เรื่องไร้สาระ (38) เบื้องหลังชีวิตนักเรียนแพทย์ยากจน
(ภาพวันนี้ / แม็กโนเลีย)
(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)
เมื่อปีกลาย มูลนิธิซึ่งทำงานสงเคราะห์นักศึกษาแพทย์ยากจนในชนบทมาขอบทความเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเองของผมเพื่อไปพิมพ์ในหนังสือประจำปีของมูลนิธิ ผมจึงเขียนบทความนี้ให้ไปด้วย ผมเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะเอามาสลับฉากแก้เบื่อเรื่องการเจ็บป่วยได้ จึงเอามาให้แฟนบล็อกอ่านเล่น
มันเป็นแง่มุมหนึ่งของชีวิตผมเองในอดีต สมัยเป็นนักศึกษา คือประมาณหกปีนับจากพ.ศ. 2516 เป็นต้นมา พอเข้ามาเรียนได้สองปีจะขึ้นปีที่สามชีวิตก็ผกผัน เมื่อแม่บอกว่าหลังจากพ่อตายเมื่อสองปีก่อน แม่ก็พยายามกู้หนี้ยืมสินมาส่งเสียลูกสามคน มาถึงตอนนี้แม่หมดปัญญาแล้ว ต้องให้พี่ชาย (ซึ่งเพิ่งเรียนจบ) ส่งเสียน้องคนเล็ก (ซึ่งเพิ่งเข้าปีหนึ่ง) ส่วนสันต์นั้นให้ไปหาทางไปต่อเอาเอง
“เป็นเทวดาตกสวรรค์เสียแล้วนิ”
ผมรู้ตัวดีว่าเป็นนักเรียนประเภทตัวแสบที่ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของครูอาจารย์เอาเสียเลยไม่ว่าจะใช้ตัวชี้วัดตัวไหน เรียนหนังสือก็ไม่เรียน ผลการเรียนก็ไม่ดี มีตกมีหล่น มีตัว F ด้วยซึ่งไม่มีเสียหรอกที่นักเรียนแพทย์ทั้งชั้นจะมีใครได้ตัว F แถมยังมัวแต่ไปบ้ากิจกรรมไฮปาร์คด่ารัฐบาลเป็นงานหลัก (อยู่แค่ปีสองผมก็ได้รับเลือกตั้งเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาแล้ว!) ว่างงานไม่มีอะไรทำผมก็เขียนหนังสือ ออกหนังสือพิมพ์ภายในมหาลัยค่อนขอดอาจารย์ว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี หิ หิ ลูกศิษย์แบบนี้ครูที่ไหนเขาจะรักลงละครับ
ผมเริ่มแก้ปัญหาด้วยการเข้าหาเจ้าหนี้ หัวอกผู้นำนักศึกษายุคฟ้าสีทองที่ด่านายทุนแบบด่าเช้าด่าเย็น ต้องเข้าหาเจ้าหนี้เพื่อขอประนอมหนี้ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีกฎหมายประนอมหนี้ หุ..หุ ลองนึกภาพดูว่ามันน่าจะพะอืดพะอม แต่ผิดคาด เจ้าหนี้ช่างเป็นคนใจดีมีเมตตา พร่ำสรรเสริญคุณความดีของคุณพ่อผมที่ป่วยและตายไปแล้วไม่ขาดปาก และยอมรับข้อเสนอขอประนอมหนี้ของผมอย่างไม่มีเงื่อนไข คือผมขอจ่ายคืนแต่เงินต้น ตัดดอกเบี้ยทิ้งหมด และจะเริ่มจ่ายคืนเมื่อผมเรียนจบได้งานทำแล้ว โดยไม่มีกำหนดด้วยว่าจะจ่ายหมดในเวลาเท่าไหร่ โห.. ช่างเป็นแผนประนอมหนี้ที่เจ้าเล่ห์ซะ แล้วเจ้าหนี้ก็แกล้งโง่ตกลงซะงั้น ดังนั้นใครอย่ามาด่าว่าคนรวยตะพึดนะ ถึงผมจะเป็นคนจนแต่ผมก็ไม่ชอบให้ใครมาว่าคนรวยให้ฟัง
กลับจากปิดเทอมมาเรียนหนังสือ ผมวางแผนจัดการค่าเทอมที่ค้างชำระมาแล้วสองเทอมซึ่งก่อนหน้านั้นผมได้แก้ปัญหาด้วยวิธี “ซุกกิ้ง” คือจับหนังสือทวงค่าเทอมซุกไว้ในลิ้นชักหัวเตียงดื้อๆ แบบ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ผมจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี
ผมเป็นนักเรียนแพทย์รุ่นแรกซึ่งต้องเรียนคณะวิทยาจนจบปริญญาตรีก่อน อาจารย์ในคณะวิทยาไม่มีใครเชื่อหรอกว่าคนอย่างผมจะเรียนหนังสือจบ และข้อสำคัญไม่มีอาจารย์คนไหนที่รู้เช่นเห็นชาติผมมาแต่ปีหนึ่งจะมาเชื่อน้ำมนต์ของผม ตอนนั้นคณะแพทย์ยังไม่ได้เริ่มกิจการ แต่อาจารย์คณะแพทย์บางท่านได้เริ่มลงมาประจำการบ้างแล้ว ผมใช้วิธีแอบดอดเข้าหาอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่งซึ่งเพิ่งได้ตำแหน่งเป็นรองอธิการบดี ผมเสนอท่านว่า
“บริเวณมหาวิทยาลัยกว้างใหญ่ถูกไถโล่งเตียนแทบไม่มีไม้ยืนตันเลย จำเป็นต้องมีการปลูกต้นไม้อย่างขนาดใหญ่ ผมเคยเรียนเกษตรแม่โจ้มา ผมขอใช้เวลานอกเวลาเรียนเป็นคนงานปลูกต้นไม้ให้มหาวิทยาลัย แลกกับการที่มหาวิทยาลัยยกเว้นค่าเทอมให้ผม และผมขอสิทธิ์กินข้าวที่โรงอาหารของมหาลัยฟรีสามมื้อ”
อาจารย์ใหม่ ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ท่านเชื่อน้ำมนต์ผม แต่ผมก็ไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวังนะ ผมนำคนงานปลูกต้นไม้กลางแดดกลางฝน สร้างเรือนเพาะชำแบบทำเองขึ้นมา ติดต่อหน่วยงานกรมป่าไม้ที่จ.ตรังเอากล้าไม้ยืนต้นมาปลูกในมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก พูดแล้วจะหาว่าโม้ ที่เขียวๆอยู่ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งฝีมือของผมเอง
แล้วผมก็เรียนจบป.ตรี ต้องข้ามไปเรียนแพทย์ต่อกับคณะแพทย์ ซึ่งหมายถึงการไปกินไปนอนอยู่ในโรงพยาบาล หมดหนทางที่จะทำมาหากินนอกเวลาอีกต่อไป จะอาศัยใบบุญของเพื่อนๆยาไส้ไปวันๆนานๆก็อาย และหนังสือทวงค่าเทอมก็เริ่มกองสุมอีกแล้ว ผมต้องเดินสายประนอมหนี้อีกรอบ คราวนี้ผมเข้าหาท่านอธิการบดี ท่านเป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมมาก่อน เพราะปีสองปีก่อนหน้านั้นจ๊อบหลักขององค์การนักศึกษาคือการนำนักศึกษาประท้วงไม่เข้าห้องเรียน แต่ผมรู้ว่าท่านเป็นวิศวะและเป็นอดีตนักฟุตบอล ผมจึงโยนลูก
“ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม แต่จบแล้วผมมีงานทำแน่นอน
เพราะผมมีสัญญากับรัฐบาลว่าจบแล้วเขาจะรับผมเป็นข้าราชการ
