา บางช่วงในชีวิตของเขาเขาสุดโต่งถึงกับจะเลิกเอาอะไรกับชีวิตนี้ไปเสียทั้งหมดก็มี ส่วนของผมนั้นผมโฟกัสอย่างเดียวเลย คือเลิกกินเนื้อสัตว์มากินพืชแบบไขมันต่ำ เรื่องอื่นผมไม่ยุ่ง”

หมอสันต์:

“แต่ผมขอบคุณสิ่งที่ดีนทำหลายอย่าง อย่างการทำให้การฟื้นฟูหัวใจด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเป็นสิ่งที่เบิกได้ (จาก Medicare และ Medicaid) นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมว่าดีมาก และผมยังคิดจะลอกเลียนไปใช้ในเมืองไทย”

ดร.เอสซี่:

“ดีแน่ แต่ขณะที่คุณจะเปลี่ยนนโยบายให้คนไข้เบิกได้ อย่าลืมคิดถึงการให้แพทย์เบิกได้ด้วยนะ เพราะถ้าคนไข้เบิกได้ แต่แพทย์เบิกไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงก็ไม่มีวันได้เกิดดอก”

นพ.สันต์:

“ฮะ ฮะ ฮ่า ผมเข้าใจ ผมเข้าใจ ว่าแต่งานของคุณมาระยะหลังนี้ผมรู้สึกคุณจะพูดถึงไนตริกออกไซด์ (NO) มากเป็นพิเศษ”

ดร.เอสซี่:

” ใช่ เพราะไนตริกออกไซด์มันเป็นกลไกอธิบายว่าทำไมอาหารพืชเป็นหลักจึงได้ผล อย่างเช่นคุณเคี้ยวผักเช่น Kale, spinash, rubarb, green, beet สัก 6 ครั้งจะเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์และไนเตรทในผักมากขึ้น เมื่อผสมกับแบคทีเรียที่ลิ้น มันก็กลายเป็นไนไตรท์ เมื่อมีกรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี) อยู่ด้วย มันก็กลายเป็นไนตริกออกไซด์ (NO) ซึ่งไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดเลือด (endothelium) ขยายตัวได้ดีขึ้น ในอีกด้านหนึ่งก็มีของไม่ดีในเรื่องนี้ อย่างคาเฟอีนนี่ก็เป็นตัวทำลายเยื่อบุผิวหลอดเลือดนะคุณ”

นพ.สันต์:

“อ้าว เหรอ ฮะ ฮ่า แต่ตรงนี้ผมไม่ซื้อคุณหรอกนะ เพราะผมขาดกาแฟไม่ได้”

ดร.เอสซี่:

นั่นแล้วแต่คุณ แต่ผมจะเข้มงวดกับสิ่งที่มีหลักฐานว่าไม่ได้ผล และทิ้งสิ่งที่ไม่มีหลักฐานว่าได่ผล อย่างยานี่ผมทิ้งหมด เพราะไม่มียาอะไรจะช่วยได้ อย่างแอสไพริน (ASA) นี่ก็เป็นพิษต่อตับ ยากั้นเบต้า (betablocker) นี่ก็ไม่ได้ลดอัตราตายเลยยกเว้นกรณีมีหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย น้ำมันปลา (fish oil) ก็ไม่มีหลักฐานเลยว่าจะช่วยอะไรได้ คุณเคยได้ยินไหมว่าคนไข้ถูกหามเข้าห้องฉุกเฉินเพราะขาดโอเมก้า3 ฮะ ฮ่า…ไม่มี ไฟเซอร์ทำยาออกมาเพิ่มไขมันดี (HDL) แต่กินแล้วกลับทำให้คนไข้ตายมากขึ้นจึงไม่เอาออกมาขาย

ทุกวันนี้ผมจึงโฟกัสที่สอนให้ผู้ป่วยกินอาหารพืชเป็นหลัก ไม่เอาเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น ทั้งน้ำมันปลา ไข่ นม โยเกิร์ด คาเฟอีน น้ำตาล อย่างมากผมก็ยอมรับน้ำผึ้งได้นิดหน่อย เน้นพืชที่ไขมันต่ำ ไม่ใช้น้ำมัน หากทำอาหารเองก็ใช้อะไรอย่างอื่นแทนน้ำมันผัดทอด เช่น ใช้ไวน์ ใช้เบียร์ แทนน้ำมันผัดทอด เป็นต้น หากซื้อเขากินก็บอกแม่ค้าไปเลยอย่าใช้น้ำมันผัดทอดเพราะคุณแพ้น้ำมันจะได้ไม่ทะเลาะกับแม่ค้า การกินอาหารอย่างนี้โอกาสที่จะเกิดสาร TMAO ซึ่งเป็นตัวก่อการอักเสบของหลอดเลือดขึ้นในกระแสเลือดจะลดเหลือ 0% ทันที

ใจผมนี้ ถ้าในตลาดมีคนทำ vegetable broth เป็นผงหรือเป็นน้ำขายไว้ใช้แทนน้ำมันได้ก็จะดี

ในระดับสังคม ถ้ากฎหมายบังคับแพทย์ให้เสนออาหารแบบกินพืชเป็นหลัก (PBWF) เป็นทางเลือกในการรักษาคนไข้โรคหัวใจให้เขาเลือกเอาเอง ควบคู่ไปกับทางเลือกการใช้ยาหรือการทำบอลลูนบายพาส เขาจะเลือกอย่างไหนให้เขาเลือกเอง หากได้อย่างนี้ก็จะดี”

นพ.สันต์:

“จะไม่เป็นการตัดทางทำมาหากินของแพทย์ด้วยกันมากไปหน่อยหรือ”

ดร.เอสซี่:

ฮ่า ฮ่า ผมบอกว่าถ้าได้ก็ดี แต่ผมรู้ว่าแพทย์เราไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้หรอก ผมไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการประกอบอาชีพของแพทย์ แต่ทุกอย่างมันควรทำกันแต่พอดี

คุณเชื่อไหม มีคนไข้คนหนึ่งมาหาผม แพทย์โรคหัวใจใส่ขดลวด (stent) ให้เขาไปแล้วทั้งหมด 14 ตัว และในแต่ละวันเขาต้องกินยาที่แพทย์จ่ายให้ 22 ชนิด

แล้วแพทย์บางคนยังบอกให้คนไข้ที่ความดันต่ำให้กินเนื้อสัตว์มากๆเพื่อเพิ่มความดัน แล้วจะได้กินยาหัวใจซึ่งมีผลลดความดันได้ คุณว่าอย่างนี้มันเกินพอดีไหมละ”

(บทสนทนากันต่อจากนี้เป็นเรื่องซุบซิบนินทาในวงการของตัวเองซึ่งมีเหมือนกันทุกวงการ ไม่เหมาะที่จะนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี