ถามเรื่องอาหารลดความเครียด

เรียนคุณหมอสันต์

ตอนนี้ที่บ้านมีความเครียดกันมาก โควิดก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมชักสงสัยปัจจัยอื่นที่ทุกคนอาจแชร์ร่วมกัน เช่นอาหาร จึงอยากถามคุณหมอสันต์ว่าหากถือตามหลักฐานวิทยาศาสตร์แล้วมันมีอาหารที่ทำให้เครียดมากหรือน้อยได้ไหม หรือมีปัจจัยอื่นที่เป็นเหตุมากกว่าอาหารครับ

………………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าอาหารที่แตกต่างกันทำให้เครียดต่างกันได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ เรื่องนี้มีงานวิจัยแล้วหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายหมาดๆนี้เป็นงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการมหาลัยอีดิธโคแวน (ที่เพิร์ธ ออสเตรเลีย)ตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Clinical Nutrition ผมขอเล่าให้ฟังเฉพาะงานวิจัยนี้นะ เขาตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างชนิดของอาหารกับระดับความเครียดในคนไข้อายุระหว่าง 25-91 ปี จำนวนมากกว่า 8600 คน ผลวิจัยพบว่าคนที่กินผักผลไม้ทุกวันมาก จะมีระดับความเครียดน้อยกว่าคนที่กินผักผลไม้ทุกวันน้อย เช่นหากกินผักผลไม้เฉลี่ยวันละ 470 กรัมขึ้นไปจะมีระดับความเครียดน้อยกว่าคนกินผักผลไม้น้อยกว่า 230 กรัมอยู่มากเกิน 10%

ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าทำไมต้องไปตัดตัวเลขกันที่ 470 กรัม ซึ่งก็เท่ากับวันละราวครึ่งกก.ทีเดียวใครที่ไหนจะกินผักผลไม้กันมากขนาดนั้น หิ หิ แต่เรื่องนี้องค์การอนามัยโลกเคยออกคำแนะนำนานมาแล้วว่าให้กินผักผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม ก็น้องๆครึ่งกิโลนั่นแหละ ดังนั้นหากท่านจะเอาดีทางลดความเครียดด้วยอาหารก็ตั้งเป้าตัวเลขครึ่งกิโลไว้ก็ง่ายดี กินได้ถึงไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ไม่ซีเรียส

ถามว่าทำไมกินผักผลไม้มากถึงเครียดน้อยลง เออ เหตุผลที่แท้จริงก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆนาๆ ถ้าจะให้หมอสันต์ช่วยเดาอีกคน หมอสันต์เดาว่าคงเป็นเพราะพืชผักผลไม้เป็นแหล่งของสารอาหารที่หลากหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน แร่ธาตุ ฟลาโวนอยด์ และแคโรตินอยด์ซึ่งวงการแพทย์รู้อยู่แล้วว่าลดการอักเสบ (inflammation) และลดกลไกสร้างความเสื่อมของเนื้อเยื่อ (oxidative stress) ซึ่งเป็นสิ่งตรวจพบในเนื้อเยื่อประสาทสมองและเนื้อเยื่ออื่นๆของผู้มีความเครียด

2.. ถามว่ามีเหตุอื่นอีกไหมที่เป็นเหตุร่วมของความเครียดในหมู่คนที่อยู่ใกล้ชิดกัน ตอบว่ามีสิครับ เหตุที่แท้จริงของความเครียดในยุคนี้ก็คือนิสัย “ขี้คิด” หรือการชอบรีไซเคิ้ลความคิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความคิดเก่าๆบูดๆเน่าๆที่วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำซากไม่ไปไหนสักที เปรียบง่ายๆหากความคิดเป็นขี้ อุ๊บ..ขอโทษ เป็นอุจจาระ คนขี้เครียดก็คือคนที่ท้องเสียบักโกรกไม่หยุดหย่อนเบรคไม่อยู่ เรียกว่าเป็นท้องเสียทางใจ หรือ mental diarrhea หิ หิ คำนี้ไม่ใช่ศัพท์แพทย์ดอกนะ แต่หมอสันต์คิดขึ้นมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจง่าย ในชีวิตจริงเวลาที่คนไข้ท้องเสียบักโกรกรุนแรง วิธีรักษามาตรฐานของแพทย์คือขั้นแรกต้องห้ามกินอะไรเข้าทางปากทั้งสิ้น หมอและพยาบาลเรียกสั้นๆว่าทำ NPO ย่อมาจาก nothing per mouth อาศัยแต่ให้น้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดอย่างเดียว พอไม่มีอะไรเข้าไปถึงลำไส้อาการท้องเสียก็จะค่อยๆหาย หลักอันนี้ใช้รักษาครอบครัวของคุณซึ่งเป็นท้องเสียทางใจได้ด้วย การ NPO ทางใจก็คือการหยุดรับสื่อกระตุ้นความคิดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นข่าว ทีวี วิดิโอคลิป ไลน์ เฟซ ไอแพด ไอโฟน เม้าท์ เม้นท์ หยุดรับหมด หากได้ยินมาโดยบังเอิญก็ทิ้งไปเสียไม่ไปคิดอะไรต่อยอด หากแม้จะหยุดรับหมดแล้วยังมีความคิดป๊อบขึ้นมาในหัวเองก็ให้เพิกเฉยต่อมันเสียไม่ไปคิดอะไรต่อยอด ให้ฝึกอยู่โดยไม่คิดอะไรเลยสักวันสองวัน แล้วอาการท้องเสียทางใจหรือ mental diarrhea มันก็จะหายไปเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Simone Radavelli-Bagatini, Lauren C. Blekkenhorst, Marc Sim, Richard L. Prince, Nicola P. Bondonno, Catherine P. Bondonno, Richard Woodman, Reindolf Anokye, James Dimmock, Ben Jackson, Leesa Costello, Amanda Devine, Mandy J. Stanley, Joanne M. Dickson, Dianna J. Magliano, Jonathan E. Shaw, Robin M. Daly, Jonathan M. Hodgson, Joshua R. Lewis. Fruit and vegetable intake is inversely associated with perceived stress across the adult lifespanClinical Nutrition, 2021; 40 (5): 2860 DOI: 10.1016/j.clnu.2021.03.043

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี