แคลเซี่ยมเสริม กับการเป็นโรคหัวใจ
เคยอ่านที่คุณหมอเขียนว่าการทานแคลเซียมเสริมเพื่อป้องกันกระดูกพรุนทำให้เป็นโรคหัวใจมากขึ้น อันนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอนหรือยังคะ เพราะหมอสูติแพทย์แนะนำดิฉันให้ทานแคลเซียมหลังหมดประจำเดือนโดยบอกอย่างมั่นใจว่างานวิจัยในหญิงหมดประจำเดือนจำนวนมากไม่พบว่าแคลเซียมทำให้เป็นโรคหัวใจมากขึ้น คุณหมอช่วยอธิบายด้วยค่ะ
……………………………………………………………………..
ตอบครับ
เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างนี้ครับ
ยกที่ 1. เริ่มต้นด้วยงานวิจัยขนาดใหญ่ชื่อWomen Health Initiative (WHI) ซึ่งเป็นงานวิจัยป้องกันโรคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา คือทำวิจัยในคนถึงแสนหกหมื่นกว่าคน ใช้เวลาวิจัยถึง 15 ปี่ เป้าหมายหลักคือเพื่อจะตอบคำถามว่าการใช้ฮอร์โมนเพศหลังหมดประจำเดือนมีประโยชน์หรือโทษกันแน่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่ามีโทษมากกว่า (เพิ่มการเป็นโรคหัวใจ อัมพาตและมะเร็งเต้านม) มากกว่าคุณ (ลดกระดูกพรุน) และไม่ควรใช้ยกเว้นเพื่อรักษาอาการทรมานจากร้อนวูบวาบเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม แต่ที่เกี่ยวกับแคลเซียมคืองานวิจัยนี้ได้แยกเอาคนสามหมื่นหกพันคนแบ่งมาวิจัยเปรียบเทียบระหว่างให้ทานแคลเซียมบวกวิตามินดีเสริม เทียบกับให้ทานยาหลอก ก็พบว่ากลุ่มให้ทานแคลเซียมบวกวิตามินดีมีอัตราการเกิดกระดูกพรุนกระดูกหักน้อยกว่าเล็กน้อย โดยที่ไม่มีผลเสียต่ออัตราเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ข้อมูลจากงานวิจัยนี้เป็นพื้นฐานให้มีการใช้แคลเซียมเสริมแก่หญิงหมดประจำเดือนเพื่อป้องกันกระดูกพรุนกันอย่างกว้างขวางในสิบปีที่ผ่านมา
ยกที่2. ต่อมาได้มีผู้วิเคราะห์งานวิจัยการใช้แคลเซียมเสริมทั้งหมดที่เคยทำมาในโลกนี้กับคนประมาณ 12,000 คน (เรียกว่าการวิเคราะห์แบบเมตาอานาไลสีส) ก็พบว่าแคลเซียมเสริมทำให้มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาตเพิ่มขึ้นประมาณ 20% งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อังกฤษ (BMJ) ซึ่งขัดแย้งกับงานวิจัย WHI ที่สรุปไว้ก่อนหน้านั้นว่าแคลเซียมบวกวิตามินดีเสริมไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ จึงทำให้แพทย์ทั่วโลกวิพากย์ผลวิจัยครั้งใหม่นี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งหมอผู้วิจัยก็ได้อธิบายว่าสาเหตุที่งานวิจัย WHI พบว่าการทานแคลเซียมไม่มีผลต่อโรคหัวใจขาดเลิอดนั้นเป็นเพราะในการทำวิจัยของ WHI ไม่ได้แยกว่าใครซื้อแคลเซียมทานเองอยู่ประจำมาก่อนบ้าง เล่นเอาแบบอยู่ๆจับมาสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเลย และเมื่อแบ่งกลุ่มแล้วกลายเป็นว่ากลุ่มที่ถูกมอบหมายให้ทานยาหลอก (แทนแคลเซียม) นั้นเป็นผู้ที่ทานแคลเซียมประจำมาก่อนถึง 54% โดยที่ในระหว่างการวิจัยคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้หยุดทานแคลเซียมเพราะแผนการวิจัยไม่ไปยุ่งอะไรกับอาหารเสริมของคนไข้ จึงทำให้ผลวิจัยเพี้ยนไป ภาษาวิจัยเรียกว่ามันมีปัจจัยกวน (confounding factor) จึงเป็นผลวิจัยที่เชื่อไม่ได้
ยกที่ 3. เพื่อพิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดง จึงมีผู้ขุดข้อมูลดิบของงานวิจัย WHI ซึ่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐเป็นเจ้าของ ขึ้นมาดูใหม่ โดยแยกเอาคนที่ซื้อแคลเซียมเสริมทานเองเป็นประจำออกไปเสีย เหลือคนไข้ประมาณ 17,000 คน แล้วตามไปวิเคราะห์เปรียบเทียบเฉพาะคนเหล่านี้ ก็พบว่ากลุ่มที่ทานแคลเซียมควบวิตามินดีเสริมมีอัตราเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดและอัมพาตสูงกว่ากลุ่มทานยาหลอกประมาณ 20% เหมือนกับงานวิจัยแบบเมตาอานาไลสีสไม่ผิด ผลการวิเคราะห์ครั้งใหม่นี้ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ เมื่อเดือนเมษายน 2554 คือเพิ่งหมาดๆนี้เอง
มาถึงวันนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือข้อมูลที่มีอยู่ทำให้สรุปได้ว่าการทานแคลเซียมเสริมจะควบวิตามินดีหรือไม่ก็ตาม อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาตมากขึ้น ข้อสรุปนี้ผมสรุปตามหลักฐานการแพทย์ทั้งหมดที่มีถึงวันนี้ แต่ขอให้เข้าใจก่อนนะครับว่าแพทย์ทั่วโลกจะยังแนะนำให้ทานแคลเซียมเสริมไปอีกอย่างน้อยสิบปี เพราะการเปลี่ยนแปลงนิสัยการสั่งการรักษาโรคของแพทย์ด้วยหลักฐานใหม่ๆนั้น จะใช้เวลาประมาณสิบปี ไม่เชื่อคอยดู
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Bolland MJ, Grey A, Avenell A, et al. Calcium supplements with or without vitamin D and risk of cardiovascular events: reanalysis of the Women’s Health Initiative limited access dataset and meta-analysis. BMJ 2011; DOI: doi:10.1136/bmj.d2040. Available at: http://www.bmj.com.
2. Bolland MJ, Avenell A, Baron JA, et al. Effect of calcium supplements on risk of myocardial infarction and cardiovascular events: Meta-analysis. BMJ 2010; 341:c3691. Abstract
3. Abrahamsen B, Sahota O. Do calcium plus vitamin D supplements increase cardiovascular risk? BMJ 2011; doi10.1136/bmj.d2080. Available at: http://www.bmj.com.
……………………………………………………………………..
ตอบครับ
เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างนี้ครับ
ยกที่ 1. เริ่มต้นด้วยงานวิจัยขนาดใหญ่ชื่อWomen Health Initiative (WHI) ซึ่งเป็นงานวิจัยป้องกันโรคที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา คือทำวิจัยในคนถึงแสนหกหมื่นกว่าคน ใช้เวลาวิจัยถึง 15 ปี่ เป้าหมายหลักคือเพื่อจะตอบคำถามว่าการใช้ฮอร์โมนเพศหลังหมดประจำเดือนมีประโยชน์หรือโทษกันแน่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่ามีโทษมากกว่า (เพิ่มการเป็นโรคหัวใจ อัมพาตและมะเร็งเต้านม) มากกว่าคุณ (ลดกระดูกพรุน) และไม่ควรใช้ยกเว้นเพื่อรักษาอาการทรมานจากร้อนวูบวาบเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับแคลเซียม แต่ที่เกี่ยวกับแคลเซียมคืองานวิจัยนี้ได้แยกเอาคนสามหมื่นหกพันคนแบ่งมาวิจัยเปรียบเทียบระหว่างให้ทานแคลเซียมบวกวิตามินดีเสริม เทียบกับให้ทานยาหลอก ก็พบว่ากลุ่มให้ทานแคลเซียมบวกวิตามินดีมีอัตราการเกิดกระดูกพรุนกระดูกหักน้อยกว่าเล็กน้อย โดยที่ไม่มีผลเสียต่ออัตราเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ข้อมูลจากงานวิจัยนี้เป็นพื้นฐานให้มีการใช้แคลเซียมเสริมแก่หญิงหมดประจำเดือนเพื่อป้องกันกระดูกพรุนกันอย่างกว้างขวางในสิบปีที่ผ่านมา
ยกที่2. ต่อมาได้มีผู้วิเคราะห์งานวิจัยการใช้แคลเซียมเสริมทั้งหมดที่เคยทำมาในโลกนี้กับคนประมาณ 12,000 คน (เรียกว่าการวิเคราะห์แบบเมตาอานาไลสีส) ก็พบว่าแคลเซียมเสริมทำให้มีความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาตเพิ่มขึ้นประมาณ 20% งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์อังกฤษ (BMJ) ซึ่งขัดแย้งกับงานวิจัย WHI ที่สรุปไว้ก่อนหน้านั้นว่าแคลเซียมบวกวิตามินดีเสริมไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ จึงทำให้แพทย์ทั่วโลกวิพากย์ผลวิจัยครั้งใหม่นี้อย่างกว้างขวาง ซึ่งหมอผู้วิจัยก็ได้อธิบายว่าสาเหตุที่งานวิจัย WHI พบว่าการทานแคลเซียมไม่มีผลต่อโรคหัวใจขาดเลิอดนั้นเป็นเพราะในการทำวิจัยของ WHI ไม่ได้แยกว่าใครซื้อแคลเซียมทานเองอยู่ประจำมาก่อนบ้าง เล่นเอาแบบอยู่ๆจับมาสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเลย และเมื่อแบ่งกลุ่มแล้วกลายเป็นว่ากลุ่มที่ถูกมอบหมายให้ทานยาหลอก (แทนแคลเซียม) นั้นเป็นผู้ที่ทานแคลเซียมประจำมาก่อนถึง 54% โดยที่ในระหว่างการวิจัยคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้หยุดทานแคลเซียมเพราะแผนการวิจัยไม่ไปยุ่งอะไรกับอาหารเสริมของคนไข้ จึงทำให้ผลวิจัยเพี้ยนไป ภาษาวิจัยเรียกว่ามันมีปัจจัยกวน (confounding factor) จึงเป็นผลวิจัยที่เชื่อไม่ได้
ยกที่ 3. เพื่อพิสูจน์ให้เห็นดำเห็นแดง จึงมีผู้ขุดข้อมูลดิบของงานวิจัย WHI ซึ่งสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐเป็นเจ้าของ ขึ้นมาดูใหม่ โดยแยกเอาคนที่ซื้อแคลเซียมเสริมทานเองเป็นประจำออกไปเสีย เหลือคนไข้ประมาณ 17,000 คน แล้วตามไปวิเคราะห์เปรียบเทียบเฉพาะคนเหล่านี้ ก็พบว่ากลุ่มที่ทานแคลเซียมควบวิตามินดีเสริมมีอัตราเป็นโรคหัวใจหลอดเลือดและอัมพาตสูงกว่ากลุ่มทานยาหลอกประมาณ 20% เหมือนกับงานวิจัยแบบเมตาอานาไลสีสไม่ผิด ผลการวิเคราะห์ครั้งใหม่นี้ตีพิมพ์ในวารสาร BMJ เมื่อเดือนเมษายน 2554 คือเพิ่งหมาดๆนี้เอง
มาถึงวันนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือข้อมูลที่มีอยู่ทำให้สรุปได้ว่าการทานแคลเซียมเสริมจะควบวิตามินดีหรือไม่ก็ตาม อาจทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาตมากขึ้น ข้อสรุปนี้ผมสรุปตามหลักฐานการแพทย์ทั้งหมดที่มีถึงวันนี้ แต่ขอให้เข้าใจก่อนนะครับว่าแพทย์ทั่วโลกจะยังแนะนำให้ทานแคลเซียมเสริมไปอีกอย่างน้อยสิบปี เพราะการเปลี่ยนแปลงนิสัยการสั่งการรักษาโรคของแพทย์ด้วยหลักฐานใหม่ๆนั้น จะใช้เวลาประมาณสิบปี ไม่เชื่อคอยดู
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Bolland MJ, Grey A, Avenell A, et al. Calcium supplements with or without vitamin D and risk of cardiovascular events: reanalysis of the Women’s Health Initiative limited access dataset and meta-analysis. BMJ 2011; DOI: doi:10.1136/bmj.d2040. Available at: http://www.bmj.com.
2. Bolland MJ, Avenell A, Baron JA, et al. Effect of calcium supplements on risk of myocardial infarction and cardiovascular events: Meta-analysis. BMJ 2010; 341:c3691. Abstract
3. Abrahamsen B, Sahota O. Do calcium plus vitamin D supplements increase cardiovascular risk? BMJ 2011; doi10.1136/bmj.d2080. Available at: http://www.bmj.com.