ปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปีแล้วทำไมยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณหมอคะ
ดิฉันปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลานั่งสมาธิก็ไม่เคยได้เคยเห็นอะไรอย่างคนอื่นเขาบ้าง สายหลวงปู่ ... ดิฉันไปมาครบทุกองค์แล้วจนพวกท่านจากไปกันหมดแล้ว แต่ดิฉันก็ไม่ก้าวหน้าไปไหน นี่ดิฉันก็อายุมากแล้ว จะทันได้ถึงฝั่งกับเขาหรือคะ
........................................
ตอบครับ
คุณวางอะไรเป็นเป้าหมายละครับ เป้าหมายการปฏิบัติตนสู่ความหลุดพ้น คือการสร้างความลื่นไหลให้กับชีวิต เพื่อเปลี่ยนชีวิตที่แข็งทื่อติดขัดให้กลายเป็นชีวิตที่ยืดหยุ่นลื่นไหล เพื่อปลดล็อคที่ขัดข้องให้คลายความแข็งขืน เพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่ joyful และ sensible หมายความว่าสงบเย็นเบิกบานและหนักแน่นมั่นคง ซึ่งทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องของเดี๋ยวนี้นะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเวลาว่าคุณอายุกี่ปี จะทันหรือไม่ทัน
แต่ถ้าคุณคาดหมายว่า ณ จุดหนึ่งของกาลเวลาที่ยังมาไม่ถึงคุณจะได้พบกับประสบการณ์หลุดพ้นแบบพิศดารระดับการจุดประทัดดอกไม้ไฟ นั่นคุณกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความบ้าแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องบรรลุธรรมก็ดีแล้ว เพราะถ้าบรรลุคุณอาจจะได้ไปโรงพยาบาลหลังคาแดงแทนที่จะเขียนมาหาหมอสันต์
เป้าหมายชีวิตคุณมีได้ ไม่ใช่เพื่อจะต้องไปให้ถึง แต่เพื่อเป็นทิศทางให้คุณเดินไป ว่าคุณจะเดินไปทางนี้ ไม่ใช่กลับหลังเดินไปซะอีกทาง เมื่อได้หันหน้าไปถูกทางแล้ว ขณะที่เราเดินไปนั่นแหละคือการใช้ชีวิตของจริง การหลุดพ้นจากความคิดหรือการประสบความสงบเย็นเกิดขึ้นขณะที่เราเดินไป ไม่ใช่เมื่อไปถึงเป้าหมาย เพราะความบันเทิงของชีวิตอยู่ที่การเดินทาง ไม่ใช่ที่เป้าหมาย ไปถึงเป้าหมายก็..เจ๋ง ไปไม่ถึงเป้าหมายก็..เจ๋ง เพราะมันเจ๋งตอนกำลังเดินทีละก้าวๆ การจะบรรลุความหลุดพ้นคุณต้องจดจ่อที่กระบวนการทำ (process) ที่เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้จะมีอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ตัว การจะไปถึงความรู้ตัวคุณต้องอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปจดจ่อที่เป้าหมาย (outcome) ที่วาดไว้ในอนาคต อนาคตนั่นเป็นความคิดนะ หากคุณไปจดจ่อที่ความคิด แล้วคุณจะหลุดพ้นได้อย่างไร เพราะที่เราบอกว่าอยากจะหลุดพ้น เราอยากจะหลุดพ้นจากความคิดนะ
นอกจากอนาคตแล้ว อดีตก็เป็นตัวแสบเช่นเดียวกัน อดีตก็เป็นความคิด ดังนั้นลืมอดีตไปเสียด้วย อย่าเป็นคนมีอดีต ลืมไปเสียว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ผ่านมาแล้วกี่อาจารย์กี่หลวงพ่อ อย่าเป็นคนแบบมีแต่ guilt feeling พิลาปรำพันรันทดหรือเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คนอย่างนั้นไม่มีวันจะบรรลุความหลุดพ้น เพราะเมื่อไปติดอดีตซึ่งเป็นความคิด แล้วจะหลุดพ้นจากความคิดได้อย่างไร
การแสวงหาความหลุดพ้นไม่มีคำว่าล้มเหลวนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด มีแต่จะได้เรียนรู้และก้าวหน้า เพราะความหลุดพ้นคือความสามารถในการอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อตอย่าง joyful และ sensible ไม่มีใครรู้หรอกว่าช็อตต่อไปอะไรจะถูกโยนเข้ามาใส่ แต่เราก็พร้อมรับอยู่แล้ว รับกันแบบสดๆ ซิงๆ ตามที่มันเป็น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปมัวแต่ไตร่ตรองถึงอดีตอนาคต นั่นไม่ใช่การแสวงหาความหลุดพ้น อย่างนั้นเป็นการปล่อยชีวิตไปตามกลไกการสนองตอบแบบอัตโนมัติ (conditioned reflex) ซึ่งคอยบงการให้คุณเกิดความคิดแบบเดิมๆที่กำกับโดยความจำจากอดีต ตราบใดที่คุณยังคิดอยู่ในร่องเดิมๆนี้ คุณไม่หลุดพ้นไปไหนหรอก ผมรับประกัน คุณต้องวางความคิดเดิมๆนี้ลงไปให้ได้เสียก่อน วางความอยากจะหลุดพ้นภายในเวลาอายุเท่านั้นเท่านี้ไปให้ได้เสียก่อน ความหลุดพ้นจริงๆจึงจะเกิดขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง พิเศษสำหรับคุณซึ่งมีความอยากจะหลุดพ้นซะเหลือเกิน ผมขอแนะนำอะไรที่แหวกแนวหน่อยได้ไหม คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ให้ลองทำดูสักพัก คือผมแนะนำว่าคุณลองจินตนาการดูให้ละเอียดซิว่าคนที่หลุดพ้นแล้วเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะคิดอย่างไร เขาจะเดิน กิน นั่ง นอน อย่างไร วันๆหนึ่งเขาจะทำกิจในแต่ละวันอย่างไร คุณก็ทำอย่างนั้นแหละ ทำตัวอย่างนั้นทุกอย่างทุกวันไม่หยุดหย่อน บอกตัวเองว่า "ฉันหลุดพ้นแล้ว" แต่อย่าไปบอกคนอื่นนะเดี๋ยวเขาจะจับตัวคุณส่งหลังคาแดงอีก แค่บอกตัวเองคนเดียว และทำตัวเองให้เป็นไปตามนั้น ฝรั่งเขาเรียกว่า
"Fake it, until you make it"
"แกล้งทำ จนมันกลายเป็นของจริง"
ลองดูนะ ผมว่าวิธีนี้เหมาะมากกับคนอย่างคุณ คุณจะได้เลิกอาเวคอาวรณ์ว่าเมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นเสียที เพราะตอนนี้ฉันหลุดพ้นแล้ว ฉันจบกิจแล้ว จะเอาอะไรกับฉันอีกละ เมื่อไม่มีอะไรให้อาเวคอาวรณ์แล้ว คุณก็จะหลุดพ้นจริงๆ วิธีนี้ผมรับประกันว่าได้ผลชัวร์ป้าด..ด
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ดิฉันปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลานั่งสมาธิก็ไม่เคยได้เคยเห็นอะไรอย่างคนอื่นเขาบ้าง สายหลวงปู่ ... ดิฉันไปมาครบทุกองค์แล้วจนพวกท่านจากไปกันหมดแล้ว แต่ดิฉันก็ไม่ก้าวหน้าไปไหน นี่ดิฉันก็อายุมากแล้ว จะทันได้ถึงฝั่งกับเขาหรือคะ
........................................
ตอบครับ
คุณวางอะไรเป็นเป้าหมายละครับ เป้าหมายการปฏิบัติตนสู่ความหลุดพ้น คือการสร้างความลื่นไหลให้กับชีวิต เพื่อเปลี่ยนชีวิตที่แข็งทื่อติดขัดให้กลายเป็นชีวิตที่ยืดหยุ่นลื่นไหล เพื่อปลดล็อคที่ขัดข้องให้คลายความแข็งขืน เพื่อให้ตัวเองเป็นคนที่ joyful และ sensible หมายความว่าสงบเย็นเบิกบานและหนักแน่นมั่นคง ซึ่งทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องของเดี๋ยวนี้นะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเวลาว่าคุณอายุกี่ปี จะทันหรือไม่ทัน
แต่ถ้าคุณคาดหมายว่า ณ จุดหนึ่งของกาลเวลาที่ยังมาไม่ถึงคุณจะได้พบกับประสบการณ์หลุดพ้นแบบพิศดารระดับการจุดประทัดดอกไม้ไฟ นั่นคุณกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความบ้าแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องบรรลุธรรมก็ดีแล้ว เพราะถ้าบรรลุคุณอาจจะได้ไปโรงพยาบาลหลังคาแดงแทนที่จะเขียนมาหาหมอสันต์
เป้าหมายชีวิตคุณมีได้ ไม่ใช่เพื่อจะต้องไปให้ถึง แต่เพื่อเป็นทิศทางให้คุณเดินไป ว่าคุณจะเดินไปทางนี้ ไม่ใช่กลับหลังเดินไปซะอีกทาง เมื่อได้หันหน้าไปถูกทางแล้ว ขณะที่เราเดินไปนั่นแหละคือการใช้ชีวิตของจริง การหลุดพ้นจากความคิดหรือการประสบความสงบเย็นเกิดขึ้นขณะที่เราเดินไป ไม่ใช่เมื่อไปถึงเป้าหมาย เพราะความบันเทิงของชีวิตอยู่ที่การเดินทาง ไม่ใช่ที่เป้าหมาย ไปถึงเป้าหมายก็..เจ๋ง ไปไม่ถึงเป้าหมายก็..เจ๋ง เพราะมันเจ๋งตอนกำลังเดินทีละก้าวๆ การจะบรรลุความหลุดพ้นคุณต้องจดจ่อที่กระบวนการทำ (process) ที่เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้จะมีอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเรารู้ตัว การจะไปถึงความรู้ตัวคุณต้องอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปจดจ่อที่เป้าหมาย (outcome) ที่วาดไว้ในอนาคต อนาคตนั่นเป็นความคิดนะ หากคุณไปจดจ่อที่ความคิด แล้วคุณจะหลุดพ้นได้อย่างไร เพราะที่เราบอกว่าอยากจะหลุดพ้น เราอยากจะหลุดพ้นจากความคิดนะ
นอกจากอนาคตแล้ว อดีตก็เป็นตัวแสบเช่นเดียวกัน อดีตก็เป็นความคิด ดังนั้นลืมอดีตไปเสียด้วย อย่าเป็นคนมีอดีต ลืมไปเสียว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ผ่านมาแล้วกี่อาจารย์กี่หลวงพ่อ อย่าเป็นคนแบบมีแต่ guilt feeling พิลาปรำพันรันทดหรือเสียดายสิ่งที่ผ่านไปแล้ว คนอย่างนั้นไม่มีวันจะบรรลุความหลุดพ้น เพราะเมื่อไปติดอดีตซึ่งเป็นความคิด แล้วจะหลุดพ้นจากความคิดได้อย่างไร
การแสวงหาความหลุดพ้นไม่มีคำว่าล้มเหลวนะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด มีแต่จะได้เรียนรู้และก้าวหน้า เพราะความหลุดพ้นคือความสามารถในการอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อตอย่าง joyful และ sensible ไม่มีใครรู้หรอกว่าช็อตต่อไปอะไรจะถูกโยนเข้ามาใส่ แต่เราก็พร้อมรับอยู่แล้ว รับกันแบบสดๆ ซิงๆ ตามที่มันเป็น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปมัวแต่ไตร่ตรองถึงอดีตอนาคต นั่นไม่ใช่การแสวงหาความหลุดพ้น อย่างนั้นเป็นการปล่อยชีวิตไปตามกลไกการสนองตอบแบบอัตโนมัติ (conditioned reflex) ซึ่งคอยบงการให้คุณเกิดความคิดแบบเดิมๆที่กำกับโดยความจำจากอดีต ตราบใดที่คุณยังคิดอยู่ในร่องเดิมๆนี้ คุณไม่หลุดพ้นไปไหนหรอก ผมรับประกัน คุณต้องวางความคิดเดิมๆนี้ลงไปให้ได้เสียก่อน วางความอยากจะหลุดพ้นภายในเวลาอายุเท่านั้นเท่านี้ไปให้ได้เสียก่อน ความหลุดพ้นจริงๆจึงจะเกิดขึ้น
อีกอย่างหนึ่ง พิเศษสำหรับคุณซึ่งมีความอยากจะหลุดพ้นซะเหลือเกิน ผมขอแนะนำอะไรที่แหวกแนวหน่อยได้ไหม คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ให้ลองทำดูสักพัก คือผมแนะนำว่าคุณลองจินตนาการดูให้ละเอียดซิว่าคนที่หลุดพ้นแล้วเขาจะเป็นอย่างไร เขาจะคิดอย่างไร เขาจะเดิน กิน นั่ง นอน อย่างไร วันๆหนึ่งเขาจะทำกิจในแต่ละวันอย่างไร คุณก็ทำอย่างนั้นแหละ ทำตัวอย่างนั้นทุกอย่างทุกวันไม่หยุดหย่อน บอกตัวเองว่า "ฉันหลุดพ้นแล้ว" แต่อย่าไปบอกคนอื่นนะเดี๋ยวเขาจะจับตัวคุณส่งหลังคาแดงอีก แค่บอกตัวเองคนเดียว และทำตัวเองให้เป็นไปตามนั้น ฝรั่งเขาเรียกว่า
"Fake it, until you make it"
"แกล้งทำ จนมันกลายเป็นของจริง"
ลองดูนะ ผมว่าวิธีนี้เหมาะมากกับคนอย่างคุณ คุณจะได้เลิกอาเวคอาวรณ์ว่าเมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นเสียที เพราะตอนนี้ฉันหลุดพ้นแล้ว ฉันจบกิจแล้ว จะเอาอะไรกับฉันอีกละ เมื่อไม่มีอะไรให้อาเวคอาวรณ์แล้ว คุณก็จะหลุดพ้นจริงๆ วิธีนี้ผมรับประกันว่าได้ผลชัวร์ป้าด..ด
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์