สามีมีเมียน้อยและหลงหัวปักหัวปำ

เรียน คุณหมอ
ดิฉันกลุ้มใจค่ะ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สามีดิฉันมีเมียน้อยและก็หลงหัวปักหัวปำค่ะ เขาทิ้งดิฉันไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าสงสารหรือเปล่าค่ะ ทนมา 1 ปีมีลูกด้วยกันตอนนี้อายุ 2 เดือนแล้วค่ะ บางวันเสียใจร้องให้ออกมา ลูกเห็นน้ำตาบ่อยครั้งแต่ไม่รู้จะทำไง ดิฉันต้องการความสุขของชีวิตค่ะ รบกวนช่วยแนะนำเรื่องจิตวิทยา หรือธรรมะให้ด้วยค่ะ เพื่อจิตใจมีความสงบสุขค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะคุณหมอ

ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

.............................................................

ตอบครับ

แหม มาถามเรื่องสามีมีเมียน้อยกับหมอสันต์เนี่ย ผมไม่แน่ใจว่าคุณมาถูกที่หรือเปล่านะ คือผมอาจจะพอรู้เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง เพราะมันเป็นอาชีพของผม แต่ผมก็ไม่ได้แสนรู้ไปหมดทุกเรื่อง อย่างเช่นใครแต่งเพลงให้ ทูล ทองใจ ร้องเนี่ย ถ้าท่านผู้อ่านบล็อกนี้ไม่เขียนมาบอกผมก็ไม่รู้หรอก ยิ่งวิธีจัดการปัญหาผู้ชายพันธุ์แม้วนี่ ยิ่งไม่มั่นใจเลยจริงๆ คำว่าผู้ชายพันธุ์แม้ว ที่มาคือว่าสมัยหนุ่มๆเรียนหนังสืออยู่เชียงใหม่ผมชอบเดินป่าไปนอนค้างอ้างแรมในหมู่บ้านแม้วบ้างเย้าบ้าง ก็ได้เห็นว่าผู้ชายแม้วนี่พันธกิจในชีวิตของเขามีอย่างเดียวคือเป็นพ่อพันธุ์ ไม่ทำอย่างอื่นเลย นอนเขลงสูบฝิ่นโคลก โคลก ให้เมียขุดดินทำไร่หาเลี้ยง ถ้าเมียหาไม่พอกินก็เอาเมียเพิ่มอีก อีก อีก ขอโทษ นอกเรื่องไปไกลละ กลับมาตอบคำถามของคุณดีกว่า

1. ผมเข้าใจคุณ และเห็นใจคุณครับ

2. มาเริ่มที่คำพูดของคุณเองที่ว่า “ดิฉันต้องการความสุขของชีวิตค่ะ” ก่อนนะ ผมขอฉีกประโยคนี้ออกมาเป็นคีย์เวอร์ดสามคำนะ คือ (1) ดิฉัน (2) ต้องการ (3) ความสุข เรื่องของเรื่องก็คือผมเห็นว่าคุณจะต้องทิ้งสองคำแรกให้ได้ก่อน จึงจะเข้าถึงคำที่สามได้