ผมขอทำสัญญากับมหาลัย ขอแปะค่าเทอมตลอดหลักสูตร
จบแล้วผมผ่อนชำระเป็นรายเดือนพร้อมดอกเบี้ย”
ท่านอธิการบดีเอาบ้องยาเส้นเคาะโต๊ะ เสียงดัง ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก แบบใช้ความคิด แล้วว่า
“อย่าไปพูดถึงสัญญิงสัญญาเลย เพราะไม่มีระเบียบรองรับให้ผมมีอำนาจทำสัญญาอย่างนั้นได้
เรามาตกลงกันอย่างลูกผู้ชายดีกว่า
ว่าผมรับปากกับสันต์ว่าจะให้สันต์ได้เรียนจนจบ
สันต์รับปากกับผมว่าจบแล้วจะส่งเงินค่าเทอมคืนให้มหาลัยจนครบทุกบาท ไม่ต้องมีดอก”
โห..เสร็จโก๋สิ สัญญาลูกผู้ชาย มีหรือผมจะไม่รีบคว้า และนี่เป็นสัญญา “กยศ.” ฉบับแรกของประเทศไทยเลยนะ ผมขอบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน่อยว่ามันเป็นสัญญาปากเปล่า ค้ำประกันด้วยเกียรติยศ ไม่มีการเบี้ยว เพราะผมส่งคืนครบแล้วทุกเม็ด มาสมัยนี้ กยศ. ต้องทำสัญญาเป็นตัวหนังสือ ต้องมีผู้ค้ำประกัน แล้วเป็นไง หิ..หิ เบี้ยวกันเละ และไหนๆสัญญาปากเปล่าแบบไม่มีกฎหมายรองรับก็หมดอายุความแล้ว ผมขอเปิดเผยชื่อท่านอธิการบดีเสียเลย ท่านชื่อ ดร ผาสุข กุลละวณิชย์
หมดภาระเรื่องค่าเทอมไปแล้วหนึ่งเรื่อง ยังเหลือเรื่องค่าข้าว ยังไม่ทันคิดอะไรเลย เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการได้ขึ้นวอร์ดฝึกเป็นหมอรับผิดชอบคนไข้ วันหนึ่งท่านคณบดีคณะแพทย์เดินทางลงมารับตำแหน่ง ท่านจำผมได้ตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์ผมเข้าเรียนแพทย์ ท่านถามผมว่า
“สันต์มีปัญหาอะไรไหม” ผมได้ช่องจึงรีบตอบว่า
“มีปัญหาความยากจนครับ” ท่านยิ้มและย้อนถามผมแบบแซวๆว่า
“ของตัวเอง หรือของมวลชน”
การคุยกันวันนั้นทำให้เกิดรายการบุญหล่นทับหัวแม่ตีน (อุ๊บ ขอโทษ หัวแม่เท้า) คือท่านคณบดีคุยกับผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์จะออกนามในกรุงเทพรายหนึ่ง เขาตกลงให้ทุนผ่านมูลนิธิ มนข. (มูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลน) แก่ผม ปีละ 6000 บาท หรือเดือนละ 500 บาท จนผมเรียนจบ โดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใดๆทั้งสิ้น
“โห โอ้..ว่าอนิจจาความรัก เพิ่งประจักษ์ดุจสายน้ำไหล”
ผมกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที เงินเดือนเดือนแรกออกมา อดไม่ได้ต้องเลี้ยงตอบแทนเพื่อนๆนักเรียนแพทย์ผู้มีพระคุณที่เอื้อเฟื้อข้าวน้ำแก่ผมมานาน ผมจำได้ว่าพาเพื่อนๆไปกินอาหารเย็นกันที่วงเวียนโอเดียน มีอาจารย์หนุ่มจากคณะวิทยาท่านหนึ่งเห็นสุมหัวประชุมใหญ่กันอยู่จึงแวะมาทักทาย เพื่อนคนหนึ่งปากโป้งเพ็ดทูลว่า
