กลัวเป็นอัลไซเมอร์แล้วจะถูกแฮ้บสมบัติ

(ภาพวันนี้: แอบมองผ่านระเบียงของเพื่อนบ้านหลังหนึ่งในมวกเหล็กวาลเลย์)

เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ

          เนื่องด้วยดิฉันเป็นสาวโสดอายุ 56 ปี ค่ะ อนาคตข้างหน้าคงได้พึ่งตัวเอง ปัจจุบันหมั่นดูแลสุขภาพทุกด้าน แต่มีความกังวลหากบั้นปลายเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา ห่วงเรื่องเงินทองค่ะ กังวลใจจะทำอย่างไรที่จะให้ทรัพย์สินที่เก็บสะสมมาปลอดภัยและใช้เลี้ยงดูตัวเองตามที่ตั้งใจไว้ หากเป็นอัลไซเมอร์ขึ้นมา เกรงว่าจะถูกหลอกเอาสมบัติไปค่ะ เพราะคงหลงลืม ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ จึงเรียนขอคำแนะนำ เตรียมความพร้อม ว่าเราจะทำอย่างไรกับเงินทอง ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ไม่ให้ถูกญาติพี่น้องหลอกเอาเงินสมบัติไปค่ะ

            ขอบพระคุณอย่างสูง

ส่งจาก iPhone ของฉัน

………………………………………………………………….

ตอบครับ

ก่อนตอบคำถามของคุณ ขอนอกเรื่องหน่อยนะ นานมาแล้วผมไปงานศพที่จ.ระยอง หลวงพ่อที่มาเทศน์งานศพเล่าว่ามีโยมผู้หญิงสูงอายุเอาเงินมาฝากหลวงพ่อสี่แสนและว่า

“ถ้าฉันตายฝากหลวงพ่อเอาเงินนี้ทำศพให้ฉันด้วยนะ เพราะฉันจะเอาให้ลูกไว้ก็กลัวมันเอาไปกินหมด”

หลวงพ่อก็รับไว้และตอบแบบติดตลกว่า

“โยมกับอาตมาใครจะไปก่อนกันไม่รู้ ถ้าอาตมาไปก่อนก็ตัวใครตัวมันนะ”

อย่างนี้เรียกว่ามีลูก แล้วระแวงลูก

อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเศรษฐีตัวคนเดียวเล่าให้ผมฟังว่าเธอเป็นห่วงทรัพย์เมื่อเธอแก่ตัวว่าจะถูกคนอื่นเล่นแร่แปรธาตุ จึงเลือกคนรู้จักที่ท่าทางน่าไว้ใจได้คนหนึ่งแล้วมอบให้เป็นผู้ดูแลทรัพย์ แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าผู้ดูแลจะเริ่มทะยอยขนทรัพย์ออกจากบ้านของเธอไป จึงปรึกษานักกฎหมาย นักกฎหมายแนะนำให้แต่งตั้งผู้ดูแลอีกคนหนึ่งขึ้นมาดูแลร่วมกัน เธอก็ทำตาม นานไปผู้ดูแลคนที่สองก็ออกฟอร์มว่าทำไมผู้ดูแลคนแรกได้นั่นได้นี่แต่ผมไม่ค่อยได้อะไรเลย เธอจึงชักไม่ไว้ใจ หันไปใช้หลานของตัวเองให้ไปเบิกเงินธนาคารแทน ต่อมาอ่านบล็อกหมอสันต์เรื่องสิ่งที่ผู้สูงอายุต้องทำเองให้ได้ 7 อย่างก็ได้คิดว่าน่าจะกลับมาดูแลบัญชีตัวเองดีกว่าจึงบอกหลานว่าเอาบัญชีมาย่าจะเอาไปเบิกเงินเอง หลานตอบว่าอย่าเลยครับ เดี๋ยวคุณย่ากรอกตัวเลขผิดๆถูกๆ เธอก็เอะใจว่า เอ๊ะ นี่เจ้าหลานก็ท่าจะเป็นกับเขาไปอีกคนแล้วกระมัง อย่างนี้เรียกว่ามีหลาน แล้วระแวงหลาน

อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นคนไข้ของผมเอง มาขอร้องผมว่าให้ผมช่วยรับเป็นผู้จัดการมรดกให้เธอหน่อยเพราะเธอตัวคนเดียวมีแต่คนจะมาตอดเอาเงินจนน่ารำคาญ ถ้าเธอตายไปแล้วทรัพย์ของเธอผมจะเอาไปทำอะไรก็ตามใจผมเถอะ ผมตอบเธอว่า

“ไม่ได้อะ เดี๋ยวผมไปสวรรค์ไม่ได้” เธอทำหน้างงๆ ผมจึงเฉลยมุขให้เธอฟังว่า

“ก็จีซัสบอกว่าอูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าที่คนรวยจะไปสวรรค์ ได้เงินของคุณมาผมก็จะกลายเป็นคนรวย แล้วผมจะไปสวรรค์ได้ไงละครับ”

ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

เอาเถอะ เอาเถอะ เลิกพล่ามไร้สาระ มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

1.. ถามว่าอยากจะวางแผนป้องกันคนอื่นมาแฮ้บเงินของตัวเองเมื่อตัวเองสมองเสื่อมไปแล้ว ควรจะทำอย่างไร ตอบว่า

