หนูจะไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนจะดีไหม

คุณหมอสันต์คะ

หนูเพิ่งคลอดลูกชาย เคยอ่านที่คุณหมอแนะนำวิธีให้การศึกษาแก่เด็กเมื่อหลายปีก่อนแล้วชอบใจมาก ตั้งใจว่ามีลูกของตัวเองแล้วจะเขียนจนหมายถึงคุณหมอ หนูถามคำถามเดียว ว่าถ้าหนูไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนเลย จะดีไหม (หนูอยู่ต่างจังหวัด) และขอให้หมอสันต์แนะนำวิธีสอนลูกให้ด้วย

ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนเลยจะดีไหม ตอบว่าดี แต่ว่าตัวคุณต้องเข้าไปเข้าคุกแทนนะ เพราะคุณครูจะพาตำรวจมาจับคุณถ้าลูกคุณอายุ 7 ขวบแล้วคุณไม่ส่งเขาไปโรงเรียน เนื่องจากมันเป็นกฎหมายซึ่งคุณไม่มีสิทธิต่อรอง อย่างดีที่สุดที่คุณจะทำได้คือชลอการส่งลูกไปโรงเรียนจนกระทั่งเขาอายุ 7 ขวบ คุณทำได้แค่นั้น

2.. ถามว่าหมอสันต์แนะนำวิธีสอนลูกให้หน่อยดิ ตอบว่า เออ.. มันลูกของคุณนะ คุณทำขึ้นมาเองคุณก็ต้องหาวิธีสอนเขาเองสิครับ แต่ถ้าจะเอาวิธีของหมอสันต์ก็ด้าย..ย วิธีของหมอสันต์คือช่วงอายุ 1-7 ขวบไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่ต้องเรียนอะไรเลย และไม่ต้องสอนข้อมูลความรู้อะไรแก่เขาทั้งสิ้น ให้เขาโตแบบโง่ๆงั้นแหละ โฮมสะกงสะกูลก็ไม่ต้อง แค่ให้เขาช่วยทำงานทุกอย่างในบ้านที่เด็กควรได้ช่วย ในสามปีแรกอย่าให้ใช้โทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดโอกาสให้ได้ใช้มือสำรวจสิ่งแวดล้อมและพัฒนาทักษะการใช้กล้ามเนื้อ เน้นให้เขาได้สำรวจธรรมชาติรอบตัวและลองเล่นลองผิดลองถูกอะไรของเขาไปประสาเด็ก นี่คือวิธีสอนทักษะชีวิตที่ดีที่สุด การเกิดมาเป็นคนสมัยนี้มีแต่ทักษะชีวิตก็พอแล้ว ความรู้ไม่ต้องมี เพราะโตขึ้นอยากรู้อะไรกูเกิ้ลเอาได้ ถ้ามีความรู้ชนิดฝังติดหัวไปความรู้นั้นก็จะล้าสมัยในเวลาไม่นาน แล้วความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตไปเสียฉิบ

ที่ผมมองระบบโรงเรียนในแง่ลบก็เพราะผลผลิตของระบบโรงเรียนในปัจจุบันนี้สิ่งที่เด็กได้มาคือวิธีสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปในทิศทางที่จะทำให้ตัวเองเครียด วนเวียนอยู่กับความคิดลบหน้าเดิมไม่กี่อย่าง เช่น โทษคนอื่น (blame) รู้สึกด้อย (shame) รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ (victim) เห็นแก่ตัว (selfish) เพราะระบบการเรียนต้องแข่งกันเอาดีใส่ตัวชั่วใส่คนอื่น ทำงานเป็นทีมกับคนอื่นไม่ได้ เพราะโรงเรียนมีแต่สอนให้แข่งกันแบบตัวใครตัวมันไม่สอนให้ร่วมมือกัน

ในอีกด้านหนึ่งโรงเรียนเป็นที่ทำลายสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับการบ่มเพาะให้มีมากยิ่งขึ้น เช่นการรู้จักความคิดและอารมณ์ตัวเอง (self awareness) การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) การมีจินตนาการ (imagination) การมีความบันดาลใจ (inspiration) การมีความตื่นเต้นอัศจรรย์ (wonder) กับปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัว ยิ่งทักษะชีวิต (life skill) ที่จะใช้รับมือกับปัญหาต่างๆนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง โรงเรียนมีแต่ทำลายไม่มีสร้าง โรงเรียนไม่เคยเปิดให้ลองผิดลองถูก ใครผิดถูกลงโทษ คนเราไม่ได้ลองแล้วจะเกิดทักษะชีวิตได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้ผมหมายถึงโรงเรียนทั่วไปนะ ไม่ได้หมายความรวมถึงโรงเรียนทางเลือกที่พยายามแหกคอกออกไปแก้ปัญหาเหล่านี้กันอยู่ ซึ่งผมเชียร์ให้โรงเรียนทางเลือกประสบความสำเร็จ แต่แบบของหมอสันต์คือไม่ต้องไปโรงเรียน ง่ายกว่าแยะ หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี