ทัวร์ล้างพิษตับ ล้างถุงน้ำดี
เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันขอทราบความเห็นของคุณหมอเกี่ยวกับวิธีการล้างพิษที่ตับและถุงน้ำดีที่อยู่ในกระแสตอนนี้โดยการ
1. รับประทานแอปเปิลวันละ 6 ผล เป็นเวลา 5 วัน
2. วันที่หกจึงดื่มน้ำผสมดีเกลือ 2 ครั้ง
ตามด้วยน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ครั้ง
3. เช้าวันที่เจ็ดก็ดื่มน้ำผสมดีเกลืออีก 2 ครั้ง
ขบวนการเหล่านี้ทำให้ขับถ่ายออกมาเป็นคลอเรสเตอรอลจากตับบ้าง
จากถุงน้ำดีบ้าง
ในความเห็นของคุณหมอคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ สิ่งที่ขับถ่ายออกมาใช่สิ่งที่กล่าวถึงกันหรือเปล่า
และวิธีการนี้จะช่วยแก้อาการไม่สบายหลายๆอย่างเช่น อาการนอนไม่หลับ
อาการคันตามผิวหนัง อาการฮอร์ไมนไม่สมดุลย์ได้หรือไม่
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
......................................................
ตอบครับ
แหม คำว่า “ล้างพิษ” ของคุณเนี่ย มันฟังแล้วดุเดือดมากนะครับ พูดถึงล้างพิษเนี่ยฝรั่งก็ชอบทำกันนะครับ
เขาเรียกมันว่า chelation คือเอาสารเคมีที่มีฤทธิ์จับกับโลหะหนักได้ (chelator)
ฉีดเข้าไปในร่างกาย นี่เป็นวิธีแบบ alternative นะครับ
แปลว่าวิธีของหน่วยกล้าตายเที่ยวลองโน่นลองนี่เอาเอง วิทยาศาสตร์ไม่เกี่ยว แต่ผมว่าเจ้าของคอนเซ็พท์
“ล้างพิษ” ในโลกนี้คงไม่ใช่มาจากที่ไหนไกลหรอกครับ น่าจะมาจากคนไทยนี่เอง ก็ศรีธนญชัยไงครับ
พอผู้ใหญ่สั่งให้อาบน้ำน้องให้สะอาดทั้งข้างนอกข้างใน
เจ้าศรีธนญชัยคนฉลาดแกมโกงซึ่งอิจฉาน้องมานานแล้วก็ถือโอกาสเถรตรงทำตามคำสั่งด้วยการการล้างทำความสะอาดทั้งข้างนอกข้างให้น้องจนซี้มะก้องด้องไปเลย
คือผ่าเอาลำไส้ออกมาล้างด้วย บรื๊อว์ พูดถึงแล้วเสียว แต่เรื่องศรีธนญชัยเป็นเพียงเรื่องโกหกหลอกเด็ก
อย่าไปซีเรียสเลยครับ มาตอบคำถามของคุณดีกว่า
1.. ถามว่าให้กินแต่แอปเปิลห้าวัน
ในภาพรวมดีไหม ตอบว่าถ้าเป็นคนอ้วนละก็ โอ้โห ดีมากเลยนะครับ ว่าจริงๆสำหรับคนที่มีดัชนีมวลกายสูงกว่าปกติ
กินแต่แอปเปิลห้าวันเนี่ยผมว่าน้อยไปนะครับ น่าจะมีสูตรล้างซูเปอร์พิษ สามสิบวัน
กินแต่แอปเปิลมื้อละสองลูก แหมถ้าได้ยังงี้เนี่ยเจ๋งเลย ความจริงสูตรกินแต่แอปเปิลวันละสองลูกพวกนางแบบเขาก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้วนะครับ
แล้วก็เวอร์คมาก ในแง่ของหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำหรับคนที่ดัชนีมวลกายมากเกินพิกัด
สูตรอะไรก็ได้ที่จะลดอาหารที่ให้แคลอรี่ลงมันดีทั้งนั้นแหละครับ
2.. ถามว่าการกินยาถ่ายดีเกลือบวกน้ำมันมะกอก
หรือยาถ่ายดีเกลือบวกน้ำมันละหุ่ง ดีไหม ตอบว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ อย่างน้อย
หลักฐานทางการแพทย์ที่มีก็ยืนยันว่าการถ่ายยาแบบนี้ช่วยเก็บพยาธิในลำไส้ระดับพยาธิเส้นด้ายและพยาธิไส้เดือนได้
เพียงแต่ขณะถ่ายโกร๊กๆๆอยู่นั้น ต้องระวังทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ด้วยการดื่มน้ำและเกลือแร่ให้ทันก็แล้วกัน
ความจริงออริจินอลแล้วสูตรนี้มันเป็นสูตรของเด็กวัดเขานะครับ
สมัยเด็กๆผมเป็นเด็กวัด ทุกห้าหกเดือนท่านพระครูก็จะจับเด็กวัดเข้าแถวกินยาถ่ายดีเกลือบวกน้ำมันละหุ่งบ้าง
น้ำมันมะกอกบ้าง แบบบังคับต้องกินถ้วนทั่ว ไม่มีใครหนีไปไหนพ้นแม้อยากจะหนีใจจะขาด
เพราะรสชาติของดีเกลือนั้นเหลือรับ หลังโดนยาถ่ายบักโกรกกันได้ที่แล้ว พวกเราจะมีอาการโหยต้องยกพวกไปปีนมะพร้าวเอาน้ำมะพร้าวมาดื่มแก้โหยที่หนึ่งเป็นสิบๆลูก
3. ถามว่าขบวนการเหล่านี้ทำให้ขับถ่ายโคเลสเตอรอลออกมาจากตับและถุงน้ำดีได้จริงไหม
ตอบว่า “จริงครับ” เพราะตัวน้ำดีเองเป็นโคเลสเตอรอลที่สร้างมาจากตับ แล้วนำมาพักที่ถุงน้ำดี
ก่อนจะปล่อยลงมาในลำไส้ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกดูดซึมกลับผ่านผนังลำไส้ไปเข้ากระแสเลือดใหม่
งานวิจัยพบว่าหากเราดึงเอาน้ำดีในลำไส้ให้ออกมาทางอุจจาระแทนที่จะปล่อยให้มันถูกดูดซึมกลับเข้าไปสู่กระแสเลือด
ก็จะลดโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในเลือดลงได้ เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ดึงน้ำดีออกทางก้น
ยุทธวิธีเอาน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันละหุ่งล่อน้ำดีออกมาในลำไส้
แล้วเอายาถ่ายดีเกลือเร่งการเคลื่อนไหวลำไส้เพื่อไม่ให้น้ำดีทันถูกดูดกลับเข้ากระแสเลือด
ก็อาศัยยุทธศาสตร์ดึงน้ำดีออกมาทางก้นนี่เอง
แต่ประเด็นก็คือยุทธศาสตร์นี้วงการแพทย์เคยใช้มานานแล้วและเลิกไปแล้วเพราะมียุทธศาสตร์ที่ดีกว่า
กล่าวคือสมัยก่อนวงการแพทย์ใช้สารเคมี (ยา) ชื่อ cholestyramine ให้คนไข้กินเข้าไปเพื่อให้ไปจับกับน้ำดีแล้วลากน้ำดีออกมาทางอุจจาระ
ยุทธศาตร์เดียวกัน แต่ยุทธวิธีนุ่มนวลกว่า คือไม่ต้องถ่ายยาบักโกรกหน้าเขียวหน้าเหลือง
แต่เดี๋ยวนี้เลิกใช้แล้ว เพราะพอมียาลดไขมัน สะแตติน (statin) เกิดขึ้น โห สะแตตินมันลดไขมันเลวได้ดีกว่ากันแบบว่าคนละเรื่องเดียวกัน ยุทธศาสตร์ดึงน้ำดีออกทางก้นจึงถึงแก่กาลอวสานด้วยประการฉะนี้
4. ถามว่าสิ่งที่ขับถ่ายออกมาเป็นอะไรเขียวๆบ้าง
ดำปื๊ดบ้าง มันถูกล้างออกมาจากถุงน้ำดีและตับจริงไหม
ตอบว่า "จริงครับ" แต่มันออกมาของมันเองตามธรรมชาติ
ไม่มีใครเอาน้ำไปล้างมันออกมาดอก การใส่น้ำมันมะกอกและดีเกลือมีผลเร่งให้การเคลื่อนตัวของน้ำดีมายังลำไส้เกิดขึ้นเร็วขึ้น
ส่วนสีดำปื๊ดที่เห็นนั้นก็คือน้ำดีเมื่อผสมกับน้ำย่อยชนิดอื่นในลำไส้ส่วนต้น (duodenum) ก็จะให้สีดำแบบนั้น มีส่วนที่หนืดข้นบ้าง เป็นก้อนบ้าง นั่นก็เป็นลักษณะของน้ำดีเขาละครับ
ถ้าไหลเร็วก็เหลวแบบน้ำมันเครื่อง ถ้าไหลช้าก็เป็นขี้โคลน (bile sludge) ถ้าไหลช้ามากก็เป็นนิ่ว (gall stone)
ทั้งสามรูปแบบเนี่ย (รวมทั้งนิ่วในท่อหรือถุงน้ำดี) ออกมาในอุจจาระของเราทุกวัน
ไม่เชื่อคุณลองอึใส่กะละมังแล้วบรรจงแคะดูสิครับ (ขอโทษ ทะลึ่ง) ถ้าเมื่อใดที่นิ่วในท่อหรือถุงน้ำดีของคุณไม่ออกมาในอุจจาระสิครับ
เมื่อนั้นเป็นเรื่อง คือคุณจะหน้าเหลืองโดยไม่ต้องถ่ายยา คือว่าเป็นดีซ่านไปแล้วเรียบร้อย ดังนั้นการที่อดอาหารห้าวันจนอึเหลือแต่น้ำดีกับน้ำมันมะกอก แล้วอึใส่กาละมัง
แล้วเอาน้ำดีที่เป็นขี้โคลนบ้าง หรือเป็นก้อนนิ่วบ้าง มากระต๊ากตื่นเต้ลล์นั้น
เป็นเรื่องเพื่อความบันเทิงในชีวิตเท่านั้นเองครับ ไม่มีนัยสำคัญอะไรลึกซึ้ง
5. ถามว่ากระบวนการล้างท่อน้ำดีและตับของคุณนี้ช่วยกำจัดนิ่วในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีได้ไหม
อันนี้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไม่มี คนไข้ของผมก็ชอบไปทำล้างพิษนี่กันเป็นว่าเล่นนะครับ
บางรายพอตรวจสุขภาพประจำปีพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีก็รีบไปเลย
พอกลับมา ผมบอกว่าขอทำอุลตร้าซาวด์ซ้ำดูหน่อยนะ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน
แต่กี่รายๆก็ไม่ยอมให้ผมทำ
รายหนึ่งเธอบอกว่ากลัวนิ่วยังอยู่แล้วจะถูกหมอซ้ำเติมว่าไปถูกเขาหลอก โถ.. ไม่น่ารู้ทันเลยว่าผมแอบทำวิจัย
อย่างไรก็ตาม ดูจากกลไกที่มีน้ำมันมะกอกเป็นตัวกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำดีมากขึ้น
มันก็น่าจะมีผลให้การไหลเวียนของน้ำดีเร็วขึ้นและอาจมีผลพัดพาเอานิ่วออกมาได้เร็วขึ้นกว่าปกตินะครับ
เพียงแต่ว่าผมยังไม่มีหลักฐานยืนยันเท่านั้นเอง
6..ถามว่าวิธีการนี้จะช่วยแก้อาการไม่สบายต่อไปนี้ได้หรือเปล่า
6.1 อาการนอนไม่หลับ
ผมสาระภาพว่าไม่มีข้อมูลที่จะมาตอบตรงนี้นะครับ เพราะไม่เคยมีใครทำวิจัยไว้
มองจากเหตุผลทางการแพทย์ การนอนไม่หลับมีหลายสาเหตุ
ถ้าการไปทำตรงนี้บังเอิญแก้เหตุได้ ก็ช่วยให้นอนหลับได้
เช่นถ้านอนไม่หลับเพราะเครียด
การไปเข้าแค้มป์ถ่ายยามีกิจกรรมจัดการความเครียดเช่นท่องมนต์บ่นคัมภีร์ด้วย ก็อาจทำให้นอนหลับได้
หรือเช่นหากนอนไม่หลับเพราะท้องอืด เฟ้อ อาหารไม่ย่อย หรือพูดง่ายๆว่าเพราะกินมากเกินไป
การไปทำกิจกรรมกินน้อยๆอย่างนี้ก็ช่วยให้นอนหลับได้
6.2 อาการคันตามผิวหนัง
ตอบว่า ถ้าอาการคันตามผิวหนังนั้นเกิดจากระดับน้ำดีในเลือดมาก (เช่นอาการคันผิวหนังในคนเป็นตับแข็ง)
การไปทำอย่างนี้ซึ่งลดการดูดซึมน้ำดีกลับสู่ร่างกายก็จะลดอาการคันตามผิวหนังได้ครับ
แต่ถ้าอาการคันตามผิวหนังเกิดจากสาเหตุอื่น เช่นโดนยุงที่แค้มป์ล้างพิษกัดเอา อันนี้การถ่ายยาก็ลดอาการคันไม่ได้ครับ
6.3 อาการฮอร์ไมนไม่สมดุลย์
แหะ แหะ อันนี้ข้อยจนด้วยเกล้าจริงๆครับ
ว่าอาการฮอร์โมนไม่สมดุลของคุณหมายถึงอาการอะไร
หากหมายถึงอาการวูบๆวาบๆของคนเลือดจะไปลมจะมา (peri menopausal syndrome) นั้น ยังไม่มีงานวิจัยว่ามีความสำพันธ์กับการเพิ่มการไหลของน้ำดีหรือไม่
วงการแพทย์ทราบเพียงแต่ว่าเมื่อประจำเดือนหมด เอสโตรเจนลดลง การผลิตน้ำดีจะน้อยลง ทำให้น้ำดีออกมาในลำไส้น้อย ทำให้ท้องอืดเฟ้อง่ายขึ้นเพราะอาหารไขมันถูกย่อยช้าลง หากเราไปเร่งให้น้ำดีเคลื่อนที่ออกมาในลำไส้เร็วขึ้น
แม้จะเพียงชั่วคราว มันก็อาจจะมีผลต่ออาการหมดประจำเดือนในส่วนที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารเช่นท้องอืดได้
นี่เป็นเพียงข้อคาดเดานะ ยังไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่ที่แน่ๆคือมันไม่เกี่ยวกับอาการหมดประจำเดือนในส่วนที่เกี่ยวกับระบบประสาทและระบบฮอร์โมนเช่นอาการร้อนวูบวาบ
เป็นต้น
7.. ถามว่าหมอสันต์สนับสนุนให้คนไปเข้าแค้มป็ล้างพิษ
ล้างท่อน้ำดีกันไหม แหะ แหะ อันนี้ No comment ครับ
เพราะคนไข้ที่ถามผมอย่างนี้ ไม่ว่าผมจะตอบว่าอย่างไร เขาหรือเธอก็จะไปอยู่ดี
เพราะซื้อตั๋วไว้แล้ว แต่มาหลอกถามดูเชิงกันแค่นั้นเอง ดังนั้นผมไม่ตอบดีกว่า ผมตอบได้เฉพาะสิ่งที่เป็นความจริงว่า ผมเห็นคนไข้ของผมที่ไปทำพวกล้างพิษล้างท่อน้ำดีพวกนี้กลับมาแล้วก็แฮปปี้ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน เนื่องจากคนไข้ของผมส่วนใหญ่มีปัญหากระเป๋าหนักเกินไป ผมจึงเดาเอาว่าคงแฮปปี้เพราะสุขใจที่ได้บริจาคเงินในกระเป๋าออกไปให้กระเป๋าที่หนักอึ้งมันเบาๆลงบ้าง
ความเห็นส่วนตัวของผมในเรื่องการเสาะหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพดี จะเป็นการเสาะหาตามวิธีของแพทย์แผนปัจจุบันหรือเสาะหาแบบการแพทย์ทางเลือกแบบใดก็ตาม ผมว่ามันก็ดีกว่าการเสาะหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพแย่ลงอย่างเช่นการเข้าหาอบายมุขต่างๆนะครับ
ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าไม่มีหน่วยกล้าตายคอยลองนั่นลองนี่ ป่านนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ไม่ก้าวหน้ามาถึงอย่างที่เป็นหรอกครับ
ในอีกแง่หนึ่ง การที่คนเรารู้ว่าตัวเองมีอำนาจที่จะดูแลตัวเองได้ และหัดใช้อำนาจตัดสินใจทำอะไรของตัวเองด้วยดุลพินิจของตัวเอง แทนที่จะรอให้หมอสั่งหรือทำไปเพราะถูกหมอบังคับโดยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม ผมถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะฝึกให้คนๆนั้นเข้มแข็งพอที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองอย่างสิ้นเชิงในอนาคตได้ บล็อกของผมสนับสนุนให้ผู้คนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองอย่างสิ้นเชิงไปสู่การใช้ชีวิตในแนวทางสร้างเสริมสุขภาพด้วยตนเองทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การโภชนาการ การจัดการความเครียด โดยวิธีที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์บอกว่าปลอดภัยและมีประโยชน์ แต่การจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตัวเองได้มันต้องมีความกล้าตัดสินใจเปลี่ยนก่อน