คำแรกคือคำว่า “ดิฉัน” นี่มันเป็นคอนเซ็พท์ “ตัวกูของกู” ซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ที่ว่าจักรวาลนี้มีเราเป็นศูนย์กลาง และทุกสิ่งทุกอย่างก็หมุนรอบตัวเรา ทั้งๆที่ของจริงมันไม่ได้เป็นไปตามคอนเซ็พท์นี้ ของจริงมันเป็นไปตามทฤษฎียุ่งตายห่า (chaos theory) เมื่อของจริงมันไม่ตรงกับคอนเซ็พท์ของเรา ก็จะมีความคิดงี่เง่าป๊อกขึ้นในหัวของเรามากมาย เช่น ทำไมเขาไม่รักเราคนเดียวนะ ทำไมถึงหลอกเราได้ (ความผิดหวัง) นังเมียน้อยนั่นสวยแค่ไหนเชียว ป่านนี้มันคง...ฮึ (ความอิจฉา) พูดถึงว่างานนี้มีใครได้ใครเสียบ้างคุณอย่าไปคิดว่าคุณเสียแล้วคนอื่นจะได้นะ อย่างพ่อเจ้าประคุณสามีของคุณที่ต้องวิ่งรอกสองบ้านคุณอย่าไปคิดว่าเขาจะได้เบิ้ลความสุขเป็นสองเท่านะ เปล่าเลย เพราะผมเคยเห็นคนใกล้ชิดที่มีชีวิตแบบนี้มาแล้วพูดตรงๆว่าน่าสงสารชะมัด ข้างคุณเมียน้อยนั้นเล่า จะสุขใจแค่ไหนฟังจากเพลงนี้เอาก็ได้

“...ให้ไปเป็น เมียน้อย
มีหนึ่งในร้อยที่มิชอกช้ำ
น้ำใต้ศอกเขา กว่าจะถึงเรากลืนกล้ำ...”


อ้าว.. นอกเรื่องอีกละ กลับเข้าเรื่องดีกว่า ประเด็นคือว่าความคิดตัวกูของกูก่อให้เกิดความคิดงี่เง่าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงขึ้นในหัว ไม่เกี่ยวกันเลย แต่ก็คิดได้เป็นตุเป็นตะ เป็นคนละเรื่องเดียวกัน คือผัวไปมีเมียน้อยนั่นเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องของสิ่งเร้า (stimulus) ที่เข้ามาถึงตัวคุณ แต่เราไปคิดงี่เง่าให้ตัวเองเป็นทุกข์ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง คือเป็นเรื่องของการสนองตอบต่อสิ่งเร้าของเรา (response) ซึ่งอยู่ที่เรา เราจะเลือกสนองตอบ (คิด) แบบทำให้ตัวเราเองเป็นทุกข์ ก็ได้ หรือจะเลือกสนองตอบแบบทำให้เราไม่เป็นทุกข์ ก็ได้ เมื่อใดที่คุณแยกสองเรื่องนี้คือสิ่งเร้าและการสนองตอบออกจากกันได้ เมื่อนั้นคุณจึงจะพ้นทุกข์

คำที่สอง “อยากมี” อันนี้มันเป็นคอนเซ็พท์ของการซื้อทาวน์เฮ้าส์ที่บางบัวทอง คือซื้อกระดาษวันนี้แล้ววาดฝันว่าจะได้อยู่ทาวน์เฮ้าส์ในอนาคต ยังไม่ทันถึงเวลาปรากฏว่าน้ำท่วมมิดหลังคาเสียฉิบ คือเมื่อตั้งต้นว่า “อยากมี” หมายความว่าใจเราไม่ได้อยู่กับสิ่งที่เรามีอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ มันไหลไปในอนาคตอันไกลปู๊น คือพอมีความอยาก ก็มีความคาดหวัง อย่างเนื้อเพลงของจิตติมา เจือใจ ที่ว่า

“..กลับ มา หาฉันเถิดนะคนดี
มาปลอบชีวี ฉันให้หายวังเวง
ฉันเหมือนพิณ ขึ้นสายรอเธอบรรเลง
ดีดเป็นเพลง ฟังชื่น ฉ่ำอุรา..”