1.1 ทำสมบัติของคุณให้อยู่ในรูปที่จัดการได้ง่าย อย่างน้อยทำบัญชีสินทรัพย์ของคุณขึ้นมาก่อน เมื่อสองวันก่อนผมได้ไปกินข้าวเย็นกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบกันสิบกว่าปีมาแล้ว เขาอายุเกือบ 80 แล้ว เขาได้โชว์ให้ผมดูว่าเขาจัดทำไฟล์บันทึกสินทรัพย์ของเขาไว้ในมือถือเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นโฉนดที่ดิน หุ้น บัญชีธนาคาร แถมยังมีรูปถ่ายตัวโฉนดหรือตัวบัญชีเก็บแยกกันไว้เป็นโฟลเดอร์อย่างเป็นระเบียบอีกด้วย ทั้งหมดนี้มีแบ้คอัพอยู่บนก้อนเมฆ นั่นแหละตัวอย่างที่ดี คุณทำอย่างนั้นเลย ว่างๆก็หมั่นเอาขึ้นมา “ท่อง” ว่าตัวเองมีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่บ้างเป็นการทวนความจำ

1.2 หาเรื่องจัดการด้านการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีบ่อยๆ เช่นโอนเงินบัญชีโน้นไปบัญชีนี้ ซื้อของออนไลน์ จ่ายคนละครึ่ง เป็นต้น นานๆครั้งก็ควรหาเวลาไป update บัญชีธนาคารแต่ละเล่มเสียบ้าง

1.3 แปลงทรัพย์ที่จะถูกแฮ้บได้ง่ายไปอยู่ในรูปแบบที่คนอื่นแฮ้บยากแต่เรายังใช้ประโยชน์ได้ เช่นพวกหลานๆชอบมาตื้อขอยืมโฉนดบ้านไปค้ำประกันเงินกู้ คุณก็เอาบ้านไปตึ๊งออมสินแลกเป็นบำนาญรายเดือนมาใช้จ่ายเองซะจะได้ไม่มีโฉนดว่างให้ใครยืมใช้ เป็นต้น

1.4 ทำบันทึกลับส่วนตัวไว้สักหนึ่งหน้า ทั้งเป็นโน้ตในมือถือและทั้งเป็นกระดาษซ่อนไว้ ในนี้ให้คุณเขียนเรื่องที่คุณจะต้องจำได้จนวาระสุดท้ายของชีวิต เช่นพาสเวิร์ดเข้ามือถือ อีเมล หรือเข้าแอ๊พของธนาคาร เป็นต้น อย่าหวังว่าสมองของคุณจะจำรหัสเหล่านี้ได้ตลอดไป วันหนึ่งคุณจะต้องได้ใช้บันทึกลับนี้

2.. วางแผนแล้วก็ทำตามแผนและเลิกกังวลถึงมันซะ โรคสมองเสื่อมจะเกิดหรือไม่ยังไม่รู้ แต่โรคกังวลได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วตอนนี้ ดังนั้นสิ่งที่เร่งด่วนกว่าการกังวลว่าจะถูกต้มตุ๋นในอนาคตก็คือการฝึกใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างปลอดความคิดลบที่เดี๋ยวนี้ ความกังวลเป็นจินตนาการว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต ซึ่งอนาคตนั้นเป็นความคิดที่เกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้ อนาคตไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง ความกังวลเป็นความสูญเปล่าของการเกิดมามีชีวิต สิ่งที่คุณกังวลนั้นไม่ได้มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงคือเดี๋ยวนี้ ให้คุณหัดใช้ชีวิตที่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ไปทีละขณะ ทีละขณะ อย่าไปกังวลถึงอนาคตที่ไม่ได้มีอยู่จริงเลย

3.. ถ้าคุณมีทรัพย์แยะก็แจกจ่ายออกไปเสียบ้าง เป็นวิธีลดความกังวลเรื่องทรัพย์ได้อีกทางหนึ่ง อย่าลืมว่าเรามาสู่โลกนี้ด้วยมือเปล่านะ ขากลับเราก็ต้องกลับมือเปล่า ถ้าคุณห่วงทรัพย์มาก ตายไปแล้วคุณจะไม่ไปไหนแต่จะกลายเป็นปู่โสมหรือย่าโสมเฝ้าทรัพย์อยู่แถวนั้นแหละ คุณอยากเป็นอย่างนั้นหรือ อย่าไปคิดว่าญาติมิตรลูกหลานแต่ละคนล้วนแต่เป็นเปรตที่จะคอยมาสูบเรา การคิดอย่างนั้นเป็น “อีโก้” ที่แยกเราออกมาจากชีวิตอื่นซึ่งมีแต่จะทำให้วัยชราของเราเต็มไปด้วยความคิดหวาดระแวงไม่เป็นสุข ให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ว่าชีวิตเรากับชีวิตอื่นแท้จริงแล้วมันก็ล้วนมาจากที่เดียวกันและจะกลับไปสู่ที่เดียวกันทั้งนั้นแหละ ความเป็นเราเป็นเขาเป็นแค่เส้นสมมุติชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง แม้เงินทองทรัพย์สินที่เราครอบครองอยู่ก็เป็นของสมมุติชั่วคราว มันจะหล่นหายไปบ้าง ถูกลูกหลานหรือถูกโจรจิ๊กไปบ้างก็ช่างมันเถอะ ให้คุณหัดมองชีวิตในภาพใหญ่ ใน bigger perspective อุปมาชีวิตเหมือนเราเดินทางไปเมืองนอกต้องแวะเปลี่ยนเครื่องบิน เราจะไปหงุดหงิดกับการแย่งกันครอบครองเก้าอี้ที่นั่งใน transit hall ซึ่งเป็นแค่จุดรอขึ้นเครื่องแป๊บเดียวทำไม เพราะอีกไม่กี่นาทีเราก็ต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว ชีวิตก็เหมือนกัน เราเกิดมาใช้ชีวิตแป๊บเดียวก็ตายแล้ว อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องชั่วคราวที่ไม่ใช่สารัตถะที่แท้จริงของการเกิดมามีชีวิต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี