ศึกสายเลือด พี่น้องแก่งแย่งผลประโยชน์กัน

กราบเรียนคุณหมอที่เคารพนับถือ
     ขอโทษที่จะต้องเขียนยาวนะคะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้บั่นทอนและทำลายจิตใจส่งผลกระทบต่อหลายคนตามมาค่ะ ครอบครัวมีพี่น้องหลายคน ที่บ้านมีกิจการครอบครัวที่คุณแม่เป็นคนบริหารและมีน้องช่วยแบบเต็มตัว 1 คน พี่ๆทำงานราชการไม่เคยมาช่วยงานเลย จนเมื่อถึงเวลาอายุราชการได้จบลงจึงจะเริ่มอยากเข้ามาช่วย แต่วีธีการของเขาได้เข้ามาแบบไม่บริสุทธิ์ใจเท่าไหร่เพราะว่าหาเหตุมาตำหนิ หาประเด็นจนทำให้น้องต้องจบชีวิตงานแบบไม่สวยงาม หมดความน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังพี่บางคนที่คิดว่าอย่างไรก็ยังให้เครดิตน้องคนที่ช่วยกิจการมาตลอด ทุกอย่างที่มีได้หรือได้มาคือเงินรายได้จากกิจการนั้นและร่วมกันบริหารกับคุณแม่
     ทุกวันนี้เวลาล่วงเลยมาเป็นปี พี่ที่เกษียณอายุมาสานต่อแบบขุดคุ้ยช่องทางการได้รายได้แบบที่ทุกอย่างของรายได้ให้เข้าตัวเองกัน กิจการนี้เป็นกิจส่วนตัวแบบสุจริต เรียนถามคุณหมอ ดิฉันและพี่น้องที่ไม่ได้มีความอยากได้สมบัติ แต่รู้สึกเสียใจ เสียดายสมบัติที่ช่วยกันหามาตั้งแต่ทุนที่พ่อได้ทิ้งไว้ กำลังจะถูกผลาญและนำมาครอบครองเป็นของเขาโดยตรง พวกเราควรจะทำตัว วางตัว ปฏิบัติเช่นไรเพราะว่า อะไรที่ตอนนี้พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยจะถูกตีความเป็นลบ ไม่ดี ถูกยุยงจากคนอื่นทำนองนี้ จนเหลือเขาที่ไม่เคยมาดูแลครอบครัวเลยแต่เข้าไปดำเนินการกิจการแบบจะเต็มครบทุกอย่าง
     การลำเอียงเกิดจากการกระทำที่ถูกยุแย่โดยพี่ที่เพิ่งมาใหม่ ปีกว่านี้ คุณแม่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังหลายโรคแบบโรคคนสูงอายุที่เป็นกัน ยังต้องรักษาตัว สุขภาพแย่ลง ตั้งแต่ไล่ตะเวนไปหาหมอรักษาโรคต่างๆ สรุปด้วยให้แม่ไปรักษาโรงพยาบาลรัฐบอกว่าหมอดี ยาก็ดี ส่วนตัวเขากันนั้น รักษาโรงพยาบาลเอกชน เหมือนน้ำท่วมปาก พวกเราน้องๆเคยดูแลจัดหาให้เป็นเหมือนยาพิษที่แม้กระทั่ง ผ้าอ้อม ยา ทุกอย่างเคยจัดให้ พี่ๆนั้นยังบอกว่าเราซื้อของปลอม จนตอนนี้เข้าใกล้ไปไม่ได้เลย ทั้งหมดนี้เนื่องจากกิเลสจากการอยากได้ครอบครองเงินสมบัติอื่นๆของครอบครัวที่เขาแทบจะไม่เคยมีส่วนช่วยเหลือมาก่อนเลย   
     ถึงแม้การเขียนปรึกษาครั้งนี้จะยังไม่อยากปรึกษา แต่เหมือนมันไปต่อไม่ไหวแล้ว เขียนพรรณาออกเป็นอักษรไม่ไหว จนน้องๆจะเป็นโรคซึมเศร้าอยากจบปัญหา
ขอคำแนะนำค่ะ

............................................................

ตอบครับ

     เรื่อง "ศึกสายเลือด" แบบที่คุณเล่ามานั้นมันเกิดขึ้นบ่อยมาก เกิดขึ้นแทบทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งสมบัติของรุ่นพ่อรุ่นแม่มีมากรุ่นลูกก็ยิ่งก็เล่นกันแรง กลยุทธ์ที่ใช้กันก็มีตั้งแต่ยึดเอาแม่ที่ป่วยแล้วไว้เป็นตัวประกัน เก็บเอาโฉนดที่ดินหรือเอกสารสำคัญไปซ่อน ปลอมลายเซ็น ปลอมพินัยกรรม แอบเอาทรัพย์ในกำปั่นเช่นแก้วแหวนเงินทองออกไปขาย กลั่นแกล้งกันและกันให้เครียดจนเป็นบ้า ขู่ว่าจะฆ่า จ้างฆ่า และ..วางยาเบือ ผมได้ยินได้ฟังและได้รักษาผู้ป่วยที่ป่วยที่ต้องทนทุกข์อยู่กับเรื่องแบบนี้อยู่เนืองๆ จึงพูดได้เต็มปากว่ามันเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นธรรมดาของครอบครัวที่รุ่นพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้รุ่นลูก เพราะพอมีสมบัติแล้วมันก็อดไม่ได้ที่ทุกคนต่างก็อยากจะได้แยะกว่าคนอื่น จึงต้องแย่งกัน

     1. ถามว่าคุณกำลังมีความทุกข์ควรจะทำอย่างไร ตอบว่าความทุกข์ของคุณเกิดจากความคิดในใจคุณเอง ต้องแก้ที่การวางความคิดในใจคุณก่อน อย่าไปอ้างเหตุการณ์ข้างนอกเช่นเรื่องที่พี่ผู้แสนเลวกำลังจะมาฮุบสมบัติว่าเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ของคุณ เพราะนั่น่ไม่ใช่เหตุที่แท้จริง สมมุติว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาคุณไปอยู่เมืองนอกที่เผอิญไม่ได้ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวเลย ไม่รู้เรื่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณก็ไม่ทุกข์ใช่ไหม ทั้งๆที่พี่คนนั้นเขาก็ทำตัวเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้นี่แหละ คือกำลังฮุบสมบัติอยู่เหยงๆ แต่คุณไม่ทุกข์เพราะในใจของคุณไม่มีความคิดที่ทำให้คุณทุกข์ ดังนั้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงคือความคิดของคุณ ต้องแก้ที่ตรงนี้ ต้องแก้ให้ถูกที่ จึงจะแก้ได้สำเร็จ ถ้าไปแก้ผิดที่คือไปแก้เรื่องข้างนอกมันสำเร็จยากเพราะเรื่องนอกตัวคุณ คุณคุมเหตุปัจจัยทั้งหมดไม่ได้ แต่เรื่องในตัวคุณคือความคิดของคุณเองคุณคุมเหตุปัจจัยทั้งหมดได้

     2. ผมตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนนะว่าที่คุณเขียนมาหาผมนี่ มิชชั่นในชีวิตของคุณคืออยากมีชีวิตที่สงบเย็น ถ้ามิชชั่นของคุณเป็นแนวอื่นคุณคงไม่น่าจะมาหาหมอสันต์ น่าจะไปหาทนายความ หรือบริษัททวงหนี้ หรือหาบริษัทรปภ.มากกว่า

     3. การจะสงบเย็นคุณก็ต้องวางความคิดที่ทำให้คุณทุกข์ร้อนลงไปเสีย การจะวางความคิดคุณต้องเริ่มด้วยการยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่ เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันก่อน ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว มันเป็นของมันอย่างนี้แล้ว (what is)  ยอมรับตรงนี้ก่อน ไม่ต้องไปเสียเวลากับความคิดที่ว่าทำไมมันไม่เป็นอย่างนั้นนะ (what should be) ยอมรับ ยอมแพ้ ปัจจุบันให้ได้ก่อน ช็อตต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นค่อยตั้งหลักสนองตอบกันไปทีละช็อต ทีละช็อต

    4. ขั้นต่อไปก็คือการฝึกวางความคิดที่ทำให้ทุกข์ ซึ่งมีอยู่หลายวิธีมากและผมก็เขียนไปบ่อยมากจนคุณหาอ่านย้อนหลังได้ไม่ยาก ยามที่กำลังมีเรื่องร้อนๆอย่างนี้ วิธีที่ผมแนะนำคือให้คุณใช้เทคนิคสอบสวนความคิด (self inquiry) ของรามานา มหารชี คือหยิบเอาความคิดที่ก่อทุกข์ขึ้นมาสอบสวนทีละความคิด แก่นกลางของการสอบสวนความคิดก็คือถ้าเราถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับความรู้ตัวเสียได้ เราก็จะสงบเย็น เพราะความรู้ตัวไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นบุคคลของเรา แต่ถ้าเราหลงไปติดอยู่ในความคิดที่ชงขึ้นมาจากสำนึกว่าเป็นบุคคล (ตัวตน) ของเรา เราก็จะเป็นทุกข์ไม่รู้จบ ดังนั้นการสอบสวนความคิดก็มุ่งไปที่ว่าความคิดเช่นความงกอยากได้สมบัติ ความเสียดายที่ไม่ได้ ความเคียดแค้นอยากเอาชนะคะคาน ฯลฯ เหล่านี้ชงขึ้นมาจากอัตตาของเราหรือไม่ ถ้าใช่ก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดเลว เพราะสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออัตตานี่แหละคือเหตุแห่งทุกข์ ครั้งหน้าเมื่อมันมาปุ๊บดีดทิ้งปั๊บเลย สอบสวนและขึ้นทะเบียนความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ไปจนหมดทุกความคิด ตีทะเบียนไว้ให้หมด มาอีกก็ดีดทิ้งอีก จนไม่เหลือความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์เลย นั่นก็คือความหลุดพ้น

