ยุคที่คนเหมือนเด็กอายุ 60 ขวบ ต้องเลี้ยงดูคนเหมือนเด็กอายุ 80 ขวบ
เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ
ดิฉันอ่านบทความและการตอบปัญหาทางจดหมายของคุณหมอเป็นประจำ มีประโยชน์มากค่ะ เรื่องสุขภาพกายไม่มีอะไรเกินกำลังในขณะนี้ แต่เรื่องทางใจแย่มาก ดิฉันอยากไปพบจิตแพทย์เหมือนกัน แต่ที่ต่างจังหวัดนี้ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นส่วนตัวค่ะ หมอก็รู้จักกันอยู่ ไม่ค่อยสะดวกใจ ขอความกรุณาคุณหมอช่วยชี้แนะด้วย
คุณแม่อายุ81ปี อยู่บ้านของตนเอง มีแม่บ้านดูแลหนึ่งคน บ้านอยู่ในบริเวณเดียวกับพี่ชายพี่สะใภ้ ที่ดินเป็นของคุณแม่ ค่าน้ำค่าไฟคุณแม่จ่ายทั้งสองหลัง ลูกทั้งหมดมี5คน เรียนดี ทำงานมั่นคงทุกคน ยกเว้นพี่ชาย ดิฉันอยู่หัวเมืองเหนือ น้องชายคนเล็กโสด ทำงานต่างประเทศ พี่สาวน้องสาวมีครอบครัวอยู่กรุงเทพ หลานๆ รวมถึงลูกดิฉัน ก็เรียนดีทำงานมั่นคง ยกเว้นลูกพี่ชาย 3คน ติดยา 1คนบำบัดแล้ว เสียชีวิตไป 2คน
เมื่อตอนคุณพ่อยังอยู่คุณพ่อเป็นคนเก่งและดุ รับราชการมีตำแหน่งสูง คุมอยู่ ทั้งงาน ครอบครัวและลูกๆ ยกเว้นพี่ชาย เพราะเขาไปอยู่โรงเรียนประจำที่เมืองหลวง ใช้เงินมาก รีพีทและรีไทร์ในที่สุด แต่ก็มีอาชีพลูกจ้างหน่วยราชการพอเลี้ยงชีพ ภรรยาเขาเป็นข้าราชการ ทั้งคู่มีบำนาญ คุณพ่อไม่ชอบสะใภ้เพราะชอบออกสังคมไม่เลี้ยงลูก ทำให้ลูกเสียหมด แต่พวกเราก็รักหลานเพราะพวกเขาเป็นเด็กน่ารัก เพียงแต่ไม่มีวินัยในการเรียน ทีนี้เมื่อคุณพ่อเสียกะทันหันตอนคุณแม่อายุ 75 คุณแม่รับมรดกเกือบทั้งหมดจึงมีอิสระทางการเงิน และเปลี่ยนไปมากคือชอบสั่ง และใช้อำนาจ เกรี้ยวกราด ว่าคนแรงๆ เจ็บๆ น้องๆคุณพ่อเป็นหญิง นักวิชาการโสด ไม่เข้าหน้าเลยค่ะ คุณแม่เจอดิฉันทีไรก็จะว่า ประณามคุณพ่อและญาติข้างพ่อว่าทำให้ท่านไม่มีความสุขมาตลอด และพี่ชายก็เสียคนเพราะญาติๆตามใจ พวกดิฉันนั้นเป็นลูกเสือลูกตะเข้ เลี้ยงไม่เชื่อง ชอบเถียงแม่ หลังๆมานี้คุณแม่เริ่มสุขภาพไม่ดีเพราะอายุมากขึ้นดิฉันเป็นคนดูแลพามาหาแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่ดิฉันสอนอยู่ คุณแม่จะดื้อมากเวลาอยู่กับดิฉัน เลือกคำพูดที่กดขี่ และดูถูก ทำให้ช้ำใจตลอด คุณแม่จะเกรงใจลูกเขยอยู่บ้างถ้าเขาอยู่ดิฉันก็ไม่โดน แต่คุณแม่มักเลือกเวลาที่หนีไม่ได้ เช่นดิฉันขับรถ ท่านนั่งด้วยท่านจะหาเรื่องมาว่าได้ทุกเรื่อง ดิฉันใช้ลู่วิ่งไม่ได้เลย ท่านจะมานั่งประกบและบ่นทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องน้ำหนักของดิฉัน เวลาอยู่กับแพทย์ท่านก็จะบ่น พูดนอกเรื่อง แพทย์บางท่านก็อดทนเพราะเกรงใจ บางท่านก็ทำท่าอึดอัด ท่านไม่ยอมไปหาหมอที่อื่นเพราะเคยโดนดุ จริงๆดิฉันเต็มใจดูแลท่าน เคยชวนท่านมาอยู่ด้วยหลายครั้ง ท่านไม่อยากมาเพราะห่วงลูกชาย พี่สะใภ้ไม่ทำกับข้าว ท่านต้องทำกับข้าวเผื่อ แต่หลังๆมานี้ดิฉันก็ไม่ชวนแล้วค่ะเพราะท่านบอกพี่ชายว่าถ้าท่านป่วยมากๆให้เขาพาไปอยู่เนิร์สเซอรี่
ระยะหลังนี้ดิฉันเริ่มเถียงท่านก็จะพูดแรง บางครั้งดิฉันจะหลุดก็ใช้น้ำเสียงเกรี้ยว ท่านก็จะเงียบและจ๋อยไปเลยค่ะทำให้ดิฉันเสียใจกว่าเดิม พี่สาวเคยพยายามมาดูแลท่านแต่พี่สาวเป็นคนดุ และพูดแรง เราเกรงแม่จะเสียใจดิฉันจึงรับจัดการ คุณพ่อเสียไปกว่าหกปีแล้ว ลูกๆ(ยกเว้นพี่ชาย) คิดว่าแม่คงช็อคที่ต้องลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง แถมยังต้องดูแลพี่ชายอีก แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่าแม่มีความสุขเพราะได้มาอยู่บ้านสวนซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ และได้อยู่ใกล้กับลูกชายซึ่งท่านไม่ได้เลี้ยงเมื่อเป็นเด็ก พี่ชายก็ดูมีความสุขอยู่ติดบ้านมากขึ้น น่าจะวินๆ แต่ว่าหลานชายที่ไปบำบัดก็กลับมา งานการไม่ทำ จีบสาว และแว้นอย่างเดียว ดิฉันก็ไปเยี่ยมท่านน้อยลง ไปรับมาหาแพทย์ทุกสามเดือน ชวนท่านอยู่ด้วยเกินกว่าหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่ยอม ห่วงบ้านสวน ไม่สามารถควบคุมสมาชิกที่นั่นได้ พี่สะใภ้ก็ออกงานสังคมไม่สนใจใคร หาแม่บ้านมาอยู่เป็นเพื่อน ก็อยู่ไม่ทน 4-5 คนแล้วค่ะ ญาติๆที่คุณพ่อเคยอุปถัมภ์ ก็ไปมาหาสู่ อยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หนีหมด เพราะท่านชอบสั่งสอนและพูดจี้ใจดำ จะเลียนแบบคุณพ่อ แต่ท่านไม่มีบารมีของคุณพ่อแล้ว หลังๆมานี้ท่านเรียกร้องให้ดิฉันไปหาเพื่อพาไปงานต่างๆ ทั้งๆที่พี่ชายพี่สะใภ้ หลานสาวคนสนิท และพี่เขยคนโตก็ยินดีรับใช้ ท่านก็ไม่เอา ดิฉันจัดการให้ทุกอย่าง เรื่องทรัพย์สิน การลงทุน เจ็บป่วย เสริมสวย และแม้ท่านจะมีเงินแล้วดิฉันก็ส่งเงินให้ท่านทุกเดือน 10% ของรายได้ พี่สาวพี่เขยก็ดูแลไม่ให้ท่านต้องเดือดร้อน เอ่ยปากอยากได้อะไรก็จัดหาให้ทันที ให้มากมายด้วย ดิฉันรู้สึกว่าท่านยึดติดกับหน้าตาและยศถาบรรดาศักดิ์ กับพี่เขยท่านเคยเอาใจเขามากตอนยังมีตำแหน่ง เขาก็รัก เคารพท่านมาก แต่ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งแล้วท่านก็ไม่ดีกับเขาเหมือนเคย ของที่เขาให้มา ท่านก็ไม่ชื่นชม ตอนนี้พี่สาวก็ถอยแล้ว ส่วนน้องสาวเขามีปัญหาในครอบครัวเขาแล้ว เราก็ไม่อยากกวน
ตอนดิฉันเป็นเด็กยังจำได้ว่าคุณแม่เป็นคนดีมากและสวยมากด้วย ขยันทำงานบ้านและประหยัดมากไม่เรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองเลย คุณพ่อก็รักและให้เกียรติภรรยา ลูกๆก็รักกัน พี่ชายแม้ห่างกันแต่ความสัมพันธ์ก็ราบรื่น พวกเราทราบดีว่าคุณแม่แต่งงานด้วยวิธีคลุมถุงชน และลูกๆก็ได้ยินท่านก็จิกกัดคุณพ่อมาตลอด แต่คุณพ่อก็ไม่เคยทำให้ท่านเสียใจเลย เว้นแต่อาจจะดุบ้างเพราะคุณแม่เรียนน้อยท่านชอบพูดซื่อๆ ปัจจุบันนี้ยิ่งหนัก เวลาใครไปต่างประเทศต้องแอบไป ไม่งั้นท่านจะแช่งให้เครื่องบินตก ของดิฉันขนาดไปเรื่องงานท่านจะพูดว่าระวังกลับมาไม่ได้ดูใจแม่นะ ทำให้เสียบรรยากาศ บางทีลูกๆหายไปนานๆ พอโทรไปท่านก็จะเปรยๆ ว่าไม่อยากอยู่ละ อยากฆ่าตัวตาย ครั้งล่าสุดนี้บอกว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อประจานลูกหลาน อยากห่วงชื่อเสียงกันดีนัก จริงๆท่านเข้าใจผิด เพราะคนทำงานก็ต้องมีความรับผิดชอบให้งานลุล่วงตามเป้าหมายเพราะมันกระทบคนอื่น
หลังจากคุณพ่อเสียท่านเปลี่ยนไปมาก ใหม่ๆก็คิดว่าให้ท่านระบายความอึดอัดใจที่สะสมมา แต่ก็เกินจะรับไหว ดิฉันโดนมาก น่าจะเพราะเหมือนพ่อและสนิทกับพ่อมาก บางครั้งท่านก็มาพูดใส่ดิฉันว่า ตั้งแต่แม่แต่งงานมาแม่ไม่เคยมีความสุขเลย ท่านเอาชุดแต่งงานที่มีซิ่นไหมอย่างดีที่ไม่เคยให้พวกเราเห็นเลย ไปยกให้แม่บ้าน แล้วแม่บ้านก็เอามาใส่เล่นค่ะ คุณแม่ก็บอกว่าพวกเราคงใส่ไม่ได้หรอก มันตัวเล็ก เรื่องนี้ดิฉันเสียใจมาก อีกเรื่องคือดิฉันให้แหวนท่าน ราคาไม่ใช่น้อยๆ ท่านก็เอาไปให้แม่บ้าน
พี่น้องก็บอกให้ดิฉันอยู่ห่างๆ ให้ติดต่อด้วยเมื่อจำเป็น แต่คุณพ่อได้พูดไว้ก่อนเสีย ซึ่งสะกิดใจดิฉันมาก ว่าแม่เขาจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีพ่อ เขาไม่มีทักษะในการเอาตัวรอดเลยเพราะแต่งงานเมื่ออายุน้อย ดิฉันก็ได้รับปากคุณพ่อแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งคุณแม่ แต่ก็ทำแล้วทุกข์ใจค่ะ ดูแลคุณพ่อตอนป่วยเหนื่อยมาก แต่ มีความชื่นใจเพราะท่านซาบซึ้งในสิ่งที่เราทำให้ ดิฉันก็ไม่ทราบจะถามอะไรคุณหมอ แต่ถ้าคุณหมอจะกรุณาแนะนำให้ดิฉันคลายทุกข์ก็จะเป็นพระคุณค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาใกล้หกสิบปีนี้ ดิฉันก็ต่อสู้มาตลอด สามารถจัดการได้ตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานเรื่องลูกเรื่องสามีโดยไม่มีguilt เลย แต่มาเรื่องมารดานี่แหละค่ะยากที่สุดแล้ว
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ดิฉันอ่านบทความและการตอบปัญหาทางจดหมายของคุณหมอเป็นประจำ มีประโยชน์มากค่ะ เรื่องสุขภาพกายไม่มีอะไรเกินกำลังในขณะนี้ แต่เรื่องทางใจแย่มาก ดิฉันอยากไปพบจิตแพทย์เหมือนกัน แต่ที่ต่างจังหวัดนี้ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นส่วนตัวค่ะ หมอก็รู้จักกันอยู่ ไม่ค่อยสะดวกใจ ขอความกรุณาคุณหมอช่วยชี้แนะด้วย
คุณแม่อายุ81ปี อยู่บ้านของตนเอง มีแม่บ้านดูแลหนึ่งคน บ้านอยู่ในบริเวณเดียวกับพี่ชายพี่สะใภ้ ที่ดินเป็นของคุณแม่ ค่าน้ำค่าไฟคุณแม่จ่ายทั้งสองหลัง ลูกทั้งหมดมี5คน เรียนดี ทำงานมั่นคงทุกคน ยกเว้นพี่ชาย ดิฉันอยู่หัวเมืองเหนือ น้องชายคนเล็กโสด ทำงานต่างประเทศ พี่สาวน้องสาวมีครอบครัวอยู่กรุงเทพ หลานๆ รวมถึงลูกดิฉัน ก็เรียนดีทำงานมั่นคง ยกเว้นลูกพี่ชาย 3คน ติดยา 1คนบำบัดแล้ว เสียชีวิตไป 2คน
เมื่อตอนคุณพ่อยังอยู่คุณพ่อเป็นคนเก่งและดุ รับราชการมีตำแหน่งสูง คุมอยู่ ทั้งงาน ครอบครัวและลูกๆ ยกเว้นพี่ชาย เพราะเขาไปอยู่โรงเรียนประจำที่เมืองหลวง ใช้เงินมาก รีพีทและรีไทร์ในที่สุด แต่ก็มีอาชีพลูกจ้างหน่วยราชการพอเลี้ยงชีพ ภรรยาเขาเป็นข้าราชการ ทั้งคู่มีบำนาญ คุณพ่อไม่ชอบสะใภ้เพราะชอบออกสังคมไม่เลี้ยงลูก ทำให้ลูกเสียหมด แต่พวกเราก็รักหลานเพราะพวกเขาเป็นเด็กน่ารัก เพียงแต่ไม่มีวินัยในการเรียน ทีนี้เมื่อคุณพ่อเสียกะทันหันตอนคุณแม่อายุ 75 คุณแม่รับมรดกเกือบทั้งหมดจึงมีอิสระทางการเงิน และเปลี่ยนไปมากคือชอบสั่ง และใช้อำนาจ เกรี้ยวกราด ว่าคนแรงๆ เจ็บๆ น้องๆคุณพ่อเป็นหญิง นักวิชาการโสด ไม่เข้าหน้าเลยค่ะ คุณแม่เจอดิฉันทีไรก็จะว่า ประณามคุณพ่อและญาติข้างพ่อว่าทำให้ท่านไม่มีความสุขมาตลอด และพี่ชายก็เสียคนเพราะญาติๆตามใจ พวกดิฉันนั้นเป็นลูกเสือลูกตะเข้ เลี้ยงไม่เชื่อง ชอบเถียงแม่ หลังๆมานี้คุณแม่เริ่มสุขภาพไม่ดีเพราะอายุมากขึ้นดิฉันเป็นคนดูแลพามาหาแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่ดิฉันสอนอยู่ คุณแม่จะดื้อมากเวลาอยู่กับดิฉัน เลือกคำพูดที่กดขี่ และดูถูก ทำให้ช้ำใจตลอด คุณแม่จะเกรงใจลูกเขยอยู่บ้างถ้าเขาอยู่ดิฉันก็ไม่โดน แต่คุณแม่มักเลือกเวลาที่หนีไม่ได้ เช่นดิฉันขับรถ ท่านนั่งด้วยท่านจะหาเรื่องมาว่าได้ทุกเรื่อง ดิฉันใช้ลู่วิ่งไม่ได้เลย ท่านจะมานั่งประกบและบ่นทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องน้ำหนักของดิฉัน เวลาอยู่กับแพทย์ท่านก็จะบ่น พูดนอกเรื่อง แพทย์บางท่านก็อดทนเพราะเกรงใจ บางท่านก็ทำท่าอึดอัด ท่านไม่ยอมไปหาหมอที่อื่นเพราะเคยโดนดุ จริงๆดิฉันเต็มใจดูแลท่าน เคยชวนท่านมาอยู่ด้วยหลายครั้ง ท่านไม่อยากมาเพราะห่วงลูกชาย พี่สะใภ้ไม่ทำกับข้าว ท่านต้องทำกับข้าวเผื่อ แต่หลังๆมานี้ดิฉันก็ไม่ชวนแล้วค่ะเพราะท่านบอกพี่ชายว่าถ้าท่านป่วยมากๆให้เขาพาไปอยู่เนิร์สเซอรี่
ระยะหลังนี้ดิฉันเริ่มเถียงท่านก็จะพูดแรง บางครั้งดิฉันจะหลุดก็ใช้น้ำเสียงเกรี้ยว ท่านก็จะเงียบและจ๋อยไปเลยค่ะทำให้ดิฉันเสียใจกว่าเดิม พี่สาวเคยพยายามมาดูแลท่านแต่พี่สาวเป็นคนดุ และพูดแรง เราเกรงแม่จะเสียใจดิฉันจึงรับจัดการ คุณพ่อเสียไปกว่าหกปีแล้ว ลูกๆ(ยกเว้นพี่ชาย) คิดว่าแม่คงช็อคที่ต้องลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง แถมยังต้องดูแลพี่ชายอีก แต่บางครั้งเราก็รู้สึกว่าแม่มีความสุขเพราะได้มาอยู่บ้านสวนซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ และได้อยู่ใกล้กับลูกชายซึ่งท่านไม่ได้เลี้ยงเมื่อเป็นเด็ก พี่ชายก็ดูมีความสุขอยู่ติดบ้านมากขึ้น น่าจะวินๆ แต่ว่าหลานชายที่ไปบำบัดก็กลับมา งานการไม่ทำ จีบสาว และแว้นอย่างเดียว ดิฉันก็ไปเยี่ยมท่านน้อยลง ไปรับมาหาแพทย์ทุกสามเดือน ชวนท่านอยู่ด้วยเกินกว่าหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่ยอม ห่วงบ้านสวน ไม่สามารถควบคุมสมาชิกที่นั่นได้ พี่สะใภ้ก็ออกงานสังคมไม่สนใจใคร หาแม่บ้านมาอยู่เป็นเพื่อน ก็อยู่ไม่ทน 4-5 คนแล้วค่ะ ญาติๆที่คุณพ่อเคยอุปถัมภ์ ก็ไปมาหาสู่ อยู่ระยะหนึ่งแล้วก็หนีหมด เพราะท่านชอบสั่งสอนและพูดจี้ใจดำ จะเลียนแบบคุณพ่อ แต่ท่านไม่มีบารมีของคุณพ่อแล้ว หลังๆมานี้ท่านเรียกร้องให้ดิฉันไปหาเพื่อพาไปงานต่างๆ ทั้งๆที่พี่ชายพี่สะใภ้ หลานสาวคนสนิท และพี่เขยคนโตก็ยินดีรับใช้ ท่านก็ไม่เอา ดิฉันจัดการให้ทุกอย่าง เรื่องทรัพย์สิน การลงทุน เจ็บป่วย เสริมสวย และแม้ท่านจะมีเงินแล้วดิฉันก็ส่งเงินให้ท่านทุกเดือน 10% ของรายได้ พี่สาวพี่เขยก็ดูแลไม่ให้ท่านต้องเดือดร้อน เอ่ยปากอยากได้อะไรก็จัดหาให้ทันที ให้มากมายด้วย ดิฉันรู้สึกว่าท่านยึดติดกับหน้าตาและยศถาบรรดาศักดิ์ กับพี่เขยท่านเคยเอาใจเขามากตอนยังมีตำแหน่ง เขาก็รัก เคารพท่านมาก แต่ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งแล้วท่านก็ไม่ดีกับเขาเหมือนเคย ของที่เขาให้มา ท่านก็ไม่ชื่นชม ตอนนี้พี่สาวก็ถอยแล้ว ส่วนน้องสาวเขามีปัญหาในครอบครัวเขาแล้ว เราก็ไม่อยากกวน
ตอนดิฉันเป็นเด็กยังจำได้ว่าคุณแม่เป็นคนดีมากและสวยมากด้วย ขยันทำงานบ้านและประหยัดมากไม่เรียกร้องอะไรเพื่อตัวเองเลย คุณพ่อก็รักและให้เกียรติภรรยา ลูกๆก็รักกัน พี่ชายแม้ห่างกันแต่ความสัมพันธ์ก็ราบรื่น พวกเราทราบดีว่าคุณแม่แต่งงานด้วยวิธีคลุมถุงชน และลูกๆก็ได้ยินท่านก็จิกกัดคุณพ่อมาตลอด แต่คุณพ่อก็ไม่เคยทำให้ท่านเสียใจเลย เว้นแต่อาจจะดุบ้างเพราะคุณแม่เรียนน้อยท่านชอบพูดซื่อๆ ปัจจุบันนี้ยิ่งหนัก เวลาใครไปต่างประเทศต้องแอบไป ไม่งั้นท่านจะแช่งให้เครื่องบินตก ของดิฉันขนาดไปเรื่องงานท่านจะพูดว่าระวังกลับมาไม่ได้ดูใจแม่นะ ทำให้เสียบรรยากาศ บางทีลูกๆหายไปนานๆ พอโทรไปท่านก็จะเปรยๆ ว่าไม่อยากอยู่ละ อยากฆ่าตัวตาย ครั้งล่าสุดนี้บอกว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อประจานลูกหลาน อยากห่วงชื่อเสียงกันดีนัก จริงๆท่านเข้าใจผิด เพราะคนทำงานก็ต้องมีความรับผิดชอบให้งานลุล่วงตามเป้าหมายเพราะมันกระทบคนอื่น
หลังจากคุณพ่อเสียท่านเปลี่ยนไปมาก ใหม่ๆก็คิดว่าให้ท่านระบายความอึดอัดใจที่สะสมมา แต่ก็เกินจะรับไหว ดิฉันโดนมาก น่าจะเพราะเหมือนพ่อและสนิทกับพ่อมาก บางครั้งท่านก็มาพูดใส่ดิฉันว่า ตั้งแต่แม่แต่งงานมาแม่ไม่เคยมีความสุขเลย ท่านเอาชุดแต่งงานที่มีซิ่นไหมอย่างดีที่ไม่เคยให้พวกเราเห็นเลย ไปยกให้แม่บ้าน แล้วแม่บ้านก็เอามาใส่เล่นค่ะ คุณแม่ก็บอกว่าพวกเราคงใส่ไม่ได้หรอก มันตัวเล็ก เรื่องนี้ดิฉันเสียใจมาก อีกเรื่องคือดิฉันให้แหวนท่าน ราคาไม่ใช่น้อยๆ ท่านก็เอาไปให้แม่บ้าน
พี่น้องก็บอกให้ดิฉันอยู่ห่างๆ ให้ติดต่อด้วยเมื่อจำเป็น แต่คุณพ่อได้พูดไว้ก่อนเสีย ซึ่งสะกิดใจดิฉันมาก ว่าแม่เขาจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีพ่อ เขาไม่มีทักษะในการเอาตัวรอดเลยเพราะแต่งงานเมื่ออายุน้อย ดิฉันก็ได้รับปากคุณพ่อแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งคุณแม่ แต่ก็ทำแล้วทุกข์ใจค่ะ ดูแลคุณพ่อตอนป่วยเหนื่อยมาก แต่ มีความชื่นใจเพราะท่านซาบซึ้งในสิ่งที่เราทำให้ ดิฉันก็ไม่ทราบจะถามอะไรคุณหมอ แต่ถ้าคุณหมอจะกรุณาแนะนำให้ดิฉันคลายทุกข์ก็จะเป็นพระคุณค่ะ ชีวิตที่ผ่านมาใกล้หกสิบปีนี้ ดิฉันก็ต่อสู้มาตลอด สามารถจัดการได้ตามสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานเรื่องลูกเรื่องสามีโดยไม่มีguilt เลย แต่มาเรื่องมารดานี่แหละค่ะยากที่สุดแล้ว
ด้วยความนับถืออย่างสูง
................................................