ความคาดหวังใดๆ ด้วยคอนเซ็พท์ตัวกูของกู บนสิ่งภายนอกซึ่งเป็นไปตามทฤษฏียุ่งตายห่า ก็มีโอกาสจบลงด้วยความผิดหวังเป็นธรรมดา แล้วก็ทุกข์อีกละ

คำที่สาม คือคำว่า “ความสุข” ประเด็นสำคัญก่อนจะรู้จักความสุขคุณต้องรู้จักความไม่สุขหรือความทุกข์ก่อน ความทุกข์เนี่ยมันไม่ได้นิยามโดยความเปลี่ยนแปลงต่างๆนอกตัวเราอย่างเช่น ผ. มีเมียน้อยนะครับ แต่มันนิยามว่าทุกข์คืออาการที่ใจเกิดมีความคิดงี่เง่าป๊อกขึ้นมา เมื่อใดที่ใจคิดงี่เง่า เมื่อนั้นเกิดความทุกข์ เมื่อใดที่ใจหยุดคิดงี่เง่า เมื่อนั้นก็ไร้ทุกข์นั่นก็คือเกิดความสุข นี่เป็นคอนเซ็พท์เรื่องความสุขที่คนทุกชาติทุกภาษารู้จักกันมานานหลายพันปีแล้ว ในเมืองไทยเราพระก็สวดให้ฟังในงานศพทุกครั้ง ซึ่งผมจะแปลให้คุณอ่านดังนี้

“..อนิจจา วต สังขารา”
ความคิดงี่เง่านี้เป็นของไม่เที่ยงหนอ

“..อุปปา ทวยะ ธัมมิโน”
ป๊อกขึ้นมา แล้วก็เปลี่ยนไป

“..อุปชิตะวา นิรุธชันติ”
ป๊อกขึ้นมา แล้วก็ดับไป

“..เตสัง วู ปสโม สุโข”
ระงับความคิดงี่เง่าเสียได้ ก็เป็นสุข

ตัวบทสวดภาษาบาลีคุณคงคุ้นหูอยู่นะ แต่คำแปลอาจฟังแม่งๆเพราะเป็นฉบับที่ผมแปลเองอ่านเอง แต่เชื่อผมเถอะ นี่เป็นคำแปลที่ตรงความหมายที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา

กลับเข้าเรื่องดีกว่า คือการจะมีความสุขนั้นไม่ยากเลย ก็เพียงแค่หยุดคิดงี่เง่าเสียเท่านั้น ง่ายดีแมะ ใช่ ง่ายตายแหละ ใครๆก็รู้ว่าต้องหยุดความคิดงี่เง่าจึงจะเป็นสุข แต่ไม่เห็นมีใครทำได้ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากใจมันจะคิด ใครจะไปห้ามอยู่ แต่จริงๆผมจะบอกให้ มันทำได้นะครับถ้ามีกลเม็ด (trick) มันประหลาดนิดหนึ่ง คือตัวผมเนี่ยหากถือเอาตามการจุ่มน้ำผมก็เป็นคริสเตียน แต่ผมเรียนรู้ทริกนี้มาจากแขกฮินดู แต่แขกฮินดูคนนั้นเขาก็ไม่ได้เรียนทริกนี้มาจากวิชาฮินดูดอก เขาเรียนมาจากวิชาพุทธ ผมไม่รู้คุณนับถือศาสนาอะไร เอาเป็นว่าทริกนี้มันผ่านมาถึง 3 ศาสนาก็แล้วกัน ทริกนี้มีหลักอยู่ว่าการจะเบรกความคิดงี่เง่านี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เฝ้าดูมันเฉยๆ มันป๊อกขึ้นก็บอกตัวเองว่าฮั่นแน่ เอ็งมาอีกละ แล้วเฝ้าดูมัน ไม่เข้าไปดุด่าแทรกแซงหรือเผลอผสมโรงคิดต่อยอด เฝ้าดูเฉยๆ ในชีวิตจริงเราเอาหลักเฝ้าดูมาประยุกต์ใช้ด้วยการ “ละเลียด” หรือ “ง่วน” อยู่กับปัจจุบัน กับเรื่องที่เราทำอยู่ตรงหน้า กับคนที่อยู่ตรงหน้า ขณะนี้ ละเลียดหรือง่วนกับที่นี่เดี๋ยวนี้ อย่างช้าๆสโลว์โมชั่นไม่รีบร้อน ความคิดงี่เง่าเมื่อถูกเฝ้าดูมันก็จะเขินและแผ่วลงอย่างน่าประหลาดใจ การใช้ชีวิตในโหมดสโลโมชั่นจะทำให้คุณเรียนรู้ที่จะหาความสุขกับสิ่งง่ายๆที่อยู่ตรงหน้า คุณมีสิ่งดีๆในชีวิตมากมายที่คุณมองข้ามไป ลูกคุณนั่นเป็นสิ่งดีของชีวิตหนึ่งอย่างละ คนอื่นเขาเพียรแทบตายแต่ก็มีลูกไม่ได้ อายุสองเดือนกำลังยิ้มได้ จะมีอะไรน่ารื่นรมย์มากไปกว่านี้อีกหรือ หน้านี้เป็นหน้าหนาวและแดดดี ออกไปถูกแสงแดดที่หน้าบ้านบ้างสิ แหงนมองดูท้องฟ้าสีบลู ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นบ่อย สูดหายใจลึกๆ โอ้.. โลกนี้ช่างสวยงามเสียจริง

