ดิฉันพยายามทำความเข้าใจเรื่องความตื่น

เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันพยายามทำความเข้าใจเรื่องความตื่น มันเป็นอันเดียวกับที่เขาเรียกว่า ตื่น รู้ เบิกบาน หรือเปล่า มันไม่เห็นภาพเอาเสียเลย แล้วอย่างนี้จะถอยออกจากสิ่งกระตุ้นความสนใจต่างๆและถอยจากร่างกายและถอยจากความคิดไปอยู่ในความตื่นอย่างที่หมอสันต์บอกได้อย่างไร เพราะยังไม่รู้เลยว่าความตื่นคืออะไรอยู่ที่ไหน

............................................

ตอบครับ

     สิ่งที่เราเรียกว่า "ความตื่น" หรือ "ความรู้ตัว"  หรือหากผมจะควบสองคำนี้เข้าด้วยกันก็จะกลายเป็น "ความตื่นรู้" วันนี้ผมใช้คำว่าความตื่นรู้ก็แล้วกันนะ ส่วนที่ว่ามันเป็นอันเดียวกันกับที่เขาว่า ตื่น รู้ เบิกบาน หรือเปล่า ตอบว่ามันก็อันเดียวกันนั่นแหละ เพื่อที่จะตอบคำถามคุณว่ามันคืออะไรอยู่ที่ไหน แม้มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจอธิบายให้เห็นหรือเข้าใจด้วยภาษา แต่ผมจะพยายามอธิบายนะ ผมจะไฮไลท์ให้คุณเห็นแง่มุมต่างๆในห้าประเด็น

     ประเด็นที่ 1. ความตื่นรู้นี้ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่จิตใจหรือความคิด คนทั่วไปมองว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยร่างกาย และจิตใจเท่านั้น แต่ผมขออนุญาตแบ่งเสียใหม่ว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยสามส่วนคือ

    1. ร่างกาย (body)
    2. ความคิด (mind)
    3. ความตื่นรู้ (consciousness)
 
    สมมุติว่าเรานั่งกันอยู่ที่โขดหินริมชายหาด ผมว่างงานขึ้นมาผมก็แบ่งสิ่งที่เห็นออกเป็นสามส่วนเล่นๆ คือ
   
     (1) คลื่น
     (2) ฝอยน้ำ (ที่กระจายเมื่อคลื่นกระทบหิน)
     (3) ทะเล

     มันเป็นการแบ่งเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ฉันใดก็ฉันเพล มันจะเป็นอันเดียวกันหรือดองกันอย่างไรอย่าเพิ่งไปสนก่อนนะ เอาเป็นว่าความตื่นรู้นี้ไม่ได้เป็นผลผลิตของร่างกาย และไม่ได้เป็นผลผลิตของความคิดด้วย ทั้งสามส่วนคือ ร่างกาย ความคิด และความตื่นรู้ สื่อถึงเป้าคนละอันกัน แยกกันได้ คุณรับฟังคอนเซ็พท์นี้ไว้ก่อนนะ โดยให้ลืมคอนเซ็พท์วิทยาศาสตร์หรือคอนเซ็พท์ทางการแพทย์ที่ว่าร่างกายนี้เป็นผู้ให้กำเนิดจิตใจซึ่งหมายความรวมถึงความตื่นรู้ด้วยไปเสียก่อน การเรียนก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะถ้าคุณไม่ทิ้งคอนเซ็พท์เดิมคุณจะเข้าใจคอนเซ็พท์ใหม่ไม่ได้ ขั้นต่อนต่อไปคือเมื่อคุณเข้าใจคอนเซ็พท์ใหม่แล้วคุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะทิ้งคอนเซ็พท์ใหม่เสียอีกทีหนึ่งเพื่อที่จะไป "เป็น" ความตื่นรู้ผ่านการปฏิบัติจริงๆ

     ประเด็นที่ 2. ความตื่นรู้นี้มันส่องสว่างให้เห็นความคิดและร่างกาย คือมันเป็นอะไรที่อยู่ข้างนอก มันเป็นคนละอันกับความคิดและร่างกายก็จริง แต่มันส่องสว่างให้เห็นความคิดและร่างกาย ถ้าไม่มีความตื่นรู้เราก็จะไม่เห็นความคิดไม่เห็นร่างกายของเรา เปรียบเหมือนผมยื่นมือออกไปอังแดด แสงแดดส่องสว่างให้เห็นมือผมได้ ถ้าไม่มีแสงแดดผมก็ไม่เห็นมือผม

     ประเด็นที่ 3. ความตื่นรู้นี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยร่างกายหรือความคิด ไม่มีร่างกาย ไม่มีความคิด ความตื่นรู้นี้ก็ยังดำรงอยู่ได้ ก็เปรียบเหมือนแสงแดดที่ส่องมือผมอีกที แสงแดดทำให้เห็นมือผม แต่แสงแดดไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมือผม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย แต่มันมาส่องสว่างให้เห็นมือนี้ว่าเป็นชิ้นเป็นอันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

     ประเด็นที่ 4. เราจะรู้ว่ามีความตื่นรู้อยู่ ก็ต่อเมื่อร่างกายและจิตใจกำลังทำงานอยู่เท่านั้น อย่าเพิ่งงงนะ กลับมาดูมือที่ยื่นออกไปรับแสงแดดในที่โล่งๆนี้อีกที การมีมืออยู่ ทำให้เห็นแสงแดดที่ตกกระทบที่มือ พอผมหดมือกลับเข้าร่มแสงแดดที่ตกกระทบที่มือเมื่อตะกี้ก็ไม่เห็นแล้ว ฉันใดฉันนั้น หากไม่มีร่างกายและความคิดไว้เป็นที่ให้ความตื่นรู้มาส่องสว่างลูบไล้ ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นว่ามีความตื่นรู้อยู่

     ประเด็นที่ 5. เมื่อไม่มีร่างกาย ไม่มีความคิด ก็ไม่มีการรับรู้ความตื่นรู้ เพียงแต่ไม่มีใครไปรับรู้นะ ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่อยู่มีนะ มันอยู่ของมันที่นั่นแหละ แต่ไม่มีการรับรู้ เมื่อผมหดมือกลับเข้าร่ม เรามองไม่เห็นแสงแดดตกกระทบฝ่ามือแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าแสงแดดจะไม่มีอยู่นะ แสงแดดยังมีอยู่ แต่เรามองไม่เห็นเพราะไม่มีอะไรไปอังแดด เมื่อไม่มีอะไรไปอังแดด ก็ไม่รู้ว่ามีแสงแดดอยู่

     ผมพูดวกไปวนมาน่ากวนโอ๊ยมากเลยใช่ไหม ความจริงผมไม่ได้กวนนะ ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะใช้ภาษาอธิบายสิ่งที่ภาษาอธิบายไม่ได้ ผมว่าผมทำได้ดีมากแล้วนะเนี่ย หิ หิ

     คราวนี้มาพูดถึงการปฏิบัติ  ที่ผมบอกคุณว่าให้คุณถอยความสนใจลึกเข้ามาเป็นขยักๆ ถอยจากสิ่งเร้าภายนอก เข้ามาปักหลักอยู่ที่ร่างกายที่มีตาหูจมูกลิ้นผิวหนังเป็นประตูนี้ ถอยจากร่างกายมาปักหลักดูความคิด ถอยจากความคิดมาเป็นผู้สังเกตตัวจริงซึ่งอยู่ชั้นในสุด ผู้สังเกตตัวจริงในที่นี่ก็คือความตื่นรู้นั่นเอง

     คุณไม่ต้องถามถึงที่อยู่ของความตื่นรู้นี้หรอก เพราะถามไปก็ไลฟ์บอย ที่อยู่ (space) มันเป็นคอนเซ็พท์นะ หมายความว่าเป็นสิ่งที่ใจเราสมมุติขึ้น ของจริงมันไม่มีหรอก ของบางอย่างมันไม่ได้ต้องการที่อยู่แบบแก้วน้ำที่ต้องวางบนโต๊ะ เพราะมันเป็นแค่คลื่น อย่างความคิดของคุณเงี้ยะ คุณจะรู้หรือว่ามันอยู่ที่ไหน อยู่ในหัวของคุณ หรืออยู่ในอากาศรอบๆตัวคุณ หรืออยู่ในหน้าอกของคุณ ถามไปก็ไม่มีใครตอบคุณได้ รู้แต่ว่าความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มันผุดขึ้นมา รู้แค่นี้พอแล้ว อย่าไปหาที่อยู่ของมันเลย ประเด็นสำคัญคือคุณสามารถถอยจากสิ่งกระตุ้นภายนอก จากร่างกาย จากความคิด มาเป็นความตื่นรู้ได้โดยไม่ต้องไปรู้หรอกว่าบ้านของความตื่นรู้มันอยู่ที่ไหน

     ประการสุดท้าย..ที่เที่ยวสงสัยโน่นนี่นั่นไม่รู้จบเนี่ย เคยลองลงมือถอยความสนใจออกมาจากความคิด หรือพูดอีกอย่างว่าเคยลงมือวางความคิดมาอยู่ที่ความตื่นรู้บ้างแล้วหรือยัง ถ้ายัง ให้เลิกสงสัยอะไรต่อมิอะไรซะ ความสงสัยเป็นความคิดนะ วางมันลงเดี๋ยวนี้เลย เมื่อมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาก็วางลงอีก อีก อีก จนไม่เหลือความคิด สิ่งที่เหลืออยู่ขณะปลอดความคิด นั่นแหละคือความตื่นรู้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"