วันนี้ผมมีความรู้สึกเหมือนตอนเรียนอยู่อเมริกา วันนั้นผมตัดสินใจฆ่าตัวตาย
วันนี้ผมมีความรู้สึกเหมือนตอนเรียนอยู่อเมริกา วันนั้นผมตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย แต่มีเหตุติดขัดเล็กๆน้อยๆจึงทำไม่สำเร็จ มาวันนี้ผมมีความรู้สึกแบบวันนั้นขึ้นมาอีกแล้ว คือความรู้สึกไม่อยากอยู่ ตอนนี้ผมอยู่คนเดียว ที่ห้องเช่าส่วนตัว ไม่ได้มีใครมาทำอะไรให้ผมเสียใจหรอก เพียงแต่ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาอีก เหมือนมันจะขึ้นมาแบบไม่มีอะไรเป็นเหตุ หรือถ้าจะคิดหาสาเหตุจริงๆมันก็คงพอจะมีบ้าง ผมเหงาละมัง วันหยุดยาวช่วงปีใหม่นี้ผมว่างแต่ผมก็ไม่ยอมไปเยี่ยมคุณแม่ คุณแม่แต่งงานใหม่ คุณพ่อก็แต่งงานใหม่ คุณแม่จุกจิกหยุมหยิม คุณพ่อก็พูดอยู่แต่ว่าผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องดูแลตัวเอง อย่าเอาอะไรไปใส่ให้พ่ออีกเพราะพ่อก็จะรับไม่ไหวแล้ว เพื่อนร่วมงานที่พอจะคุยกันได้ก็มีเหตุให้หมางเมินกันไป ผมคงเหงา ความรู้สึกอย่างนั้นจึงเกิดขึ้นอีก
ผมควรจะทำอย่างไรครับคุณหมอ
......................................................
ตอบครับ
1. ถ้าคุณอยู่กับคนอื่นแล้วคุณเป็นทุกข์ คุณอาจจะโทษคนอื่นได้ แต่นี่คุณอยู่คนเดียวแท้ๆแล้วยังเป็นทุกข์อีก แสดงว่าคุณกำลังคบเพื่อนเลวเสียแล้ว ผมหมายถึงตัวคุณนั่นแหละเป็นเพื่อนที่เลวของคุณเอง ถ้าคุณทะเลาะกับตัวคุณเอง แล้วใครจะช่วยคุณได้ละครับ คุณเป็นทุกข์เพราะความคิดของคุณเอง คนอื่นอาจช่วยคุณได้ชั่วคราวแค่ให้การปลอบโยนประเดี๋ยวประด๋าว มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยตัวคุณเองได้จริงจังถาวรด้วยการลงมือฝึกวางความคิดเหล่านั้นลงไปเสีย
2. สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในรูปของความรู้สึกรันทดหดหู่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันคือ feeling หรือ เวทนา มันเป็นความจำที่ถูกบันทึกไว้แล้วถูกนำมาฉายซ้ำเป็นรอบๆ เมื่อมันถูกฉายขึ้นมาเป็นหนังให้คุณดู โดยอัตโนมัติคุณก็จะสร้างความคิดลบๆขึ้นต่อยอดบนเวทนานั้น เพราะคุณเคยทำอย่างนั้นมาก่อน แล้วคุณก็จะทำอย่างนั้นอีกไม่รู้จบ เพราะมันเป็นกลไกความย้ำคิด (compulsiveness) ซึ่งเป็นธรรมชาติของใจมนุษย์ในการปรุงความคิดใหม่โดยอาศัยความคิดเก่าเป็นหัวเชื้อ
3. ทางที่จะออกจากวงจรชั่วร้ายนี้มีวิธีเดียว คือคุณต้องตั้งหลักว่าคุณจะเป็นผู้สังเกต ความรู้สึกหรือความคิดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกคุณสังเกต ความรู้สึกหรือความคิดนั้นไม่ใช่คุณ มันมาอีกแล้วคุณก็รู้ว่าอ้อ มาอีกแล้วหรือ เมื่อตั้งหลักได้อย่างนี้คุณก็จะไม่ถูกความคิดนั้นจูงไป และเมื่อสังเกตดูความรู้สึกนั้นอยู่ห่างๆ มันก็จะค่อยๆฝ่อหายไปเอง
4. เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้แล้ว ขั้นต่อไปคุณก็ต้องมาฝึกสร้างพลังชีวิตเพื่อวางความคิดเส็งเคร็งเก่าๆให้สำเร็จ คุณต้องฝึกตัวเองให้เป็นคน joyful and sensible เป็นคน joyful หมายความว่าเป็นคนสงบเย็นเบิกบาน ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย วิธีฝึกก็ง่ายมาก ก็แค่ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายแล้วลองยิ้มกับกระจกดู หากยิ้มไม่ออกก็แสดงว่ายังผ่อนคลายไม่ได้ ต้องลองใหม่ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก หายใจออกยาวๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทั่วตัวขณะหายใจออก ลองอีก ลองอีก เอาจนยิ้มออก แล้วก็ขยันผ่อนคลายซ้ำๆทั้งวัน เพราะการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของความคิดลบ คุณผ่อนคลายกล้ามเนื้อสำเร็จ เท่ากับคุณวางความคิดลบเหล่านั้นไปได้โดยปริยาย
การเป็นคน sensible หมายความว่าเป็นคนหนักแน่น มั่นคง มีเหตุมีผล ไม่บ้าห่ามสติแตก การจะเป็นคนอย่างนี้ได้ต้องฝึกตัวเองให้ไวต่อเวทนา หมายความว่าไวต่อความรู้สึกหรือ feeling ใดๆที่เกิดขึ้นบนร่างกายและในใจ หากทันทีที่มีเวทนาเกิดขึ้นแล้วเรารู้และเฝ้าสังเกตดู เราจะทันเห็นเวทนาฝ่อหายไปก่อนที่จะมีความคิดลบที่เกิดขึ้นต่อยอดบนเวทนา ถึงแม้เราไม่ทัน ความคิดลบมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ยังจะทันมองเห็นความคิดลบที่เกิดขึ้น เมื่อมันถูกเรามองความคิดลบนั้นก็จะฝ่อหายไป เราก็จะไม่เป็นคนบ้า ห่าม สติแตก เพราะเราทันเห็นความคิดและมองมันจนมันฝ่อไปเสียก่อนที่มันจะพาเราบ้าห่ามหรือสติแตก
การจะเป็นคนไวต่อเวทนาได้ ต้องมีสมาธิดีเป็นปฐมก่อน เพราะสมาธิที่ดีจะช่วยสโลว์โมชั่นให้เวทนาเกิดขึ้นอย่างช้าๆอ้อยสร้อยให้คุณทันสังเกตเห็น ดังนั้นคุณต้องฝึกสมาธิ หมายความว่าอย่างน้อยต้องหัดนั่งหลับตาทำสมาธิทุกวันๆละสัก 15-20 นาที หรืออย่างไม่ได้เลยขอสักวันละ 5 นาทีก็ยังดี
5. ขั้นต่อไปคือตื่นเช้ามาทุกเช้า ก่อนจะเริ่มชีวิตวันใหม่แต่ละวัน ให้ถามตัวเองเสียก่อน เลือกเสียก่อน ว่าวันนี้ตัวฉันจะมีชีวิตแบบ Joyful and Sensible หรือจะมีชีวิตแบบทุกข์ระทมเงียบเหงาเซาซึม เลือกเสียก่อน แล้วก็ใช้ชีวิตในวันนั้นให้เป็นไปตามวิถีที่ตัวเองเลือก
6. คุณอย่าเอาแต่รำพันว่าตัวเองเหงา นั่นเป็นคำแก้ตัวให้กับการเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าคุณนั่นแหละต้องเป็นผู้วางความคิดสั่วๆที่คุณกุขึ้นมาในหัวตัวเองลงเสีย ความเบิกบานเป็นสิ่งที่เกิดจากข้างในโดยธรรมชาติ เพราะความเบิกบานก็คือความรู้ตัวซึ่งเป็นส่วนลึกของเราทุกคนนั่นเอง คนเราแค่ผ่อนคลายร่างกายจิตใจก็เบิกบานได้แล้ว ถ้าคุณได้มีโอกาสอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครรบกวนแล้วคุณยังเบิกบานด้วยตัวเองไม่ได้ นี่เป็นโอกาสทองของคุณ คุณต้องใช้โอกาสที่ได้อยู่คนเดียวนี้ฝึกวางความคิดด้วยการผ่อนคลายร่างกายเพื่อมาอยู่กับความรู้ตัวให้ได้ อย่าไปยุ่งหรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเป็นดีที่สุด เพราะนั่นเป็นการพอกพูนความคิด การระบายความขมขื่นในอดีตของตัวเองให้คนอื่นฟังด้านหนึ่งอาจจะดีที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่ามีคนสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งมันคือการพอกพูนความคิดซึ่งมีแต่จะทำให้ตัวเองพึ่งตัวเองไม่ได้
ความคิดของคุณ คุณผูกมันขึ้นมาเอง คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้เอง สิ่งที่ทำให้คุณเป็นทุกข์มีแต่ความคิดของคุณเท่านั้น นอกจากความคิดแล้วสิ่งอื่นๆที่จะมาทำให้คุณเป็นทุกข์ไม่มี พ่อแม่ท่านส่งเสียคุณร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แปลว่าพวกท่านก็ได้ทำหน้าที่ของท่านมากเกินพอแล้ว แล้วคุณจะเอาอะไรกับพวกท่านอีก โตป่านนี้แล้วคุณต้องแก้สิ่งที่คุณผูกขึ้นเอง คุณต้องฝึกวางความคิดลบเหล่านั้นด้วยตัวยคุณเอง ฝึกวางความคิดมาอยู่กับความจริงรอบตัวสดๆซิงๆที่นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็คือความรู้ตัวนั่น มันเป็นของจริงที่บริสุทธิ์ไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยความคิด เดี๋ยวนี้ไม่เคยเป็นสาเหตุให้ใครเป็นทุกข์ ที่ทุกข์นั้นเพราะร่างกายอยู่ที่นี่แต่ใจไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตคือไปอยู่ในความคิด ผมได้เขียนถึงเทคนิคในเรื่องการวางความคิดเพื่อมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ไปแล้วหลายครั้งมาก ให้คุณหาอ่านย้อนหลัง ถ้าอ่านแล้วเอาไปทำเองไม่สำเร็จ ก็ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมควรจะทำอย่างไรครับคุณหมอ
......................................................
ตอบครับ
1. ถ้าคุณอยู่กับคนอื่นแล้วคุณเป็นทุกข์ คุณอาจจะโทษคนอื่นได้ แต่นี่คุณอยู่คนเดียวแท้ๆแล้วยังเป็นทุกข์อีก แสดงว่าคุณกำลังคบเพื่อนเลวเสียแล้ว ผมหมายถึงตัวคุณนั่นแหละเป็นเพื่อนที่เลวของคุณเอง ถ้าคุณทะเลาะกับตัวคุณเอง แล้วใครจะช่วยคุณได้ละครับ คุณเป็นทุกข์เพราะความคิดของคุณเอง คนอื่นอาจช่วยคุณได้ชั่วคราวแค่ให้การปลอบโยนประเดี๋ยวประด๋าว มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยตัวคุณเองได้จริงจังถาวรด้วยการลงมือฝึกวางความคิดเหล่านั้นลงไปเสีย
2. สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในรูปของความรู้สึกรันทดหดหู่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มันคือ feeling หรือ เวทนา มันเป็นความจำที่ถูกบันทึกไว้แล้วถูกนำมาฉายซ้ำเป็นรอบๆ เมื่อมันถูกฉายขึ้นมาเป็นหนังให้คุณดู โดยอัตโนมัติคุณก็จะสร้างความคิดลบๆขึ้นต่อยอดบนเวทนานั้น เพราะคุณเคยทำอย่างนั้นมาก่อน แล้วคุณก็จะทำอย่างนั้นอีกไม่รู้จบ เพราะมันเป็นกลไกความย้ำคิด (compulsiveness) ซึ่งเป็นธรรมชาติของใจมนุษย์ในการปรุงความคิดใหม่โดยอาศัยความคิดเก่าเป็นหัวเชื้อ
3. ทางที่จะออกจากวงจรชั่วร้ายนี้มีวิธีเดียว คือคุณต้องตั้งหลักว่าคุณจะเป็นผู้สังเกต ความรู้สึกหรือความคิดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกคุณสังเกต ความรู้สึกหรือความคิดนั้นไม่ใช่คุณ มันมาอีกแล้วคุณก็รู้ว่าอ้อ มาอีกแล้วหรือ เมื่อตั้งหลักได้อย่างนี้คุณก็จะไม่ถูกความคิดนั้นจูงไป และเมื่อสังเกตดูความรู้สึกนั้นอยู่ห่างๆ มันก็จะค่อยๆฝ่อหายไปเอง
4. เมื่อผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้แล้ว ขั้นต่อไปคุณก็ต้องมาฝึกสร้างพลังชีวิตเพื่อวางความคิดเส็งเคร็งเก่าๆให้สำเร็จ คุณต้องฝึกตัวเองให้เป็นคน joyful and sensible เป็นคน joyful หมายความว่าเป็นคนสงบเย็นเบิกบาน ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย วิธีฝึกก็ง่ายมาก ก็แค่ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายแล้วลองยิ้มกับกระจกดู หากยิ้มไม่ออกก็แสดงว่ายังผ่อนคลายไม่ได้ ต้องลองใหม่ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก หายใจออกยาวๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทั่วตัวขณะหายใจออก ลองอีก ลองอีก เอาจนยิ้มออก แล้วก็ขยันผ่อนคลายซ้ำๆทั้งวัน เพราะการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของความคิดลบ คุณผ่อนคลายกล้ามเนื้อสำเร็จ เท่ากับคุณวางความคิดลบเหล่านั้นไปได้โดยปริยาย
การเป็นคน sensible หมายความว่าเป็นคนหนักแน่น มั่นคง มีเหตุมีผล ไม่บ้าห่ามสติแตก การจะเป็นคนอย่างนี้ได้ต้องฝึกตัวเองให้ไวต่อเวทนา หมายความว่าไวต่อความรู้สึกหรือ feeling ใดๆที่เกิดขึ้นบนร่างกายและในใจ หากทันทีที่มีเวทนาเกิดขึ้นแล้วเรารู้และเฝ้าสังเกตดู เราจะทันเห็นเวทนาฝ่อหายไปก่อนที่จะมีความคิดลบที่เกิดขึ้นต่อยอดบนเวทนา ถึงแม้เราไม่ทัน ความคิดลบมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ยังจะทันมองเห็นความคิดลบที่เกิดขึ้น เมื่อมันถูกเรามองความคิดลบนั้นก็จะฝ่อหายไป เราก็จะไม่เป็นคนบ้า ห่าม สติแตก เพราะเราทันเห็นความคิดและมองมันจนมันฝ่อไปเสียก่อนที่มันจะพาเราบ้าห่ามหรือสติแตก
การจะเป็นคนไวต่อเวทนาได้ ต้องมีสมาธิดีเป็นปฐมก่อน เพราะสมาธิที่ดีจะช่วยสโลว์โมชั่นให้เวทนาเกิดขึ้นอย่างช้าๆอ้อยสร้อยให้คุณทันสังเกตเห็น ดังนั้นคุณต้องฝึกสมาธิ หมายความว่าอย่างน้อยต้องหัดนั่งหลับตาทำสมาธิทุกวันๆละสัก 15-20 นาที หรืออย่างไม่ได้เลยขอสักวันละ 5 นาทีก็ยังดี
5. ขั้นต่อไปคือตื่นเช้ามาทุกเช้า ก่อนจะเริ่มชีวิตวันใหม่แต่ละวัน ให้ถามตัวเองเสียก่อน เลือกเสียก่อน ว่าวันนี้ตัวฉันจะมีชีวิตแบบ Joyful and Sensible หรือจะมีชีวิตแบบทุกข์ระทมเงียบเหงาเซาซึม เลือกเสียก่อน แล้วก็ใช้ชีวิตในวันนั้นให้เป็นไปตามวิถีที่ตัวเองเลือก
6. คุณอย่าเอาแต่รำพันว่าตัวเองเหงา นั่นเป็นคำแก้ตัวให้กับการเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าคุณนั่นแหละต้องเป็นผู้วางความคิดสั่วๆที่คุณกุขึ้นมาในหัวตัวเองลงเสีย ความเบิกบานเป็นสิ่งที่เกิดจากข้างในโดยธรรมชาติ เพราะความเบิกบานก็คือความรู้ตัวซึ่งเป็นส่วนลึกของเราทุกคนนั่นเอง คนเราแค่ผ่อนคลายร่างกายจิตใจก็เบิกบานได้แล้ว ถ้าคุณได้มีโอกาสอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครรบกวนแล้วคุณยังเบิกบานด้วยตัวเองไม่ได้ นี่เป็นโอกาสทองของคุณ คุณต้องใช้โอกาสที่ได้อยู่คนเดียวนี้ฝึกวางความคิดด้วยการผ่อนคลายร่างกายเพื่อมาอยู่กับความรู้ตัวให้ได้ อย่าไปยุ่งหรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเป็นดีที่สุด เพราะนั่นเป็นการพอกพูนความคิด การระบายความขมขื่นในอดีตของตัวเองให้คนอื่นฟังด้านหนึ่งอาจจะดีที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่ามีคนสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งมันคือการพอกพูนความคิดซึ่งมีแต่จะทำให้ตัวเองพึ่งตัวเองไม่ได้
ความคิดของคุณ คุณผูกมันขึ้นมาเอง คุณต้องเรียนรู้ที่จะแก้เอง สิ่งที่ทำให้คุณเป็นทุกข์มีแต่ความคิดของคุณเท่านั้น นอกจากความคิดแล้วสิ่งอื่นๆที่จะมาทำให้คุณเป็นทุกข์ไม่มี พ่อแม่ท่านส่งเสียคุณร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา แปลว่าพวกท่านก็ได้ทำหน้าที่ของท่านมากเกินพอแล้ว แล้วคุณจะเอาอะไรกับพวกท่านอีก โตป่านนี้แล้วคุณต้องแก้สิ่งที่คุณผูกขึ้นเอง คุณต้องฝึกวางความคิดลบเหล่านั้นด้วยตัวยคุณเอง ฝึกวางความคิดมาอยู่กับความจริงรอบตัวสดๆซิงๆที่นี่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ก็คือความรู้ตัวนั่น มันเป็นของจริงที่บริสุทธิ์ไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยความคิด เดี๋ยวนี้ไม่เคยเป็นสาเหตุให้ใครเป็นทุกข์ ที่ทุกข์นั้นเพราะร่างกายอยู่ที่นี่แต่ใจไปอยู่ในอดีตหรืออนาคตคือไปอยู่ในความคิด ผมได้เขียนถึงเทคนิคในเรื่องการวางความคิดเพื่อมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ไปแล้วหลายครั้งมาก ให้คุณหาอ่านย้อนหลัง ถ้าอ่านแล้วเอาไปทำเองไม่สำเร็จ ก็ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์