ตอบครับ
พังเพยโบราณว่า "คนแก่ก็เหมือนเด็ก"
ซึ่งเป็นความจริง อย่างน้อยก็ในทางสรีรวิทยาของระบบประสาท คือเมื่อสูงอายุ หากไม่มีการฝึกฝนประคับบประคองที่ดี ระบบประสาทจะเสื่อมถอยลงช้าบ้างเร็วบ้างต่างกันไปในแต่ละคน
แก่ลงไป ถึงจุดหนึ่งก็มีลุ้นว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ไหม เหมือนเมื่อคุณเลี้ยงลูกอายุ 6 ขวบ แล้วลุ้นให้เขาทำอะไรเองด้วยตัวเองเป็น ช่วยเหลือตัวเองได้
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง ก็ต้องลุ้นว่าจะไม่ฉี่รดที่นอนได้หรือเปล่า เหมือนตอนลูกเราวัยสามขวบ เราลุ้นว่าเมื่อไหร่เขาจะเลิกฉี่รดที่นอน
แก่ลงไป ถึงอีกจุุดหนึ่ง ก็เหมือนย้อนเวลาไปเป็นเด็กเล็กกว่านั้น คือต้องลุ้นว่าจะพูดกับชาวบ้านรู้เรื่องหรือเปล่า เหมือนเมื่อเราลุ้นลูกตอนสอนสอนออกเสียงและสอนมารยาทสังคม
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง อีกคราวนี้ลุ้นว่าจะเดินได้หรือเปล่า เหมือนคุณลุ้นลูกตอนตั้งไข่โน่นเชียว
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง ก็ต้องมาลุ้นว่าจะอ้าปากรับข้าวที่ป้อนได้หรือเปล่า เหมือนเราลุ้นลูกตอนอายุสามเดือนโน่นเชียว
แก่ลงไป พอถึงจุดสุดท้ายก็ต้องลุ้นว่าจะหายใจเองได้หรือเปล่า เหมือนเมื่อหมอทำคลอดเด็กออกมาต้องเอาฝ่ามือทุบฝ่าเท้าเด็กเพื่อลุ้นให้หายใจเองให้ได้
นอกจากทางสรีรวิทยาจะเหมือนเด็กแล้ว ในทางจิตวิทยา หากแก่แบบแก่แดดแก่ลมก็มักจะยิ่งกว่าเด็กเสียอีก
โดยนิยามคนแก่ "หรือผู้สูงอายุ" ของรัฐบาลไทย เหมาเอาที่อายุ 60 ปีขึ้นไป สถานะของคุณกับคุณแม่ตอนนี้จึงเป็นกรณีที่คนเหมือนเด็กอายุ 60 ขวบ ต้องมาเลี้ยงดูคนเหมือนเด็กอายุ 80 ขวบ หากทั้งสองฝ่ายต่างแก่มาแบบแก่แดดแก่ลม หมายความว่าไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้ชีวิตมาดีพอ ก็ย่อมจะเป็นวิบากอย่างยิ่งแน่นอน คำว่าเรียนรู้ชีวิตผมหมายถึงการเรียนรู้ "กาย" และ "ใจ" ของตัวเองนะครับ เพราะองค์ประกอบของชีวิตแท้จริงก็มีอยู่แค่สองอย่างนี้เท่านั้นเอง
ฟังน้ำเสียงคุณเหมือนจะเขียนมาเพื่อหาคำปลอบโยนคลายทุกข์ แต่ผมอยากจะพูดกับคุณมากกว่านั้น เพราะพูดแล้วผลมันไม่ได้ตกแก่คุณคนเดียว การที่คนอายุ 60 ต้องมาเลี้ยงดูคนอายุ 80 มันเป็นพิมพ์นิยมของยุคสมัยนี้ มีคนหัวอกเดียวกับคุณอีกแยะมาก ผมจึงจะใช้เวลาที่มีพูดกับคุณถึงการใช้ชีวิตจากวันนี้ไปข้างหน้า เพื่อให้คุณมีชีวิตที่ดีทั้งในฐานะที่ตัวคุณเองเป็นคนแก่อายุ 60 ปี และในฐานะที่คุณเป็นผู้ดูแลคนแก่อายุ 80 ปี
เอาในฐานะที่เป็นคนอายุ 60 ปีคนหนึ่งก่อนนะ
ก่อนอื่นผมอยากให้คุณเข้าใจคำสองคำนี้อย่างลึกซึ้ง
compulsiveness ซึ่งหมายถึงการย้ำคิด คิด คิด คิด คิดแล้วคิดอีก
consciousness ซึ่งหมายถึงความรู้ตัว หรือหมายถึงการตื่นตัวมีสติ ประมาณนั้น
เมื่อเราแก่ตัวลงไปแบบแก่แดดแก่ลม เราจะบ่มเพาะฝึกฝน compulsiveness หรือการย้ำคิดไว้แยะ จนความย้ำคิดเหล่านั้นกลายเป็นตัวตนของเราไป คือเราเผลอเหมาเอา (identify) ว่าเราคือความย้ำคิดเหล่านั้น 100% มันกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่เล่นอยู่ในหัวของเรามานานปี มองอีกแง่หนึ่งจะเรียกว่าเราเสพย์ติดการย้ำคิดก็ได้ คือถ้าเราไม่ย้ำคิด เราก็กลัวว่าตัวตนของเราจะไม่มีอยู่ในโลกนี้ เพื่อจะให้ตัวตนของเรามีอยู่ เราจึงคิดเพลินจนติดความคิด ไม่คิดไม่ได้ แล้วการย้ำคิดนี้มันมักจะมีแต่ความคิดลบหรืออารมณ์ลบเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างกรณีของคุณความคิดที่แล่นแบบแผ่นเสียงตกร่องในหัวของคุณก็เช่น
(1) คิดพิพากษาคุณแม่ว่าเป็นยายแก่บ้าอำนาจ ชอบสั่ง เกรี้ยวกราด ว่าคนแรงๆ เจ็บๆ จนคนเข้าหน้าไม่ติด
(2) คิดไม่พอใจคุณแม่ที่ประณามคุณพ่อทั้งๆที่คุณพ่อซึ่งเป็นที่รักของคุณก็แสนดีกับคุณแม่
(3) คิดน้อยใจว่าคุณแม่ตำหนิคุณว่าเป็นลูกเสือลูกตะเข้ เลี้ยงไม่เชื่อง
(4) โกรธคุณแม่ที่ชอบพูดกดขี่ดูถูกทำให้คุณช้ำใจตลอด
(5) คิดรู้สึกผิดที่เผลอน็อตหลุด ว้าก..ก คุณแม่
(6) คิดเสียใจที่คุณแม่เปลี่ยนจากการเป็นคนดีมากและสวยมาก มาเป็นยายแก่ปากเสียชอบแช่งชักหักกระดูกลูกหลาน
(7) คิดเสียใจที่คุณให้แหวนคุณแม่แล้วคุณแม่เอาไปให้คนใช้..แบบประชดลูก
(8) คิดเป็นทุกข์กลัวเสียความนับถือตัวเอง ที่คุณรับปากกับคุณพ่อไว้ก่อนท่านตายว่าคุณจะดูแลคุณแม่แทนท่าน แต่พอถึงเวลาจริงคุณก็ไม่มีปัญญา
เห็นไหมครับ compulsiveness ที่เป็นหนังฉายซ้ำๆซากๆอยู่ในหัวคุณทั้งหมดนี้ ไม่มีดีซักกะเรื่องหนึ่ง ความจริงมันตลกนะ คุณเป็นผู้กำกับหนังที่จะถ่ายทำหนังไว้ฉายซ้ำให้คุณดูเอง แต่คุณดันสร้างแต่หนังห่วยๆ แถมอินกับหนังทั้งแปดเรื่องนี้มากจนคุณ identify ว่าหนังทั้งแปดเรื่องนี้แหละ ที่นิยามความเป็นคุณ
ก่อนจะคุยกันต่อไป มาพูดถึงอีกคำหนึ่ง consciousness หรือ "ความรู้ตัว" ก่อนนะ เมื่อตะกี้ compulsiveness เป็นการ "คิด" แต่ consciousness เป็นการ "รู้" คิดกับรู้นี่ไม่เหมือนกันนะ
ถ้าผมถามคุณว่าหากคุณเอาดินสอแหลมๆจิ้มหน้าผากตัวเองคุณจะรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของคุณหลังจากได้ยินคำถามของผมคือการ "คิด" คิดว่าผมถามอะไร คิดว่าจะตอบว่าไงดี คิดว่าตอบงี้แล้วกัน ทั้งหมดนั้นคือการคิด ความคิดมีสารัตถะเป็นเรื่องราว เป็นภาษา เป็นตัวเลข เป็นอารมณ์ (emotion) บวกหรือลบก็แล้วแต่ เพราะอารมณ์ก็คือความคิดที่มีสองขา ขาหนึ่งเป็นความคิด อีกขาหนึ่งเป็นอาการทางร่างกาย
คราวนี้คุณลองเอาดินสอแหลมๆจิ้มหน้าผากตัวเองจริงๆสักสองสามฉึก ฉึก ฉึก
สิ่งที่เกิดขึ้นในใจคุณตอนนี้คือการ "รู้" ขณะที่คุณรู้ คุณไม่มีความคิด หลังจาก "รู้" แล้วความคิดก็อาจจะเสนอหน้าเข้ามาโน่นนี่นั่นต่อทันทีก็เป็นได้ แต่หากคุณสังเกต ขณะที่รู้ ยังไม่มีความคิด ความ "รู้" ไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็น perception หรือเป็น sensation เช่นภาพ เสียง สัมผัส นอกจากนี้การ "รู้" เป็นสิ่งที่มีความตื่นตัว (awake) และการรับรู้ (awareness) เป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ไม่มีการ "คิด" เข้ามาเกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้คุณลองเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์แล้วมองไปรอบๆตัวคุณสิ มองไปรอบๆห้องที่คุณสอน มองดูกระดาน โต๊ะ ตั่ง ม้านั่ง มองหน้านักศึกษาตาแป๋วๆทีละคน มองให้เห็นภาพเท่านั้น ไม่ต้องคิดวิจารณ์หรือพิพากษาอะไร มองให้เห็นเฉยๆ ฟังเสียงด้วย เสียงแอร์ เสียงนักศึกษาเม้าท์กัน เสียงบางคนจิ้มไอโฟน ติ๊ด ติ๊ด ฟังเสียงแบบฟังเฉยๆ ตอนนี้คุณกำลัง "รู้" อยู่ โดยไม่ได้ "คิด"
ประเด็นก็คือคุณจะต้องเลิกคิดแบบ compulsiveness เลิกดูหนังงี่เง่าทั้งแปดเรื่องที่คุณสร้างขึ้นเองนั้นเสีย คุณไม่ต้องถามว่าหนังทั้งแปดเรื่องนี้คุณไม่ได้ตั้งใจสร้างขึ้น มันโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร ตรงนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะเพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์ แต่ว่าวันหลังถ้ามีเวลาผมจะอธิบายให้ว่ามันโผล่มาในหัวคุณได้อย่างไร ตอนนี้เอาแค่ว่าคุณต้องเลิกคิดแบบ compulsiveness
คุณอาจถามว่าจะเลิกได้อย่างไรเพราะ compulsiveness มันมาหาคุณเอง คุณไม่ได้เชิญมันมา ตอบว่าเลิกได้โดยเมื่อเวลาที่หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งในแปดเรื่องนี้ฉายขึ้นในหัวคุณ ให้คุณหันหนีไปอยู่ก้บความรู้ตัวทันที ไปอยู่กับ consciousness วิธีการในทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุดก็คือคุณหันไปสนใจร่างกายคุณแทนก็ได้ เช่น สนใจว่าที่ฝ่ามือสองข้างของคุณขณะนั้นมันมีความรู้สึกอะไรอยู่บ้าง ทันทีที่คุณสนใจมัน ความรู้สึกที่ฝ่ามือก็จะโผล่ขึ้นมาในใจคุณทันที อาจจะเป็นความรู้สึกร้อนวูบวาบ หรือจิ๊ดๆเหมือนมีเข็มเล็กๆแหลมมาจิ้ม หรือเหน็บๆชาๆ ความรู้สึกอะไรก็ได้ที่มันเกิดขึ้นให้คุณรับรู้มันอย่างสนใจ เพราะว่า consciousness นี้ สำหรับคนที่ไม่เคยใส่ใจอยู่กับมันมาก่อน มันจะไม่เกิดขึ้นหากมันไม่มีที่ลงจอด ร่างกายเป็นลานจอดที่ง่ายที่สุดของความรู้ตัว เมื่อความรู้ตัวมาลงจอดได้แล้ว ความคิดจะหยุดลง หนังงี่เง่าก็จะไม่มีคนดู มันก็จะดับเครื่องเลิกฉายไปเอง คุณฝึกอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สำคัญที่อย่าตามความคิดไป ให้ปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัว ณ ปัจจุบันขณะ ความคิดมันจะพยายามลากคุณ บางครั้งมันก็อาศัยร่างกาย เช่นเฮ้ย หิวแล้ว หาอะไรกินดีกว่า คือความคิดจะใช้ทุกอย่างเพื่อหันเหคุณเข้าไปหามัน ถ้าคุณรู้ไต๋ คุณก็ปล่อยความคิดโผล่ขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปตามมัน อย่าไปพะวงว่าจะเคลียร์ความจำเลวๆในหัวทิ้งไปได้อย่างไร ความจำเป็นเพียงความคิดที่โผล่ขึ้นมา มันไม่ใช่ของจริง อย่าไป identify กับมัน ขยันฝึกความรู้ตัวไป จนคุณเลิกดูหนังแปดเรื่องนั้นได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณค่อยไปว่าเรื่องการดูแลคุณแม่ของคุณ
คราวนี้สมมุติว่าคุณมีความพร้อมแล้ว จะไปดูแลคุณแม่ ประเด็นสำคัญที่คุณควรเข้าใจก็คือไม่ว่าภาพของคุณแม่ที่ตีหน้าเอาเรื่องถมึงตึงก็ดี เสียงของคุณแม่ที่บาดหู เรื่องราวในคำพูดที่มีเนื้อหาเหยียบย่ำอีโก้ของคุณก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นหนังที่คุณสร้างขึ้นในใจของคุณเองนะ คุณไม่ได้เห็นคุณแม่ตรงม้านั่งที่ท่านนั่งอยู่นั่นดอก แต่คุณเห็นท่านในจอประสาทตาของคุณ หรือจะให้ลึกกว่านั้นก็คือคุณเห็นท่านหลังจากใจของคุณได้รับรู้ภาพของท่านและได้กรองข้อมูลภาพนั้น คัดเอามาแต่สาระที่ใจคุณอยากจะเห็น เรียกว่าเป็นกระบวนการ perception หมายความว่าใจเรากรองภาพที่แสงตกกระทบจอตามา ตัดส่วนที่ใจเราเห็นว่าไม่สำคัญทิ้ง ข้อมูลส่วนที่ตัดทิ้งมีมากกว่าส่วนที่กรองเอามาหลายร้อยหลายพันเท่า แล้วใจเราก็จะตีความภาพนั้น แล้วจึงจะบันทึกไว้ในใจว่าได้เห็นภาพนั้น เช่นเดียวกัน เสียงที่ได้ยิน เรื่องราวในคำพูด ใจเราก็ต้องกรอง ตัด คัด บันทึก การสร้างหนังทั้งหมดนี้คุณทำเองที่ในตัวคุณทั้งสิ้นนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณแม่หรือโลกภายนอกร่างกายคุณทั้งโลกเลย เรื่องราวของโลกทั้งโลกเป็นหนังที่คุณสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น คุณจะสร้างหน้งงี่เง่าหรือหนังดีๆ คุณคงตัดสินใจเองได้นะ กุญแจสำคัญก็คือหากคุณไม่ "รู้" โมเมนต์นั้น โอกาสที่คุณจะได้สร้างหนังดีๆนั้น..ไม่มีเลย
พูดถึงการได้อยู่กับคุณแม่ ผมอยากจะพูดอะไรกับคุณอีกสักอย่างนะ ผมไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้กับใครเพราะมันเป็นเรื่อง "ใบไม้นอกกำมือ" ที่ไม่จำเป็น และที่อาจทำให้บางคนที่ทั้งชีวิตจมอยู่แต่ในโลกของความคิดอาจจะเข้าใจไปว่าหมอสันต์เป็นบ้าไปเสียแล้ว แต่ผมเห็นคุณเป็นอาจารย์มหาลัยมาหลายสิบปีจวนจะเกษียณอยู่แล้วการพูดกับคุณอาจจะมีประโยชน์ สิ่งที่ผมจะพูดผมพูดจากประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งอาจไม่เหมือนประสบการณ์ของคนอื่น และไม่ใช่หลักวิชาแพทย์ เพราะเรื่อง "ความรู้ตัว" เป็นเรื่องที่พ้นไปเกินกว่าความคิด ซึ่งวิชาแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ไม่อาจตามไปชั่งตวงวัดหรือออกแบบสอบถามได้ คือผมจะบอกคุณว่าความคิดก็ดี ความรู้ตัวก็ดี มันไม่ได้มีสถานะเป็นสารเคมีหรือสสารที่ไหลเวียนในร่างกายหรือออกันอยู่ที่เนื้อเยื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองหรือหัวใจนะ แต่มันมีลักษณะคล้ายพลังงาน มันคล้ายละอองน้ำในอากาศ (เป็นคำสมมุติเฉยๆนะ) มันไหลไปไหลมาหากันได้ ความคิดในรูปแบบความคิดลบก็ดี ความคิดบวกก็ดี มันมีอยู่แล้วในบรรยากาศเสมือนหนึ่งเป็น "จิตร่วม" ของมนุษยชน จะเรียกว่าเป็น collective mind ก็ได้มั้ง เมื่อคนสองคนมีอารมณ์ลบคล้ายๆกันเช่นหงุดหงิด เรียกว่าถ้ามัน resonate กัน อารมณ์ลบลักษณะเดียวกันก็จะเข้ามารวมผสมคลุกเคล้ากันและกันและขยายผลให้ลบมากขึ้น สิ่งที่เราเคยคิดเคยเชื่อว่าเราเป็นตัวของตัวเองคิดอะไรของเราเองนั้นไม่จริงหรอก หากเราไม่มีความรู้ตัวกำกับ เราจะถูก collective mind นำพาไปให้เราคิดพูดหรือทำอะไรแบบที่ไม่ใช่เราได้
ความรู้ตัวก็เช่นกัน มันเป็นพลังงานล่องลอยทั่วไปในรูปของ "ความรู้ตัวร่วม" (collective consciousness) ซึ่งใช้ร่วมกันในผองมนุษยชน มันก็สื่อไปมาหากันในระหว่างคนได้เช่นกัน ความรู้ตัวไม่ใช่สมบัติของเรา แต่มันเข้ามาสู่ใจเราได้
เมื่อคุณไปอยู่กับคุณแม่ เป็นโอกาสทองที่จะสื่อสิ่งดีๆในใจของคุณออกไปให้มีผลบวกต่อชีวิตบั้นปลายของท่าน ความรู้ตัวของคุณจะค่อยๆแผ่ออกไปให้ท่านรับรู้ได้ สิ่งที่คุณพึงทำก็คือขยันฝึกความรู้ตัว เวลาไปหาคุณแม่ ให้เน้นการไปอยู่กับท่านเฉยๆ ท่านไม่พูดอะไรเราก็ไม่ต้องพูดก็ได้ นั่งใกล้กันเงียบๆ ไม่มีอะไรจะสุขไปกว่าแม่ลูกได้มาใกล้ชิดกัน ถ้ามีจังหวะมีโอกาสให้สัมผัสบีบนวดท่านบ้าง เมื่อท่านเริ่มแผ่รังสีอำมะหิตหรือแพร่ความคิดลบออกมา คุณอย่าเผลอหลุดจากความรู้ตัวของตัวเองปล่อยให้ความคิดลบของคุณไปผสมคลุกเคล้ากับความคิดลบของคุณแม่แล้วขยายผลในตัวคุณจนเกิดเป็นความคิดลบแผดเผาตัวคุณเองมากยิ่งขึ้น ให้คุณปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัว นิ่งๆ เงียบ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆพร้อมกับบอกให้ร่างกายผ่อนคลาย รับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย รับรู้ความดีใจที่ได้มานั่งกับคุณแม่คนสวยของคุณ คุณแม่คนดีที่เป็นที่รักของคุณพ่อ ส่วนคำพูดการกระทำของท่าน คุณจะรับจะกลั่นกรองและจะสรุปจดจำอย่างไรนั้นเป็นเรื่องเทคนิคของการสร้างหน้ง ซึ่งไม่สำคัญเท่าการที่แม่ลูกได้มานั่งด้วยกันเงียบๆ สื่อความรู้ตัวที่ใสเย็นและนุ่มนวลสู่กัน และอย่าลืมที่ผมเคยบอกบ่อยๆว่า
"..จงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สงบนิ่งอยู่ในนิรันดร
ที่โผล่ขึ้นมาทำกิจกรรมในมิติของเวลาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น"
ผมไม่รู้ว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้คุณจะเก็ทสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่หวังว่ามันคงจะมีประโยชน์บ้าง ลองฝึกดู ถ้าฝึกแล้วไม่ไปไหนสักที ให้หาเวลามาเรียนในคอร์ส MBT บ้างก็ดีนะ นี่พูดอย่าง sincerely นะ ผมมั่นใจว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ตอบครับ
พังเพยโบราณว่า "คนแก่ก็เหมือนเด็ก"
ซึ่งเป็นความจริง อย่างน้อยก็ในทางสรีรวิทยาของระบบประสาท คือเมื่อสูงอายุ หากไม่มีการฝึกฝนประคับบประคองที่ดี ระบบประสาทจะเสื่อมถอยลงช้าบ้างเร็วบ้างต่างกันไปในแต่ละคน
แก่ลงไป ถึงจุดหนึ่งก็มีลุ้นว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ไหม เหมือนเมื่อคุณเลี้ยงลูกอายุ 6 ขวบ แล้วลุ้นให้เขาทำอะไรเองด้วยตัวเองเป็น ช่วยเหลือตัวเองได้
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง ก็ต้องลุ้นว่าจะไม่ฉี่รดที่นอนได้หรือเปล่า เหมือนตอนลูกเราวัยสามขวบ เราลุ้นว่าเมื่อไหร่เขาจะเลิกฉี่รดที่นอน
แก่ลงไป ถึงอีกจุุดหนึ่ง ก็เหมือนย้อนเวลาไปเป็นเด็กเล็กกว่านั้น คือต้องลุ้นว่าจะพูดกับชาวบ้านรู้เรื่องหรือเปล่า เหมือนเมื่อเราลุ้นลูกตอนสอนสอนออกเสียงและสอนมารยาทสังคม
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง อีกคราวนี้ลุ้นว่าจะเดินได้หรือเปล่า เหมือนคุณลุ้นลูกตอนตั้งไข่โน่นเชียว
แก่ลงไป ถึงอีกจุดหนึ่ง ก็ต้องมาลุ้นว่าจะอ้าปากรับข้าวที่ป้อนได้หรือเปล่า เหมือนเราลุ้นลูกตอนอายุสามเดือนโน่นเชียว
แก่ลงไป พอถึงจุดสุดท้ายก็ต้องลุ้นว่าจะหายใจเองได้หรือเปล่า เหมือนเมื่อหมอทำคลอดเด็กออกมาต้องเอาฝ่ามือทุบฝ่าเท้าเด็กเพื่อลุ้นให้หายใจเองให้ได้
นอกจากทางสรีรวิทยาจะเหมือนเด็กแล้ว ในทางจิตวิทยา หากแก่แบบแก่แดดแก่ลมก็มักจะยิ่งกว่าเด็กเสียอีก
โดยนิยามคนแก่ "หรือผู้สูงอายุ" ของรัฐบาลไทย เหมาเอาที่อายุ 60 ปีขึ้นไป สถานะของคุณกับคุณแม่ตอนนี้จึงเป็นกรณีที่คนเหมือนเด็กอายุ 60 ขวบ ต้องมาเลี้ยงดูคนเหมือนเด็กอายุ 80 ขวบ หากทั้งสองฝ่ายต่างแก่มาแบบแก่แดดแก่ลม หมายความว่าไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้ชีวิตมาดีพอ ก็ย่อมจะเป็นวิบากอย่างยิ่งแน่นอน คำว่าเรียนรู้ชีวิตผมหมายถึงการเรียนรู้ "กาย" และ "ใจ" ของตัวเองนะครับ เพราะองค์ประกอบของชีวิตแท้จริงก็มีอยู่แค่สองอย่างนี้เท่านั้นเอง
ฟังน้ำเสียงคุณเหมือนจะเขียนมาเพื่อหาคำปลอบโยนคลายทุกข์ แต่ผมอยากจะพูดกับคุณมากกว่านั้น เพราะพูดแล้วผลมันไม่ได้ตกแก่คุณคนเดียว การที่คนอายุ 60 ต้องมาเลี้ยงดูคนอายุ 80 มันเป็นพิมพ์นิยมของยุคสมัยนี้ มีคนหัวอกเดียวกับคุณอีกแยะมาก ผมจึงจะใช้เวลาที่มีพูดกับคุณถึงการใช้ชีวิตจากวันนี้ไปข้างหน้า เพื่อให้คุณมีชีวิตที่ดีทั้งในฐานะที่ตัวคุณเองเป็นคนแก่อายุ 60 ปี และในฐานะที่คุณเป็นผู้ดูแลคนแก่อายุ 80 ปี
เอาในฐานะที่เป็นคนอายุ 60 ปีคนหนึ่งก่อนนะ
ก่อนอื่นผมอยากให้คุณเข้าใจคำสองคำนี้อย่างลึกซึ้ง
compulsiveness ซึ่งหมายถึงการย้ำคิด คิด คิด คิด คิดแล้วคิดอีก
consciousness ซึ่งหมายถึงความรู้ตัว หรือหมายถึงการตื่นตัวมีสติ ประมาณนั้น
เมื่อเราแก่ตัวลงไปแบบแก่แดดแก่ลม เราจะบ่มเพาะฝึกฝน compulsiveness หรือการย้ำคิดไว้แยะ จนความย้ำคิดเหล่านั้นกลายเป็นตัวตนของเราไป คือเราเผลอเหมาเอา (identify) ว่าเราคือความย้ำคิดเหล่านั้น 100% มันกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องที่เล่นอยู่ในหัวของเรามานานปี มองอีกแง่หนึ่งจะเรียกว่าเราเสพย์ติดการย้ำคิดก็ได้ คือถ้าเราไม่ย้ำคิด เราก็กลัวว่าตัวตนของเราจะไม่มีอยู่ในโลกนี้ เพื่อจะให้ตัวตนของเรามีอยู่ เราจึงคิดเพลินจนติดความคิด ไม่คิดไม่ได้ แล้วการย้ำคิดนี้มันมักจะมีแต่ความคิดลบหรืออารมณ์ลบเป็นส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างกรณีของคุณความคิดที่แล่นแบบแผ่นเสียงตกร่องในหัวของคุณก็เช่น
(1) คิดพิพากษาคุณแม่ว่าเป็นยายแก่บ้าอำนาจ ชอบสั่ง เกรี้ยวกราด ว่าคนแรงๆ เจ็บๆ จนคนเข้าหน้าไม่ติด
(2) คิดไม่พอใจคุณแม่ที่ประณามคุณพ่อทั้งๆที่คุณพ่อซึ่งเป็นที่รักของคุณก็แสนดีกับคุณแม่
(3) คิดน้อยใจว่าคุณแม่ตำหนิคุณว่าเป็นลูกเสือลูกตะเข้ เลี้ยงไม่เชื่อง
(4) โกรธคุณแม่ที่ชอบพูดกดขี่ดูถูกทำให้คุณช้ำใจตลอด
(5) คิดรู้สึกผิดที่เผลอน็อตหลุด ว้าก..ก คุณแม่
(6) คิดเสียใจที่คุณแม่เปลี่ยนจากการเป็นคนดีมากและสวยมาก มาเป็นยายแก่ปากเสียชอบแช่งชักหักกระดูกลูกหลาน
(7) คิดเสียใจที่คุณให้แหวนคุณแม่แล้วคุณแม่เอาไปให้คนใช้..แบบประชดลูก
(8) คิดเป็นทุกข์กลัวเสียความนับถือตัวเอง ที่คุณรับปากกับคุณพ่อไว้ก่อนท่านตายว่าคุณจะดูแลคุณแม่แทนท่าน แต่พอถึงเวลาจริงคุณก็ไม่มีปัญญา
เห็นไหมครับ compulsiveness ที่เป็นหนังฉายซ้ำๆซากๆอยู่ในหัวคุณทั้งหมดนี้ ไม่มีดีซักกะเรื่องหนึ่ง ความจริงมันตลกนะ คุณเป็นผู้กำกับหนังที่จะถ่ายทำหนังไว้ฉายซ้ำให้คุณดูเอง แต่คุณดันสร้างแต่หนังห่วยๆ แถมอินกับหนังทั้งแปดเรื่องนี้มากจนคุณ identify ว่าหนังทั้งแปดเรื่องนี้แหละ ที่นิยามความเป็นคุณ
ก่อนจะคุยกันต่อไป มาพูดถึงอีกคำหนึ่ง consciousness หรือ "ความรู้ตัว" ก่อนนะ เมื่อตะกี้ compulsiveness เป็นการ "คิด" แต่ consciousness เป็นการ "รู้" คิดกับรู้นี่ไม่เหมือนกันนะ
ถ้าผมถามคุณว่าหากคุณเอาดินสอแหลมๆจิ้มหน้าผากตัวเองคุณจะรู้สึกอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของคุณหลังจากได้ยินคำถามของผมคือการ "คิด" คิดว่าผมถามอะไร คิดว่าจะตอบว่าไงดี คิดว่าตอบงี้แล้วกัน ทั้งหมดนั้นคือการคิด ความคิดมีสารัตถะเป็นเรื่องราว เป็นภาษา เป็นตัวเลข เป็นอารมณ์ (emotion) บวกหรือลบก็แล้วแต่ เพราะอารมณ์ก็คือความคิดที่มีสองขา ขาหนึ่งเป็นความคิด อีกขาหนึ่งเป็นอาการทางร่างกาย
คราวนี้คุณลองเอาดินสอแหลมๆจิ้มหน้าผากตัวเองจริงๆสักสองสามฉึก ฉึก ฉึก
สิ่งที่เกิดขึ้นในใจคุณตอนนี้คือการ "รู้" ขณะที่คุณรู้ คุณไม่มีความคิด หลังจาก "รู้" แล้วความคิดก็อาจจะเสนอหน้าเข้ามาโน่นนี่นั่นต่อทันทีก็เป็นได้ แต่หากคุณสังเกต ขณะที่รู้ ยังไม่มีความคิด ความ "รู้" ไม่ใช่เรื่องราว แต่เป็น perception หรือเป็น sensation เช่นภาพ เสียง สัมผัส นอกจากนี้การ "รู้" เป็นสิ่งที่มีความตื่นตัว (awake) และการรับรู้ (awareness) เป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ไม่มีการ "คิด" เข้ามาเกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้คุณลองเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์แล้วมองไปรอบๆตัวคุณสิ มองไปรอบๆห้องที่คุณสอน มองดูกระดาน โต๊ะ ตั่ง ม้านั่ง มองหน้านักศึกษาตาแป๋วๆทีละคน มองให้เห็นภาพเท่านั้น ไม่ต้องคิดวิจารณ์หรือพิพากษาอะไร มองให้เห็นเฉยๆ ฟังเสียงด้วย เสียงแอร์ เสียงนักศึกษาเม้าท์กัน เสียงบางคนจิ้มไอโฟน ติ๊ด ติ๊ด ฟังเสียงแบบฟังเฉยๆ ตอนนี้คุณกำลัง "รู้" อยู่ โดยไม่ได้ "คิด"
ประเด็นก็คือคุณจะต้องเลิกคิดแบบ compulsiveness เลิกดูหนังงี่เง่าทั้งแปดเรื่องที่คุณสร้างขึ้นเองนั้นเสีย คุณไม่ต้องถามว่าหนังทั้งแปดเรื่องนี้คุณไม่ได้ตั้งใจสร้างขึ้น มันโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร ตรงนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะเพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์ แต่ว่าวันหลังถ้ามีเวลาผมจะอธิบายให้ว่ามันโผล่มาในหัวคุณได้อย่างไร ตอนนี้เอาแค่ว่าคุณต้องเลิกคิดแบบ compulsiveness
คุณอาจถามว่าจะเลิกได้อย่างไรเพราะ compulsiveness มันมาหาคุณเอง คุณไม่ได้เชิญมันมา ตอบว่าเลิกได้โดยเมื่อเวลาที่หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งในแปดเรื่องนี้ฉายขึ้นในหัวคุณ ให้คุณหันหนีไปอยู่ก้บความรู้ตัวทันที ไปอยู่กับ consciousness วิธีการในทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุดก็คือคุณหันไปสนใจร่างกายคุณแทนก็ได้ เช่น สนใจว่าที่ฝ่ามือสองข้างของคุณขณะนั้นมันมีความรู้สึกอะไรอยู่บ้าง ทันทีที่คุณสนใจมัน ความรู้สึกที่ฝ่ามือก็จะโผล่ขึ้นมาในใจคุณทันที อาจจะเป็นความรู้สึกร้อนวูบวาบ หรือจิ๊ดๆเหมือนมีเข็มเล็กๆแหลมมาจิ้ม หรือเหน็บๆชาๆ ความรู้สึกอะไรก็ได้ที่มันเกิดขึ้นให้คุณรับรู้มันอย่างสนใจ เพราะว่า consciousness นี้ สำหรับคนที่ไม่เคยใส่ใจอยู่กับมันมาก่อน มันจะไม่เกิดขึ้นหากมันไม่มีที่ลงจอด ร่างกายเป็นลานจอดที่ง่ายที่สุดของความรู้ตัว เมื่อความรู้ตัวมาลงจอดได้แล้ว ความคิดจะหยุดลง หนังงี่เง่าก็จะไม่มีคนดู มันก็จะดับเครื่องเลิกฉายไปเอง คุณฝึกอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า สำคัญที่อย่าตามความคิดไป ให้ปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัว ณ ปัจจุบันขณะ ความคิดมันจะพยายามลากคุณ บางครั้งมันก็อาศัยร่างกาย เช่นเฮ้ย หิวแล้ว หาอะไรกินดีกว่า คือความคิดจะใช้ทุกอย่างเพื่อหันเหคุณเข้าไปหามัน ถ้าคุณรู้ไต๋ คุณก็ปล่อยความคิดโผล่ขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องไปตามมัน อย่าไปพะวงว่าจะเคลียร์ความจำเลวๆในหัวทิ้งไปได้อย่างไร ความจำเป็นเพียงความคิดที่โผล่ขึ้นมา มันไม่ใช่ของจริง อย่าไป identify กับมัน ขยันฝึกความรู้ตัวไป จนคุณเลิกดูหนังแปดเรื่องนั้นได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณค่อยไปว่าเรื่องการดูแลคุณแม่ของคุณ