“วันนี้เจ้าสันต์มันรวยจากทุนการศึกษาเด็กยากจน จึงเลี้ยงใหญ่” อาจารย์ท่านนั้นยิ้มและสัพยอกว่า
“นี่ถ้าเจ้าของทุนเขามาเห็นเข้าคงเสียใจนะเนี่ย ให้เงินมาน้อยไป”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
แต่เงินเดือนๆละ 500 บาทแม้จะมากโขอยู่ ผมก็ยังต้องประหยัดเลือกใช้แต่เรื่องจำเป็น เพราะการเป็นนักศึกษาแพทย์สมัยนั้นมีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้ ความจำเป็นต้องมีเวลาขึ้นวอร์ดให้มากทำให้ผมต้องกัดฟันลงขันกับเพื่อนๆเช่าห้องแถวข้างโรงพยาบาลนอน แถมตำราแพทย์ก็ช่างมีมากมาย แน่นอนว่านักศึกษายากจนอย่าไปฝันเรื่องซื้อตำรา แต่แค่จะลงขันกัน “ก๊อป” ตำราที่ใต้หวันเขาก๊อปแบบของเถื่อนมาอีกต่อหนึ่งแล้วเข้าคิวแบ่งกันอ่านแค่นี้ก็เป็นเงินโขแล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง อาจารย์ผู้หญิงซึ่งเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ท่านพานักศึกษาแพทย์กลุ่มผมราวด์วอร์ด ท่านคงทนดูที่ผมไว้ผมทรงรากไทรเกะกะลูกตาไม่ได้ ในที่สุดท่านก็ออกปาก
“การเป็นแพทย์เราต้องทำตัวให้ผู้ป่วยเขาสบายใจหน่อย
อย่างผมยาวรุงรังนี่ พี่ขอให้สันต์ตัดเสียหน่อยไม่ได้หรือ”
ด้วยอารมณ์ขันอันใสซื่อบริสุทธิ์ ผมเลิกผมทรงรากไทรให้อาจารย์ดูปกคอเสื้อของผมที่ซ่อนอยู่ข้างใต้
“ผมจำเป็นต้องปกปิดคอเสื้อที่มันขาดยุ่ยไว้ครับ
เอาไว้ผมเรียนจบมีเงินซื้อเสื้อใหม่แล้ว
ผมสาบานว่าจะถ่ายรูปหน้าตรงไม่สวมหมวกของแพทย์ที่ดีส่งมาให้อาจารย์ดู”
เพราะบทสนทนากันเล่นๆวันนั้น วันรุ่งขึ้นอาจารย์ผู้หญิงเอาเสื้อขาวแขนยาวเก่าๆของสามีเธอมาให้ผมสองตัว สามีของเธอท่านตัวใหญ่ ผมตัวเล็ก แต่ไม่มีปัญหา เพราะยุคนั้นเป็นยุคเสื้อตัวใหญ่กางเกงตัวเล็ก ผมใส่เสื้อสองตัวนั้นจนเรียนจบแพทย์..ด้วยความสุขในหัวใจอย่างยิ่ง
วันเวลาผ่านไป ชีวิตก็ดำเนินไป สุขบ้างทุกข์บ้าง สุขมากกว่าทุกข์ จนกระทั่งผมเข้าวัยชรา ผมกลายเป็นที่รู้จักทั่วไปโดยผมไม่ได้ตั้งใจ วันหนึ่ง มีสื่อมวลชนฉบับหนึ่งมาสัมภาษณ์ผมในโอกาสที่ผมรับรางวัลอะไรสักอย่างจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว เธอถามผมว่า
“อะไรทำให้คุณหมอเป็นคนมีเมตตา ทั้งต่อคนไข้และต่อสังคมด้วย”
ผมตอบว่า
“ผมไม่รู้ว่าผมเป็นคนมีเมตตาจริงหรือเปล่า.. ผมรู้แต่ว่าตลอดชีวิตผมได้รับความรักจากคนรอบตัวแบบไม่อั้นและไม่มีเงื่อนไข”
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์