3. สมัยที่ผมเริ่มแตกหนุ่ม เป็นยุคที่คนหนุ่มคนสาวฮิปปี้ในอเมริกาเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม ตอนนั้นมีศิลปินชาวเลบานอนคนหนึ่งชื่อคาลิล จีบราน แต่งร้อยแก้วเป็นภาษาอังกฤษชื่อ The Prophet ซึ่งฮิตในหมู่ฮิปปี้มาก คุณคงเกิดไม่ทันเรื่องสมัยนั้น ผมจะแปลบางตอนที่เขาพูดถึงชีวิตคู่ของผัวเมียมาให้คุณอ่านนะ

“...เธอสองคนเกิดมา และจะอยู่ด้วยกัน

จะอยู่กันไปจนกว่าปีกขาวของความตายมากวาดล้างวันคืนของพวกเธอให้กระเจิงไป

ถูกแล้วที่เธอทั้งสองตั้งใจจะอยู่คู่กันตลอดไปแม้ในความทรงจำของพระเจ้า

แต่ขอช่องว่างในระหว่างการอยู่ด้วยกันบ้างได้ไหม

ขอให้ลมสวรรค์พัดผ่านไปมาช่องว่างในระหว่างเธอทั้งสองคนได้

ขอให้รักกันโดยไม่ผูกพันบังคับกันและกัน

ให้ความรักเป็นดั่งทะเลที่พลิ้วไหวอยู่ระหว่างสองฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง

รินน้ำใส่ถ้วยให้กันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน

แบ่งขนมปังสู่กันแต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน

ร้องรำทำเพลงด้วยกัน แต่ก็หลบฉากแยกกันอยู่อย่างโดดเดี่ยวบ้าง

เพราะสายพิณนั้นทุกสายก็แยกกันอยู่อย่างโดดเดี่ยว
แต่ยามที่ดีดแล้วมันสั่นสะเทือนเป็นท่วงทำนองเพลงเดียวกัน

จงยืนเคียงคู่กันแต่อย่าใกล้กันนัก เพราะว่าเสาของวิหารใหญ่นั้นก็ตั้งอยู่ห่างกันจึงจะค้ำวิหารไว้ได้

อีกทั้งไม้ต้นหนึ่งไม่อาจเติบโตภายใต้ร่มเงาของไม้อีกต้นหนึ่งได้ฉันใด
ชีวิตของเธอทั้งสองก็เป็นฉันนั้น...”

4. ในการมองโลกและชีวิต ผมอยากให้มองหาแต่แง่ที่มันดีและมันสวยงาม ส่วนที่มันน่าชังนั้นอย่าไปมอง ใช้ยุทธศาสตร์ลิงสามตัว คือปิดหู ปิดตา ปิดปาก ไม่สนสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม แม้แต่กับสามีของคุณก็เถอะ เลือกคบหาพูดคุยกับเขาที่เป็นคนดีของเรา เขาที่เป็นคนไม่ดีนั้นอย่าไปสน ฟังดูสามีของคุณก็น่ารักออก เขาไม่เคยชกคุณจนขอบตาเขียวปั๊ดอย่างที่ลูกน้องผมคนหนึ่งเคยโดน คุณเองก็บอกว่าเขายังห่วงคุณ การที่เราเห็นด้านดีของเขา นอกจากจะทำให้จิตใจของเราสงบสุขแล้ว มันยังส่งอานิจสงให้เกิดสิ่งดีๆในตัวเขาได้ด้วยนะ จะเล่าให้ฟัง ผมเองสมัยหนุ่มก็ระหองระแหงกับเมียอย่างพวกคุณตอนนี้แหละ วันหนึ่งเมียซื้อเศษกระเบื้องที่เขาเขียนคำเท่ๆไว้หลอกขายพวกชอบชอป เธอเอามาแขวนไว้ที่ใต้บันได เศษกระเบื้องนั้นเขียนไว้ว่า

”...I made a wish, and you came true..”

ผมมาอ่านเจอเข้า โอ้โฮ เซอร์ไพรส์มากเลย นี่เธอเห็นตัวสังข์ทองในรูปเงาะของเราหรือนี่ ไม่ได้การ.. เราต้องทำตัวให้สมหน่อย ว่าแล้วก็ทำตัวดีขึ้นได้สองสามวัน เห็นไหมครับ แค่เศษกระเบื้องก็ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้แล้ว นี่ถ้าคุณขยันสื่อสิ่งดีงามที่คุณเห็นในตัวเขาทั้งด้วยการพูดการกระทำไปยังเขาทุกวันๆ มันจะต้องมีผลดีๆเกิดขึ้นกับเขาแน่

5. ขอแถมอีกเรื่องหนึ่ง ที่คุณเล่าว่านั่งร้องไห้กับลูกน้อย ฟังดูก็โรแมนติกดีเหมือนนางเอกหนังไทยสมัยเก่าอย่างพิสมัย วิไลศักดิ์ ถูกนางอิจฉาทิ่มแทงหน่อยก็นั่งร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าจนคนดูร้องตามไปทั้งสนาม (หนังกลางแปลงนะครับ) แต่ผมอยากจะสอนให้คุณทำตัวเสียใหม่ การร้องไห้เป็นการบ่มเพาะความคิดงี่เง่าที่ไม่เข้าท่า คือธรรมชาติของใจเรานี้ เมื่อเรามีความคิดงี่เง่าอะไรเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง มันจะจำไว้ที่ก้นบึ้งที่ไหนสักแห่ง แล้วมันก็มักจะโผล่ขึ้นมาเหนี่ยวนำให้เราเกิดความคิดงี่เง่าแบบนั้นอีก อีก อีก ในวันข้างหน้า ถ้าเราทำตัวเป็นเจ้าหญิงธาราระทม ชีวิตเราก็จะมีแต่ระทม เพราะเราฝึกใจเราให้คิดแบบนั้นมา ดังนั้นครั้งต่อไปอย่าร้องไห้ ถ้าจะเผลอร้องไห้ ให้ตั้งสติหายใจเข้าออกลึกๆ หายใจเข้ายิ้ม หายใจออกปล่อยวาง แล้วมองหาอะไรตรงหน้าเดี๋ยวนั้นที่จะทำให้เราหัวเราะได้ แล้วหัวเราะแทนซะดีกว่า

นี่ก็ใกล้วันคริสต์มาสแล้ว ผมขอส่งสปิริตวันคริสต์มาสมาให้คุณ คือความรักและการให้อภัย การมองโลกในแง่ดี และความร่าเริงบันเทิงใจ ขอให้คุณ ลูกน้อย และสามี สุขสันต์วันคริสต์มาสนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี