ตาดโตน..ที่ตรงนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ
เสร็จจากสอนแค้มป์สุขภาพสำหรับคณะผู้บริหารของแบงค์ชาติแล้ว ผมก็ฟรีสองวัน หมอสมวงศ์ได้นัดหมายจะไปดูดอกกระเจียวป่าที่จ.ชัยภูมิกับเพื่อนๆซึ่งส่วนใหญ่อยู่อาศัยในมวกเหล็กวาลเลย์นี้แหละ รวมทั้งก๊วนได้ 8 คน ต่อมามีเพื่อนจากกทม.มาสมทบอีกสองคนรวมเป็นสิบคน เนื่องจากมากันคนละทิศคนละทาง เพื่อนที่รับหน้าเสื่อจัดการทริปนี้จึงนัดพบกันตอนสาย 9.30 น. ที่เทพพนาวินด์ฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มผลิตไฟฟ้าด้วยพลังลม อยู่ที่อำเภอเทพสถิต จ.ชัยภูมิ
ผมขี้เกียจขับรถเองจึงเสนอเพื่อนบ้านว่า
"เรามาหุ้นกันดีกว่า คุณลงทุนรถ ผมลงทุนน้ำมัน"
แค่นี้ก็ได้เป็นผู้โดยสารนั่งสบายๆ แถมมีคนร้องเพลงให้ฟังตลอดทางด้วย ก็คือเจ้าของและคนขับนั่นแหละ เขาเป็นนักร้องอยู่แล้ว
ทีมเราไปถึงจุดนัดหมายก่อนใครเพื่อน เห็นกังหันลมขนาดยักษ์ตั้งเรียงรายเป็นแถวอยู่ตามยอดเขาก็คิดว่าคงอีกไม่ไกล
ที่ไหนได้ขับวนไปวนมาตามคำสั่งของกูเกิ้ลอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงหัวงานของฟาร์ม โอ้โหของจริงมันช่างใหญ่โตอลังการ์เสียนี่กระไร มีจำนวนน่าจะหลายสิบตัว แต่ละตัวเฉพาะใบพัดที่เขาเอาลงมาวางให้ดูบนดินมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 106 เมตร ตั้งอยู่สูงเกือบ 100 เมตร แล้วเวลามันหมุนแต่ละรอบเสียงดังวืด..ด วืด..ด แต่บางอันก็นิ่งอยู่เฉยๆไม่ยอมหมุน ผมเข้าใจว่าคงตั้งทิศทางไว้รับลมในฤดูอื่น แต่เพื่อนคนหนึ่งให้ความเห็นว่า
"เขาปิดสวิสต์พัดลมไว้อะสิ"
ผมอยากจะถ่ายรูปคนกับกังหันแต่ก็จนปัญญาเพราะมันใหญ่จนล้นกล้อง เพื่อนคนหนึ่งมีเทคนิคถ่ายรูปโดยการกวาดกล้องในแนวตั้งจากล่างขึ้นบน จึงได้ภาพมาให้ท่านชม ภาพมัวก็อย่าบ่นนะ ถ่ายทั้งคนทั้งกังหันอยู่ในรูปเดียวกันได้นี่ก็บุญแล้ว
เมื่อพลพรรคมากันครบ เราประชุมแผนเที่ยวของวันนี้ ตกลงกันว่าจะไปจุดไกลที่สุดก่อนคือภูหินขาว แล้วค่อยมาแวะดูอุทยานไทรทองซึ่งมีดอกกระเจียวสีขาว แล้วค่อยมาเข้าที่พักเพื่อเตรียมเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดที่อุทยานภูหินงาม ตกลงกันได้แล้วก็ขับรถตามกันไป แวะปั๊มปตท. เพื่อนคนหนึ่งว่า
"ผมทำพายมาด้วย ต้องหาที่ปิคนิคนะ" อีกคนว่า
"ถ้างั้นก็ซื้อกาแฟร้อนตรานกแก้วนี่ไปด้วยสิ" อีกคนว่า
"เขาเรียกกาแฟอะเมซอน" อีกคนว่า
"ฉันว่าอย่ารีบซื้อเลย เหลือเวลาตั้งชั่วโมงกว่า ไม่ต้องห่วงบนอุทยานที่ไหนก็มีกาแฟขาย หัดไว้ใจอนาคตเสียบ้าง"
คำพูดของคนสุดท้ายดูจะได้ผล ไม่มีการซื้อกาแฟ แต่ผมแอบเห็นบางคนซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งตุนไว้ แล้วก็พากันขึ้นรถเดินทางต่อไปจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีด่านเก็บเงิน พนักงานแจ้งราคาว่า
"รถคันละ 30 ผู้ใหญ่คนละ 20 ผู้สูงอายุฟรีค่ะ"
พวกเราจึงบอกคนขับให้ยื่นหน้าออกไปพิสูจน์สิทธิ์ของเราหน่อย ซึ่งก็ได้ผล พอเห็นเหนียงของผู้โดยสารทุกคนพนักงานก็ออกตั๋วฟรีให้แต่โดยดี
เรามุ่งขึ้นไปที่จุดสูงสุดของอุทยาน เมื่อหาจุดปิคนิคเหมาะเหม็งได้แล้ว ทุกคนชมเปาะว่าวิวดี เห็นภูกระดึงอยู่แต่ไกล ลมเย็นยะเยือกดีมาก เพราะนี่สูงเกือบพันเมตร แต่..
"ไม่มีกาแฟขาย" อีกคนว่า
"งั้นกินพายกับน้ำเปล่าละกัน" แล้วก็บ่นงึมงัมต่อว่า
"ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้ใครจะมาขายกาแฟ"
ผมเดินกลับมาที่ลานจอดรถ ถามพนักงานอุทยาน ได้ความว่าที่บ้านนู้นมีกาแฟขาย ผมให้เขาเอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง ซื้อกาแฟมาได้สิบแก้วใส่ถาดซ้อนมอเตอร์ไซค์มา แก้วละยี่สิบบาท เพราะเป็นกาแฟอินสะแต้นท์ ทิปพนักงานอุทยาที่ช่วยขับมอไซค์ไปส่งอีกหนึ่งร้อย โหลงโจ้งสามร้อย ตกแก้วละสามสิบ ก็ยังถูกอยู่ดี สำหรับสถานที่ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้
อิ่มแล้วก็ตระเวณถ่ายรูป มองไปทางโน้นเป็นน้ำหนาว มองไปทางนี้เป็นภูกระดึง ตรงใกล้กับจุดสูงสุดนี้เขามีแปลงปลูกดอกกระเจียวสีขาวบ้าง สีแดงบ้าง คนหนึ่งว่า
"นี่ไง ดอกกระเจียวขาว ของหายาก ถ่ายรูปไว้เสียนะ อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า"
ปิคนิคเสร็จก็ไปเที่ยวชมหินต่างๆ หินช้างน้อย ช้างใหญ่ หินเจดีย์ หินต้นไทร ปีนป่ายถ่ายรูปกันสนุกสนาน
แล้วก็ขับรถลงเขามาเพื่อชมมอหินขาวที่โปรโมทนักหนาว่าเป็น Stonehenge Thailand เราจอดรถลงเดินดูรอบๆ เห็นหินโบราณน้ำกัดเซาะเป็นรูปทรงสวยงามสี่ห้าก้อนถูกล้อมรั้วรอบๆเหมือนคอกวัวเพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้เกินไป มีไฟส่องแสดงแสงสีเสียงด้วย แถมป้ายตัวอักษรพลาสติกสำหรับถ่ายรูปขนาดบะเริ่ม ผมเดินเลียบรั้วกันวัวดูหนึ่งรอบแล้วก็พากันเดินทางต่อมาโดยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะขยับจะถ่ายตรงไหนหากไม่ติดรั้วกันวัวก็ติดป้ายตัวหนังสือพลาสติก ไม่ถ่ายดีกว่า
ก่อนออกจากอุทยานภูแลนคา เราแวะชมน้ำตกตาดโตนซึ่งอยู่ใกล้ทางออกนั่นเอง ต้องผ่านด่านอีกด่านหนึ่งซึ่งเราก็โชว์เหนียงเป็นค่าผ่านทางเช่นเคย เข้าไปจอดรถ แล้วเดินขึ้นไปอีกหนึ่งกม.เพื่อไปยังน้ำตก
ขณะเดินทอดน่องกันเลียบคลองน้ำขึ้นไป ผมบอกเพื่อนที่เดินไปด้วยกันว่า
"เอ๊ะ ผมเคยเห็นที่ตรงนี้มาก่อนนี่นา" เพื่อนบอกว่า
"เพี้ยนแล้วลุง ไม่เคยมาแล้วจะเคยเห็นได้อย่างไร"
ถูกของเธอ ผมไม่เคยมาที่นี่เลยในชีวิตจะเคยเห็นได้อย่างไร แต่..
"ผมเคยเห็นแน่นอน นี่หินสองข้างลาดลงไปหาลำธาร ท้องลำธารเมื่อแห้งจะเป็นลานหินเรียบกว้างใหญ่ ซึ่งคาราวานช้างลงจากฝั่งนี้ข้ามลำธารไปขึ้นฝั่งโน้น แล้วถ้าคุณไปยืนอยู่กลางลำธาร มองย้อนขึ้นไปทางนู้น จะเห็นน้ำตกโตรกลงมาจากหน้าผาที่เหมือนถูกตัดเกือบตรง"
คราวนี้เธอชักเชื่อผมแล้วว่าผมเคยเห็น ไม่งั้นจะอธิบายลักษณะน้ำตกที่เรายังเดินไปไม่ถึงได้ถูกอย่างไร
"อ้อ ผมนึกออกแล้ว มันเป็นภาพสะเก็ตช์ของอองรี มูโอต์ (Henry Mouhot) ตอนที่เขาพาคาราวานช้างออกจากชัยภูมิไปยังเมืองเลยเพื่อไปข้ามโขงไปหลวงพระบาง"
เขียนถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะเพื่อให้ท่านผู้อ่านตามทัน คือประมาณปี ค.ศ. 1858 (พ.ศ. 2401 คือสมัยร.4) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่ออองรี มูโอต์ ผู้เปิดให้โลกรู้จักนครวัต ได้เดินทางจากกรุงเทพด้วยเรือ ผ่านอยุธยา เข้าแม่น้ำป่าสัก มาแวะที่ปากเพรียว (สระบุรี) แล้วล่องเรือขึ้นแม่น้ำป่าสักไปขึ้นบกบริเวณเขาคอก (บ้านวังสีทา ในเขตอ.แก่งคอย สถานที่สร้างเมืองหลวงใหม่เพื่อหนีการล่าเมืองขึ้นของร.4) แล้วออกเดินผ่านป่าดงพญาเย็น ไปโคราช เอาคาราวานช้างที่โคราชเดินทางไปชัยภูมิ แล้วต่อไปเลย แล้วแวะพักริมโขง แล้วข้ามโขงไปหลวงพระบาง ไปเสียชีวิตที่นั่น
บันทึกของอองรีมูโอต์วาดภาพประกอบอย่างละเอียด เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากเขาเรียกประเทศไทยส่วนที่พ้นจากแก่งคอยขึ้นไปทางอิสานว่าลาวหมด ฝรั่งที่นำบันทึกของเขามาเขียนคำอธิบายภาพประกอบจึงเข้าใจว่าภาพเกือบทั้งหมดเกิดในประเทศลาว แต่ผมอ่านบันทึกอย่างละเอียดแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่หรอก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพการคล้องช้างที่อยุธยา ภาพวัดพระพุทธบาทสระบุรี ภาพปัตตาเวีย หรือวัดพระพุทธฉายซึ่งมองเห็นทิวทัศน์เขาใหญ่ ภาพบ้านชนบทริมน้ำป่าสักที่แก่งคอยเหนือบ้านวังสีทา ภาพเขายิงเสือที่ช่องหินลับ ปากทางเข้าหุบเขาดงพญาเย็น ซึ่งก็คือประมาณสถานีรถไฟหินลับในปัจจุบันนี้ ภาพประตูเมืองโคราชสมัยโน้น ภาพท้องทุ่งระหว่างทางโคราชไปชัยภูมิซึ่งเต็มไปด้วยช้างเป็นร้อยๆเชือกอยู่ในท้องทุ่ง ภาพคาราวานช้างข้ามน้ำช่วงระหว่างชัยภูมิกับเลยซึ่งผมกังขามานานว่าคือที่ไหน เพิ่งมาถึงบางอ้อเมื่อมาเห็นน้ำตกตาดโตนนี่เอง
และภาพสุดท้ายก่อนข้ามไปลาว คือภาพตั้งแค้มป์พักริมโขงซึ่งผมวาดเป็นภาพสีน้ำมันติดไว้ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ ผมเอามาลงให้ดูด้วย ดูแล้วอย่าว่าเป็นฝีมือเด็กมัธยมที่ไหนนะ ดูลายเซ็นของจิตรเกินเสียก่อน หิ หิ
ออกจากตาดโตน เพื่อนผู้ทำหน้าที่จัดการทัวร์บอกว่าเกินสี่โมงครึ่งแล้ว อุทยานไทรทองปิด ต้องงดการไปดูดอกกระเจียวขาว มุ่งหน้ากลับที่พักกันเลย ถึงตอนนี้มีเสียงรำพึงเบาๆว่า
"ว่าแล้ว ดีนะเนี่ยที่ถ่ายรูปไว้ทัน"
เราเข้าที่พัก ชื่อ "สุดทาง@love" เป็นเรือนแถวชั้นเดียวกลางไร่มันสัมปะหลัง มีของตกแต่งจุ๊กจิ๊ก
ยั้วเยี้ยเอาใจตลาด ราคาคืนละหนึ่งพันต่อห้อง มีแอร์ ตู้เย็น เตาอบ ไมโครเวฟ ที่เป่าผม อาหารเช้า เตียงนอนมาตรฐาน สะอาด แถมมดหนีน้ำมาอยู่ในที่นอนด้วยสองสามตัว เสร็จสรรพโหลงโจ้งแล้ว นับว่าคุ้มมาก
รุ่งเช้าเรารีบออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อขึ้นเขาไปอุทยานหินงามซึ่งเป็นที่ชมทุ่งดอกกระเจียว ขับไปแค่สี่กม.ก็ถึงอุทยานแล้ว โชว์เหนียงแทนค่าผ่าน เอารถเข้าไปจอด แล้วขึ้นสิ่งที่เขาเรียกว่ารถราง (แปลว่ารถคล้ายอีแต๋นแปลงร่างเป็นรถให้นักท่องเที่ยวนั่งได้หลายๆคน) ขับพาขึ้นเขาไป เสียเงินไม่แพง รู้สึกจะยี่สิบบาทหรือไงเนี่ย คราวนี้เหนียงไม่มีประโยชน์ เพราะอายุเท่าไหร่ก็ต้องเสีย
รถพาเราฝ่าหมอกขึ้นเขาไปยังจุดสูงสุด ปล่อยเราไว้กลางหมอกที่มองไม่เห็นอะไร ให้เราเดินคลำทางไปยังทุ่งดอกกระเจียวขณะฟ้าสาง พอฟ้าสางสักหน่อย หมอกยังคงอยู่ แต่แสงสว่างค่อยๆมากขึ้นๆ
บรรยากาศของทุ่งดอกกระเจียวแท้ๆค่อยๆเปิดตัวให้เห็น อากาศเย็นดีมาก หมอกสลัวเป็นแบคกราวด์ ดอกกระเจียวสีชมพูแกมแดงกระจายดารดาษอยู่ใต้ไม้ใหญ่ละลานตา ทั่วทั้งป่าแทบไม่มีผู้คนเลยเพราะเป็นวันธรรมดาและเราก็เป็นคนบ้านใกล้จึงเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาก่อนเขาเพื่อน เราพากันเดิน เดิน เดิน ไปตามทางที่เขาจัดไว้ให้ แวะถ่ายรูปที่นี่ที่นั่น ทั่วทั้งทุ่งสะอาดสะอ้าน หาขยะแทบไม่มีเลย ผมนึกในใจว่ามาชัยภูมินี่ดีแต๊ดีว่า จากมวกเหล็กมานี่แค่สองชั่วโมง ดีกว่านั่งเครื่องบินไปเทียวเมืองนอกไกลๆเสียอีก ใครไม่เคยไปเห็นทุ่งดอกกระเจียวในสายหมอกตอนเช้าตรู่ที่จ.ชัยภูมิ ผมว่าน่าเสียดายนะ..จะบอกให้
เดินจนเหนื่อยและหิวได้ที่แล้วเราก็ยังไปปีนหินรูปทรงประหลาดๆที่ภูหินงามในอุทยานแห่งนี้อีก ปีนไปปีนมาผมเอาหัวไปโขกเพดานหินดังโป๊กต้องเอามือคลำศีรษะป้อยๆ ผมบอกหมอสมวงศ์ว่าคืนนี้ถ้าผมมีอันเป็นไปให้เขาสะแกนดูหัวให้หน่อยนะ แล้วก็บอกตัวเองว่าแก่แล้วต้องรู้จักระวังศีรษะของตัวเองให้ดี โป๊กเล็กๆก็เลือดออกหรือสมองเสื่อมได้..นะจ๊ะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมขี้เกียจขับรถเองจึงเสนอเพื่อนบ้านว่า
ต้องกวาดกล้องถ่ายรูปขึ้น จึงจะได้กังหัน |
"เรามาหุ้นกันดีกว่า คุณลงทุนรถ ผมลงทุนน้ำมัน"
แค่นี้ก็ได้เป็นผู้โดยสารนั่งสบายๆ แถมมีคนร้องเพลงให้ฟังตลอดทางด้วย ก็คือเจ้าของและคนขับนั่นแหละ เขาเป็นนักร้องอยู่แล้ว
ทีมเราไปถึงจุดนัดหมายก่อนใครเพื่อน เห็นกังหันลมขนาดยักษ์ตั้งเรียงรายเป็นแถวอยู่ตามยอดเขาก็คิดว่าคงอีกไม่ไกล
ที่ไหนได้ขับวนไปวนมาตามคำสั่งของกูเกิ้ลอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงหัวงานของฟาร์ม โอ้โหของจริงมันช่างใหญ่โตอลังการ์เสียนี่กระไร มีจำนวนน่าจะหลายสิบตัว แต่ละตัวเฉพาะใบพัดที่เขาเอาลงมาวางให้ดูบนดินมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 106 เมตร ตั้งอยู่สูงเกือบ 100 เมตร แล้วเวลามันหมุนแต่ละรอบเสียงดังวืด..ด วืด..ด แต่บางอันก็นิ่งอยู่เฉยๆไม่ยอมหมุน ผมเข้าใจว่าคงตั้งทิศทางไว้รับลมในฤดูอื่น แต่เพื่อนคนหนึ่งให้ความเห็นว่า
"เขาปิดสวิสต์พัดลมไว้อะสิ"
ผมอยากจะถ่ายรูปคนกับกังหันแต่ก็จนปัญญาเพราะมันใหญ่จนล้นกล้อง เพื่อนคนหนึ่งมีเทคนิคถ่ายรูปโดยการกวาดกล้องในแนวตั้งจากล่างขึ้นบน จึงได้ภาพมาให้ท่านชม ภาพมัวก็อย่าบ่นนะ ถ่ายทั้งคนทั้งกังหันอยู่ในรูปเดียวกันได้นี่ก็บุญแล้ว
เมื่อพลพรรคมากันครบ เราประชุมแผนเที่ยวของวันนี้ ตกลงกันว่าจะไปจุดไกลที่สุดก่อนคือภูหินขาว แล้วค่อยมาแวะดูอุทยานไทรทองซึ่งมีดอกกระเจียวสีขาว แล้วค่อยมาเข้าที่พักเพื่อเตรียมเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดที่อุทยานภูหินงาม ตกลงกันได้แล้วก็ขับรถตามกันไป แวะปั๊มปตท. เพื่อนคนหนึ่งว่า
"ผมทำพายมาด้วย ต้องหาที่ปิคนิคนะ" อีกคนว่า
"ถ้างั้นก็ซื้อกาแฟร้อนตรานกแก้วนี่ไปด้วยสิ" อีกคนว่า
"เขาเรียกกาแฟอะเมซอน" อีกคนว่า
"ฉันว่าอย่ารีบซื้อเลย เหลือเวลาตั้งชั่วโมงกว่า ไม่ต้องห่วงบนอุทยานที่ไหนก็มีกาแฟขาย หัดไว้ใจอนาคตเสียบ้าง"
คำพูดของคนสุดท้ายดูจะได้ผล ไม่มีการซื้อกาแฟ แต่ผมแอบเห็นบางคนซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งตุนไว้ แล้วก็พากันขึ้นรถเดินทางต่อไปจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีด่านเก็บเงิน พนักงานแจ้งราคาว่า
"รถคันละ 30 ผู้ใหญ่คนละ 20 ผู้สูงอายุฟรีค่ะ"
พวกเราจึงบอกคนขับให้ยื่นหน้าออกไปพิสูจน์สิทธิ์ของเราหน่อย ซึ่งก็ได้ผล พอเห็นเหนียงของผู้โดยสารทุกคนพนักงานก็ออกตั๋วฟรีให้แต่โดยดี
เรามุ่งขึ้นไปที่จุดสูงสุดของอุทยาน เมื่อหาจุดปิคนิคเหมาะเหม็งได้แล้ว ทุกคนชมเปาะว่าวิวดี เห็นภูกระดึงอยู่แต่ไกล ลมเย็นยะเยือกดีมาก เพราะนี่สูงเกือบพันเมตร แต่..
ปิคนิคที่จุดสูงสุดของอุทยาน มองเห็นภูกระดึงอยู่ข้างล่าง |
"ไม่มีกาแฟขาย" อีกคนว่า
"งั้นกินพายกับน้ำเปล่าละกัน" แล้วก็บ่นงึมงัมต่อว่า
"ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้ใครจะมาขายกาแฟ"
ผมเดินกลับมาที่ลานจอดรถ ถามพนักงานอุทยาน ได้ความว่าที่บ้านนู้นมีกาแฟขาย ผมให้เขาเอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง ซื้อกาแฟมาได้สิบแก้วใส่ถาดซ้อนมอเตอร์ไซค์มา แก้วละยี่สิบบาท เพราะเป็นกาแฟอินสะแต้นท์ ทิปพนักงานอุทยาที่ช่วยขับมอไซค์ไปส่งอีกหนึ่งร้อย โหลงโจ้งสามร้อย ตกแก้วละสามสิบ ก็ยังถูกอยู่ดี สำหรับสถานที่ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้
อิ่มแล้วก็ตระเวณถ่ายรูป มองไปทางโน้นเป็นน้ำหนาว มองไปทางนี้เป็นภูกระดึง ตรงใกล้กับจุดสูงสุดนี้เขามีแปลงปลูกดอกกระเจียวสีขาวบ้าง สีแดงบ้าง คนหนึ่งว่า
"นี่ไง ดอกกระเจียวขาว ของหายาก ถ่ายรูปไว้เสียนะ อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า"
ปิคนิคเสร็จก็ไปเที่ยวชมหินต่างๆ หินช้างน้อย ช้างใหญ่ หินเจดีย์ หินต้นไทร ปีนป่ายถ่ายรูปกันสนุกสนาน
แล้วก็ขับรถลงเขามาเพื่อชมมอหินขาวที่โปรโมทนักหนาว่าเป็น Stonehenge Thailand เราจอดรถลงเดินดูรอบๆ เห็นหินโบราณน้ำกัดเซาะเป็นรูปทรงสวยงามสี่ห้าก้อนถูกล้อมรั้วรอบๆเหมือนคอกวัวเพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้เกินไป มีไฟส่องแสดงแสงสีเสียงด้วย แถมป้ายตัวอักษรพลาสติกสำหรับถ่ายรูปขนาดบะเริ่ม ผมเดินเลียบรั้วกันวัวดูหนึ่งรอบแล้วก็พากันเดินทางต่อมาโดยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะขยับจะถ่ายตรงไหนหากไม่ติดรั้วกันวัวก็ติดป้ายตัวหนังสือพลาสติก ไม่ถ่ายดีกว่า
มอหินขาว Stonehenge สมัยที่ยังไม่มีคอกกันวัว |
ก่อนออกจากอุทยานภูแลนคา เราแวะชมน้ำตกตาดโตนซึ่งอยู่ใกล้ทางออกนั่นเอง ต้องผ่านด่านอีกด่านหนึ่งซึ่งเราก็โชว์เหนียงเป็นค่าผ่านทางเช่นเคย เข้าไปจอดรถ แล้วเดินขึ้นไปอีกหนึ่งกม.เพื่อไปยังน้ำตก
ขณะเดินทอดน่องกันเลียบคลองน้ำขึ้นไป ผมบอกเพื่อนที่เดินไปด้วยกันว่า
"เอ๊ะ ผมเคยเห็นที่ตรงนี้มาก่อนนี่นา" เพื่อนบอกว่า
"เพี้ยนแล้วลุง ไม่เคยมาแล้วจะเคยเห็นได้อย่างไร"
น้ำตกตาดโตน ที่คาราวานของอองรีเดินผ่านหน้าแล้งสมัย ร.4 |
ถูกของเธอ ผมไม่เคยมาที่นี่เลยในชีวิตจะเคยเห็นได้อย่างไร แต่..
"ผมเคยเห็นแน่นอน นี่หินสองข้างลาดลงไปหาลำธาร ท้องลำธารเมื่อแห้งจะเป็นลานหินเรียบกว้างใหญ่ ซึ่งคาราวานช้างลงจากฝั่งนี้ข้ามลำธารไปขึ้นฝั่งโน้น แล้วถ้าคุณไปยืนอยู่กลางลำธาร มองย้อนขึ้นไปทางนู้น จะเห็นน้ำตกโตรกลงมาจากหน้าผาที่เหมือนถูกตัดเกือบตรง"
คราวนี้เธอชักเชื่อผมแล้วว่าผมเคยเห็น ไม่งั้นจะอธิบายลักษณะน้ำตกที่เรายังเดินไปไม่ถึงได้ถูกอย่างไร
"อ้อ ผมนึกออกแล้ว มันเป็นภาพสะเก็ตช์ของอองรี มูโอต์ (Henry Mouhot) ตอนที่เขาพาคาราวานช้างออกจากชัยภูมิไปยังเมืองเลยเพื่อไปข้ามโขงไปหลวงพระบาง"
ภาพสะเก็ตช์โดยอองรีมูโอต์ ช่วงเดินทางจากชัยภูมิไปเลย |
ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ระหว่างทางจากโคราชไปชัยภูมิ พ.ศ. 2401 |
บันทึกของอองรีมูโอต์วาดภาพประกอบอย่างละเอียด เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากเขาเรียกประเทศไทยส่วนที่พ้นจากแก่งคอยขึ้นไปทางอิสานว่าลาวหมด ฝรั่งที่นำบันทึกของเขามาเขียนคำอธิบายภาพประกอบจึงเข้าใจว่าภาพเกือบทั้งหมดเกิดในประเทศลาว แต่ผมอ่านบันทึกอย่างละเอียดแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่หรอก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพการคล้องช้างที่อยุธยา ภาพวัดพระพุทธบาทสระบุรี ภาพปัตตาเวีย หรือวัดพระพุทธฉายซึ่งมองเห็นทิวทัศน์เขาใหญ่ ภาพบ้านชนบทริมน้ำป่าสักที่แก่งคอยเหนือบ้านวังสีทา ภาพเขายิงเสือที่ช่องหินลับ ปากทางเข้าหุบเขาดงพญาเย็น ซึ่งก็คือประมาณสถานีรถไฟหินลับในปัจจุบันนี้ ภาพประตูเมืองโคราชสมัยโน้น ภาพท้องทุ่งระหว่างทางโคราชไปชัยภูมิซึ่งเต็มไปด้วยช้างเป็นร้อยๆเชือกอยู่ในท้องทุ่ง ภาพคาราวานช้างข้ามน้ำช่วงระหว่างชัยภูมิกับเลยซึ่งผมกังขามานานว่าคือที่ไหน เพิ่งมาถึงบางอ้อเมื่อมาเห็นน้ำตกตาดโตนนี่เอง
ภาพอองรีปักหลักอยู่ริมโขงที่จ.เลยก่อนข้ามไปหลวงพระบาง |
และภาพสุดท้ายก่อนข้ามไปลาว คือภาพตั้งแค้มป์พักริมโขงซึ่งผมวาดเป็นภาพสีน้ำมันติดไว้ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ ผมเอามาลงให้ดูด้วย ดูแล้วอย่าว่าเป็นฝีมือเด็กมัธยมที่ไหนนะ ดูลายเซ็นของจิตรเกินเสียก่อน หิ หิ
ออกจากตาดโตน เพื่อนผู้ทำหน้าที่จัดการทัวร์บอกว่าเกินสี่โมงครึ่งแล้ว อุทยานไทรทองปิด ต้องงดการไปดูดอกกระเจียวขาว มุ่งหน้ากลับที่พักกันเลย ถึงตอนนี้มีเสียงรำพึงเบาๆว่า
"ว่าแล้ว ดีนะเนี่ยที่ถ่ายรูปไว้ทัน"
เราเข้าที่พัก ชื่อ "สุดทาง@love" เป็นเรือนแถวชั้นเดียวกลางไร่มันสัมปะหลัง มีของตกแต่งจุ๊กจิ๊ก
ที่พักห้องแถวกลางไร่มัน ตกแต่งยุกยิกยั้วเยี้ย แต่คุ้มราคา |
ยั้วเยี้ยเอาใจตลาด ราคาคืนละหนึ่งพันต่อห้อง มีแอร์ ตู้เย็น เตาอบ ไมโครเวฟ ที่เป่าผม อาหารเช้า เตียงนอนมาตรฐาน สะอาด แถมมดหนีน้ำมาอยู่ในที่นอนด้วยสองสามตัว เสร็จสรรพโหลงโจ้งแล้ว นับว่าคุ้มมาก
รุ่งเช้าเรารีบออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อขึ้นเขาไปอุทยานหินงามซึ่งเป็นที่ชมทุ่งดอกกระเจียว ขับไปแค่สี่กม.ก็ถึงอุทยานแล้ว โชว์เหนียงแทนค่าผ่าน เอารถเข้าไปจอด แล้วขึ้นสิ่งที่เขาเรียกว่ารถราง (แปลว่ารถคล้ายอีแต๋นแปลงร่างเป็นรถให้นักท่องเที่ยวนั่งได้หลายๆคน) ขับพาขึ้นเขาไป เสียเงินไม่แพง รู้สึกจะยี่สิบบาทหรือไงเนี่ย คราวนี้เหนียงไม่มีประโยชน์ เพราะอายุเท่าไหร่ก็ต้องเสีย
รถพาเราฝ่าหมอกขึ้นเขาไปยังจุดสูงสุด ปล่อยเราไว้กลางหมอกที่มองไม่เห็นอะไร ให้เราเดินคลำทางไปยังทุ่งดอกกระเจียวขณะฟ้าสาง พอฟ้าสางสักหน่อย หมอกยังคงอยู่ แต่แสงสว่างค่อยๆมากขึ้นๆ
บรรยากาศของทุ่งดอกกระเจียวแท้ๆค่อยๆเปิดตัวให้เห็น อากาศเย็นดีมาก หมอกสลัวเป็นแบคกราวด์ ดอกกระเจียวสีชมพูแกมแดงกระจายดารดาษอยู่ใต้ไม้ใหญ่ละลานตา ทั่วทั้งป่าแทบไม่มีผู้คนเลยเพราะเป็นวันธรรมดาและเราก็เป็นคนบ้านใกล้จึงเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาก่อนเขาเพื่อน เราพากันเดิน เดิน เดิน ไปตามทางที่เขาจัดไว้ให้ แวะถ่ายรูปที่นี่ที่นั่น ทั่วทั้งทุ่งสะอาดสะอ้าน หาขยะแทบไม่มีเลย ผมนึกในใจว่ามาชัยภูมินี่ดีแต๊ดีว่า จากมวกเหล็กมานี่แค่สองชั่วโมง ดีกว่านั่งเครื่องบินไปเทียวเมืองนอกไกลๆเสียอีก ใครไม่เคยไปเห็นทุ่งดอกกระเจียวในสายหมอกตอนเช้าตรู่ที่จ.ชัยภูมิ ผมว่าน่าเสียดายนะ..จะบอกให้
เดินจนเหนื่อยและหิวได้ที่แล้วเราก็ยังไปปีนหินรูปทรงประหลาดๆที่ภูหินงามในอุทยานแห่งนี้อีก ปีนไปปีนมาผมเอาหัวไปโขกเพดานหินดังโป๊กต้องเอามือคลำศีรษะป้อยๆ ผมบอกหมอสมวงศ์ว่าคืนนี้ถ้าผมมีอันเป็นไปให้เขาสะแกนดูหัวให้หน่อยนะ แล้วก็บอกตัวเองว่าแก่แล้วต้องรู้จักระวังศีรษะของตัวเองให้ดี โป๊กเล็กๆก็เลือดออกหรือสมองเสื่อมได้..นะจ๊ะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์