ผมจึงสนับสนุนให้ท่านผู้อ่านหัดใช้วิจารณญาณและหัดตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองโดยจะตรงหรือไม่ตรงกับหมอบอกก็ได้ครับ ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรื่องสุขภาพนี้ไม่มีใครรู้จริง 100% ว่าอะไรผิดอะไรถูก ผมช่วยท่านได้ในการให้ข้อมูลหลักฐานวิทยาศาสตร์ แต่ว่าวิชาแพทย์ก็ยังไม่รู้ในอีกหลายๆเรื่อง ตำราแพทย์วิชาต่างๆจะย้ำประเด็นนี้ให้แพทย์ตระหนักและกันแพทย์ลืมเสมอ ดังนั้นใครชอบลองอะไรในเรื่องสุขภาพหากไม่ใช่เรื่องที่มีอันตรายต่อตัวเองชนิดที่เห็นกันโต้งๆ ผมว่า...ก็ลองไปเถอะครับ
ความเห็นส่วนตัวของผมในเรื่องการเสาะหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพดี จะเป็นการเสาะหาตามวิธีของแพทย์แผนปัจจุบันหรือเสาะหาแบบการแพทย์ทางเลือกแบบใดก็ตาม ผมว่ามันก็ดีกว่าการเสาะหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีสุขภาพแย่ลงอย่างเช่นการเข้าหาอบายมุขต่างๆนะครับ
ในอีกแง่หนึ่ง ถ้าไม่มีหน่วยกล้าตายคอยลองนั่นลองนี่ ป่านนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ไม่ก้าวหน้ามาถึงอย่างที่เป็นหรอกครับ
ในอีกแง่หนึ่ง การที่คนเรารู้ว่าตัวเองมีอำนาจที่จะดูแลตัวเองได้ และหัดใช้อำนาจตัดสินใจทำอะไรของตัวเองด้วยดุลพินิจของตัวเอง แทนที่จะรอให้หมอสั่งหรือทำไปเพราะถูกหมอบังคับโดยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม ผมถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะฝึกให้คนๆนั้นเข้มแข็งพอที่จะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองอย่างสิ้นเชิงในอนาคตได้ บล็อกของผมสนับสนุนให้ผู้คนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองอย่างสิ้นเชิงไปสู่การใช้ชีวิตในแนวทางสร้างเสริมสุขภาพด้วยตนเองทั้งเรื่องการออกกำลังกาย การโภชนาการ การจัดการความเครียด โดยวิธีที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์บอกว่าปลอดภัยและมีประโยชน์ แต่การจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตัวเองได้มันต้องมีความกล้าตัดสินใจเปลี่ยนก่อน ผมจึงสนับสนุนให้ท่านผู้อ่านหัดใช้วิจารณญาณและหัดตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองโดยจะตรงหรือไม่ตรงกับหมอบอกก็ได้ครับ ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะเรื่องสุขภาพนี้ไม่มีใครรู้จริง 100% ว่าอะไรผิดอะไรถูก ผมช่วยท่านได้ในการให้ข้อมูลหลักฐานวิทยาศาสตร์ แต่ว่าวิชาแพทย์ก็ยังไม่รู้ในอีกหลายๆเรื่อง ตำราแพทย์วิชาต่างๆจะย้ำประเด็นนี้ให้แพทย์ตระหนักและกันแพทย์ลืมเสมอ ดังนั้นใครชอบลองอะไรในเรื่องสุขภาพหากไม่ใช่เรื่องที่มีอันตรายต่อตัวเองชนิดที่เห็นกันโต้งๆ ผมว่า...ก็ลองไปเถอะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์