คราวนี้สมมุติว่าคุณมีความพร้อมแล้ว จะไปดูแลคุณแม่ ประเด็นสำคัญที่คุณควรเข้าใจก็คือไม่ว่าภาพของคุณแม่ที่ตีหน้าเอาเรื่องถมึงตึงก็ดี เสียงของคุณแม่ที่บาดหู เรื่องราวในคำพูดที่มีเนื้อหาเหยียบย่ำอีโก้ของคุณก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นหนังที่คุณสร้างขึ้นในใจของคุณเองนะ คุณไม่ได้เห็นคุณแม่ตรงม้านั่งที่ท่านนั่งอยู่นั่นดอก แต่คุณเห็นท่านในจอประสาทตาของคุณ หรือจะให้ลึกกว่านั้นก็คือคุณเห็นท่านหลังจากใจของคุณได้รับรู้ภาพของท่านและได้กรองข้อมูลภาพนั้น คัดเอามาแต่สาระที่ใจคุณอยากจะเห็น เรียกว่าเป็นกระบวนการ perception หมายความว่าใจเรากรองภาพที่แสงตกกระทบจอตามา ตัดส่วนที่ใจเราเห็นว่าไม่สำคัญทิ้ง ข้อมูลส่วนที่ตัดทิ้งมีมากกว่าส่วนที่กรองเอามาหลายร้อยหลายพันเท่า แล้วใจเราก็จะตีความภาพนั้น แล้วจึงจะบันทึกไว้ในใจว่าได้เห็นภาพนั้น เช่นเดียวกัน เสียงที่ได้ยิน เรื่องราวในคำพูด ใจเราก็ต้องกรอง ตัด คัด บันทึก การสร้างหนังทั้งหมดนี้คุณทำเองที่ในตัวคุณทั้งสิ้นนะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณแม่หรือโลกภายนอกร่างกายคุณทั้งโลกเลย เรื่องราวของโลกทั้งโลกเป็นหนังที่คุณสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น คุณจะสร้างหน้งงี่เง่าหรือหนังดีๆ คุณคงตัดสินใจเองได้นะ กุญแจสำคัญก็คือหากคุณไม่ "รู้" โมเมนต์นั้น โอกาสที่คุณจะได้สร้างหนังดีๆนั้น..ไม่มีเลย
พูดถึงการได้อยู่กับคุณแม่ ผมอยากจะพูดอะไรกับคุณอีกสักอย่างนะ ผมไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้กับใครเพราะมันเป็นเรื่อง "ใบไม้นอกกำมือ" ที่ไม่จำเป็น และที่อาจทำให้บางคนที่ทั้งชีวิตจมอยู่แต่ในโลกของความคิดอาจจะเข้าใจไปว่าหมอสันต์เป็นบ้าไปเสียแล้ว แต่ผมเห็นคุณเป็นอาจารย์มหาลัยมาหลายสิบปีจวนจะเกษียณอยู่แล้วการพูดกับคุณอาจจะมีประโยชน์ สิ่งที่ผมจะพูดผมพูดจากประสบการณ์ส่วนตัวซึ่งอาจไม่เหมือนประสบการณ์ของคนอื่น และไม่ใช่หลักวิชาแพทย์ เพราะเรื่อง "ความรู้ตัว" เป็นเรื่องที่พ้นไปเกินกว่าความคิด ซึ่งวิชาแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ไม่อาจตามไปชั่งตวงวัดหรือออกแบบสอบถามได้ คือผมจะบอกคุณว่าความคิดก็ดี ความรู้ตัวก็ดี มันไม่ได้มีสถานะเป็นสารเคมีหรือสสารที่ไหลเวียนในร่างกายหรือออกันอยู่ที่เนื้อเยื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองหรือหัวใจนะ แต่มันมีลักษณะคล้ายพลังงาน มันคล้ายละอองน้ำในอากาศ (เป็นคำสมมุติเฉยๆนะ) มันไหลไปไหลมาหากันได้ ความคิดในรูปแบบความคิดลบก็ดี ความคิดบวกก็ดี มันมีอยู่แล้วในบรรยากาศเสมือนหนึ่งเป็น "จิตร่วม" ของมนุษยชน จะเรียกว่าเป็น collective mind ก็ได้มั้ง เมื่อคนสองคนมีอารมณ์ลบคล้ายๆกันเช่นหงุดหงิด เรียกว่าถ้ามัน resonate กัน อารมณ์ลบลักษณะเดียวกันก็จะเข้ามารวมผสมคลุกเคล้ากันและกันและขยายผลให้ลบมากขึ้น สิ่งที่เราเคยคิดเคยเชื่อว่าเราเป็นตัวของตัวเองคิดอะไรของเราเองนั้นไม่จริงหรอก หากเราไม่มีความรู้ตัวกำกับ เราจะถูก collective mind นำพาไปให้เราคิดพูดหรือทำอะไรแบบที่ไม่ใช่เราได้
ความรู้ตัวก็เช่นกัน มันเป็นพลังงานล่องลอยทั่วไปในรูปของ "ความรู้ตัวร่วม" (collective consciousness) ซึ่งใช้ร่วมกันในผองมนุษยชน มันก็สื่อไปมาหากันในระหว่างคนได้เช่นกัน ความรู้ตัวไม่ใช่สมบัติของเรา แต่มันเข้ามาสู่ใจเราได้
เมื่อคุณไปอยู่กับคุณแม่ เป็นโอกาสทองที่จะสื่อสิ่งดีๆในใจของคุณออกไปให้มีผลบวกต่อชีวิตบั้นปลายของท่าน ความรู้ตัวของคุณจะค่อยๆแผ่ออกไปให้ท่านรับรู้ได้ สิ่งที่คุณพึงทำก็คือขยันฝึกความรู้ตัว เวลาไปหาคุณแม่ ให้เน้นการไปอยู่กับท่านเฉยๆ ท่านไม่พูดอะไรเราก็ไม่ต้องพูดก็ได้ นั่งใกล้กันเงียบๆ ไม่มีอะไรจะสุขไปกว่าแม่ลูกได้มาใกล้ชิดกัน ถ้ามีจังหวะมีโอกาสให้สัมผัสบีบนวดท่านบ้าง เมื่อท่านเริ่มแผ่รังสีอำมะหิตหรือแพร่ความคิดลบออกมา คุณอย่าเผลอหลุดจากความรู้ตัวของตัวเองปล่อยให้ความคิดลบของคุณไปผสมคลุกเคล้ากับความคิดลบของคุณแม่แล้วขยายผลในตัวคุณจนเกิดเป็นความคิดลบแผดเผาตัวคุณเองมากยิ่งขึ้น ให้คุณปักหลักอยู่ที่ความรู้ตัว นิ่งๆ เงียบ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆพร้อมกับบอกให้ร่างกายผ่อนคลาย รับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย รับรู้ความดีใจที่ได้มานั่งกับคุณแม่คนสวยของคุณ คุณแม่คนดีที่เป็นที่รักของคุณพ่อ ส่วนคำพูดการกระทำของท่าน คุณจะรับจะกลั่นกรองและจะสรุปจดจำอย่างไรนั้นเป็นเรื่องเทคนิคของการสร้างหน้ง ซึ่งไม่สำคัญเท่าการที่แม่ลูกได้มานั่งด้วยกันเงียบๆ สื่อความรู้ตัวที่ใสเย็นและนุ่มนวลสู่กัน และอย่าลืมที่ผมเคยบอกบ่อยๆว่า
"..จงเป็นสิ่งมีชีวิตที่สงบนิ่งอยู่ในนิรันดร
ที่โผล่ขึ้นมาทำกิจกรรมในมิติของเวลาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น"
ผมไม่รู้ว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้คุณจะเก็ทสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่หวังว่ามันคงจะมีประโยชน์บ้าง ลองฝึกดู ถ้าฝึกแล้วไม่ไปไหนสักที ให้หาเวลามาเรียนในคอร์ส MBT บ้างก็ดีนะ นี่พูดอย่าง sincerely นะ ผมมั่นใจว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์