Colic ในเด็กโต
เรียน
คุณหมอสันต์ที่เคารพ
ลูกสาวหนูคนโต อายุ 6 ปี ส่วนสูง 121 ซม น้ำหนัก 27 กิโลกรัม มีอาการปวดท้องบริเวณสะดือ
มาได้สองสัปดาห์ ขับถ่ายเป็นปกติ วันละสองครั้ง
แต่บางวันอุจจาระเป็นก้อนเล็กๆความยาวประมาณ 2-3 ซม
บางวันเป็นเส้นปกติ ไม่มีอาการอาเจียน ไม่มีไข้ ยังคงร่าเริงดี เล่นดี
แต่บ่นปวดท้องบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตอนเย็นๆ
หนูได้พาไปหาคุณหมอทางเดินอาหารเด็ก คุณหมอแจ้งว่าเป็นโคลิคในเด็กโต
ลำไส้ทำงานเร็วมาก เมื่อคืนนี้ตอนประมาณสามทุ่ม ลูกปวดท้องจนร้องไห้ หนูเลยใจไม่ดี
ขอเรียนถามคุณหมอดังนี้
1. ในเด็กวัยนี้
เราสามารถทำอัลตราซาวด์ x-ray หรือส่องกล้องได้มั๊ยคะ
ให้รู้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะหนูไม่สบายใจเลย
ไปหาคุณหมอมาแล้วสองท่านทั้งสองท่านยืนยันว่าเป็นโคลิค
ไม่อันตรายแต่หนูกลัวว่าอาการนี้จะรบกวนการเรียนหนังสือของลูกทำให้ลูกเรียนไม่รู้เรื่อง
(ปกติลูกสาวเป็นเด็กดีมาก อารมณ์ดี ร่าเริงมากๆ ตั้งใจเรียนสมาธิดีมาก มาโดยตลอด)
2. สามารถเป็น
symptom ของโรคอะไรที่รุนแรงในเด็กม้๊ยคะ
ลูกปวดเฉพาะที่สะดือ เวลาลูกปวดไม่ถึงกับปวดตัวงอ ยังคงเดินตัวตรงๆ
ทำกิจกรรมได้ปกติ แต่จะทำหน้านิ่วเล็กน้อย มีเมื่อคืนครั้งเดียวที่ปวดจนร้องไห้
3. เป็นไปได้มั๊ยคะว่าเกิดจากความเครียด
ตอนนี้ ลูกขึ้นป 1 ต้องปรับตัวมาก เรียนหนักกว่าอนุบาล และ
คุณครู ให้ทำงานค่อนข้างมาก ตามสไตล์เด็กสาธิต แต่หนูถามเค้าว่า
ลูกเครียดเรื่องอะไรมั๊ยคะ ลูกตอบว่า หนูว่าหนูเรียนหนักแต่ไม่เครียดนะมาม๊า
ขอบพระคุณคุณหมอมากค่ะ
……………………………………………………
ตอบครับ
1.. ในเด็กอายุ
6 ขวบ การทำอัลตราซาวด์ ก็ดี x-ray ก็ดี ส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารก็ดี
สามารถทำได้หมด แต่ไม่ควรทำ เพราะประโยชน์ของการตรวจเหล่านี้มีน้อยจนไม่คุ้มทำ
กล่าวคือ
1.1.การทำเอ็กซ์เรย์ท้องนั้นจะช่วยวินิจฉัยโรคเฉพาะกรณีมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือกรณีลำไส้อุดตัน
(gut obstruction) จากสาเหตุต่างๆเช่นลำไส้กลืนกัน ลำไส้หมุนบิดรอบขั้ว เป็นต้น
ซึ่งในกรณีของลูกสาวคุณ หมอเขาสามารถวินิจฉัยแยกจากอาการได้แต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ลำไส้อุดตัน
ส่วนการมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ถ้าจะตรวจก็ควรจะเริ่มที่การวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA)ก่อนดีกว่า เพราะทำง่าย ไม่ต้องปล้ำเด็ก ไม่เจ็บ ไม่ต้องโดนรังสีเอ็กซ์เรย์
1.2.การทำอุลตร้าซาวด์ท้องจะมีประโยชน์มากในการช่วยวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบโดยเฉพาะในระยะแรก
ซึ่งในกรณีของลูกสาวของคุณหมอเขาวินิจฉัยได้จากอาการแล้วเช่นกันว่าไม่ใช่กรณีไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน
1.3. การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารในเด็กอายุขนาดนี้มีโอกาสที่จะพบพยาธิสภาพในกระเพาะอาหารและหลอดอาหารน้อยมาก
เพราะสาเหตุของการปวดท้องในเด็กวัยนี้เช่นแก้ส หรือกรดในกระเพาะมาก
จะไม่ไม่ทิ้งร่องรอยพยาธิสภาพใดๆไว้ให้ส่องเห็น ส่องไปก็ไลฟ์บอย จึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่ต้องจับเด็กดมยาสลบเพื่อตรวจ
เพราะเด็กทั่วไปในวัยนี้จะกลัวและร้องจนไม่ยอมให้ตรวจดีๆแน่นอน
2.. อาการปวดท้องในเด็กอายุหกขวบ
อาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
2.1. มีแก้สในท้อง จะในกระเพาะ หรือในลำไส้ก็ทำให้ปวดได้
การนวดคลึงท้อง หรือกินยาตีฟองแก้สเช่น Simethicone อาจช่วยได้บ้าง
2.2. ติดเชื้อไวรัสอะไรสักอย่าง เช่น
ไข้หวัดใหญ่ พวกนี้มักทำให้ปวดท้องได้ ส่วนใหญ่โดยผ่านกลไกทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วลำไส้อักเสบ (mesenteric lymphadenitis)
2.3
อาหารเป็นพิษ หมายถึงว่ามีเชื้อบักเตรีหรือไวรัสที่ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย
อยู่ในอาหาร
2.4
กรดในกระเพาะมากชั่วคราว แบบที่ผู้ใหญ่เป็น heartburn คือจุกเสียดแน่นเฟ้อเรอเปรี้ยว
2.5
แพ้อาหาร ที่แพ้กันบ่อยที่สุดและทำให้ปวดมวนท้องมากที่สุดได้แก่ นม
ถั่ว ปลา ข้าวสาลี หรือแม้กระทั่งไข่ก็มีแพ้กันบ่อยๆ
2.6
ปวดเพราะอาหารเป็นกรด เช่นซอสมะเขือเทศ ส้ม น้ำส้ม เป็นต้น
2.7
ท้องผูก
2.8
ปวดกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง ซึ่งทำให้ปวดท้องไปนานเป็นเดือนๆได้เหมือนกัน
ลองมองหารอยฟกช้ำบนกล้ามเนื้อหน้าท้อง สีข้าง และหลัง
แสะเลียบเคียงถามเรื่องการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุที่โรงเรียน ถ้ามีร่องรอยฟกช้ำผิดสังเกต
อย่าลืมคิดเผื่อไปถึงการทำทารุณกรรมเด็ก (child abuse) ไว้ด้วย
เพราะทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็น พี่เลี้ยง ครู เพื่อนตัวโตๆ รุ่นพี่ ล้วนอยู่ในข่ายที่จะทำทารุณกรรมต่อเด็กได้ทั้งนั้น
2.9
ปวดประจำเดือน เคยมีรายงานว่าเกิดในเด็กอายุ 8 ขวบ ผมยังไม่เคยได้อ่านหรือได้ยินว่ามีในเด็กอายุ 6 ขวบ
2.10
สาเหตุรุนแรงที่สุดของการปวดท้องในเด็กสองประการ (ซึ่งวินิจฉัยได้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าไม่ใช่ในกรณีลูกสาวของคุณ) คือ ไส้ติ่งอักเสบ และลำไส้อุดตัน
3. การปวดท้องจากความเครียดเป็นไปได้ในคนทุกอายุ
รวมทั้งเด็กอายุหกขวบด้วย
4. คำแนะนำของผมก็คือคุณลองไล่สาเหตุข้างต้นว่าจะเป็นอะไรได้บ้าง
ถ้าไล่แล้วก็ไม่พบว่าจะมีสาเหตุอะไรเป็นตุเป็นตะสักอย่าง ก็ให้ทำตามที่หมอของคุณแนะนำ
คือ...เฉยเอาไว้ก่อน เดี๋ยวดีเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์