     ควบคู่ไปกับการสอบสวนตีทะเบียนความคิดที่ทำให้ทุกข์ ผมแนะนำให้ฝึกผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) และฝึกสมาธิ (meditation) ไปด้วย มันจะทำให้คุณวางความคิดได้ง่ายขึ้น

    5. จำไว้ว่ามิชชั่นแรกคือวางความคิดที่ก่อทุกข์จนหมดแล้วมาอยู่กับความรู้ตัวอันเป็นความสงบเย็นให้ได้ก่อน อย่าไปยุ่งกับเรื่องที่พี่ชายจะฮุบสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะคนเราเกิดมามีศักยภาพที่จะสงบเย็นได้ด้วยตัวเอง เพราะความสงบเย็นหรือความรู้ตัวนั้นมันอยู่ในตัวเราและเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของตัวเราเอง เราจึงต้องดูแลตัวเองให้เบิกบานสงบเย็นให้ได้เสียตั้งแต่เมื่ออยู่ตัวคนเดียวก่อน เมื่ออยู่คนเดียวแล้วสงบเย็นได้แล้ว จึงจะแผ่ความสงบเย็นไปให้คนอื่นได้ หากอยู่คนเดียวยังไม่สามารถสงบเย็นได้แล้วคุณอย่าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเลย เพราะที่จะไปหวังดูดความสงบเย็นจากการเปลี่ยนแปลงคนอื่นหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งนอกตัวนั้นมันไม่เป็นผลดอก ปล่อยคนอื่นเขาไปเถอะ เพราะหากคุณไปยุ่งเรื่องของคนอื่นขณะที่ใจของคุณกำลังทุกข์ร้อน คุณจะไปทำให้ภาพรวมของเรื่องที่เละอยู่แล้วเละตุ้มเป๊ะยิ่งขึ้นไปอีก

     6. ในระดับการใช้ดุลพินิจไปตามความคิดตรรกะ การปฏิบัติตัวในกรณีถูกโยนไปอยู่กลางศึกสายเลือดนี้ง่ายมากเลย คือถ้าคุณไม่คิดจะไปเอาส่วนแบ่งสมบัติอะไรกับเขาคุณก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรเลย ถูกแมะ ผมฟังสำบัดสำนวนจดหมายที่คุณเขียนมา คุณก็ไม่ได้ยากไร้ถึงขนาดหากไม่ได้สมบัติของคุณแม่แล้วชีวิตคุณจะมีอันเป็นไปนี่ แล้วคุณจะไปแย่งสมบัติกับเขาให้เปลืองตัวเปลืองใจทำไม ใครจะได้ครอบครองสมบัติอะไรมากมายแค่ไหนก็ช่างเขาปะไรหากคุณไม่ได้อยากได้ด้วย อีตาบิลเกตส์รวยเละคุณมีปัญหาหรือเปล่าละ คุณไม่มีปัญหาใช่ไหมเพราะรวยก็ช่างอีตาบิลเกตส์ปะไร คุณไม่ต้องไปเสียดายนั่นเสียดายนี่เพราะความรู้สึกเสียดายเป็นความคิดที่ชงขึ้นมาจากอัตตาของคุณและพาคุณไปจมอยู่ในอดีตที่ไม่มีอยู่จริง คุณจะสงบเย็นได้คุณต้องอยู่กับเดี๋ยวนี้ คุณไม่ต้องไปห่วงเรื่องน้องๆว่าพวกเขาจะมีความทุกข์ดอก หากพวกน้องๆเขาทุกข์มาหา คุณก็สอนให้เขาทำอย่างเดียวกับคุณ ถ้าเขาทำตามเขาก็จะหายทุกข์เอง แต่ถ้าเขาไม่ทำตามและไพล่ไปทำอีกอย่าง คุณก็ต้องยอมรับว่าช่างเขาเถอะ เพราะคุณจะไปทำอะไรได้เล่าถ้าน้องเขาไม่เชื่อคุณ เพราะทั้งหมดนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของคุณ การรู้จักยอมร้บว่าคุณไม่มีอำนาจจะไปเปลี่ยนอะไรนอกตัวและหันมาวางความคิดที่อยู่ในตัวซึ่งอยู่ในวิสัยที่คุณมีอำนาจทำได้นี่เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้คุณหลุดพ้นไปจากความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี