29 กุมภาพันธ์ 2567

รบกวนช่วยสอนนักเรียนผู้เฒ่าหน่อยนะ เรื่องการวิเคราะห์ผลการวิจัย

(ภาพวันนี้ / พวงครามยามเช้า)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

พื้นที่บล็อกวันนี้จะใช้ตอบคำถามแพทย์เกี่ยวก้บวิธีวิเคราะห์ผลวิจัย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ศัพท์แสงทางแพทย์มาก ท่านผู้อ่านที่ไม่ชอบยุ่งกับศัพท์แสงทางแพทย์และไม่ชอบเรื่องอ่านยากให้ผ่านบทความนี้ไปเลยนะครับ

เรียนหมอสันต์

ผมเป็นแพทย์ที่ยังวิเคราะห์งานวิจัยไม่ค่อยเป็น พอจะรู้ว่าแหล่งข้อมูลที่จะเอามาอ้างอิง เช่น NIH  Pubmed หรือ journals ที่เป็นทางการต่างๆ  ว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้  แต่ส่วนมากก็อ่านเฉพาะ conclusion    แล้วจะหาความเห็นวิจารณ์งานวิจัยนี้ (เรียก citation รึเปล่า) เพื่อเรียนรูู้เพิ่มเติม ก็หาไม่เป็น 

อยากให้หมอสันต์แนะนำคร่าวๆว่าเวลาดูงานวิจัยเหล่านี้ ดูอะไรบ้าง แล้วดูความเห็นต่อpaperนี้ ดูที่ตรงไหน  ดููpaper อื่นที่เปรียบเทียบกันนี่จะหาที่ไหน

ตอนเทรน resident ผมก็ไม่ค่อยได้เรียนการอ่าน-วิเคราะห์paperอะไรเท่าไหร่  อยากพัฒนาตัวเองเรื่องนี้ด้วย  คือถ้าจะถามบ่อยๆ ก็ไม่โตซักที ก็เลยอยากอ่านเองให้พอเข้าใจบ้าง ยกตัวอย่างกระทู้นี้นะ อยากให้หมอสันต์ช่วยวิเคราะห์หน่อย ผมจะได้เรียนไปด้วย  เขาบอกว่าผลข้างเคียงวัคซีน mRNA ต่อกล้ามเนื้อหัวใจมีสูงมากเกินกว่ารับได้ ผมอ่านแล้วก็วิเคราะห์ไม่ได้ ว่าpaperน่าเชื่อถือได้ไหม? จุดเด่น จุดด้อยอยู่ตรงไหน?  paperอื่นในเรื่องนี้ ผลตรงกันไหม?  มีผู้วิจารณ์paperนี้อย่างไรบ้าง?  ข้อสรุปของผู้ตั้งกระทู้ ถูกต้องไหม? เป็นต้น  

Aims

To explore the incidence and potential mechanisms of oligosymptomatic myocardial injury following COVID-19mRNA booster vaccination

Methods and results

Hospital employees scheduled to undergo mRNA-1273 booster vaccination were assessed for mRNA-1273vaccination-associated myocardial injury, defined as acute dynamic increase in high-sensitivity cardiac troponin T(hs-cTnT) concentration above the sex-specific upper limit of normal on day 3 (48–96 h) after vaccination without evidence of an alternative cause. To explore possible mechanisms, antibodies against interleukin-1receptor antagonist(IL-1RA), the SARS-CoV-2-nucleoprotein (NP) and -spike (S1) proteins and an array of14 inflammatory cytokines were quantified. Among 777 participants (median age 37 years, 69.5% women), 40 participants (5.1%; 95% confidence interval [CI] 3.7–7.0%) had elevated hs-cTnT concentration on day 3 and mRNA-1273 vaccine-associated myocardial injury was adjudicated in 22 participants (2.8% [95% CI1.7–4.3%]). Twenty cases occurred in women (3.7%[95% CI 2.3–5.7%]), two in men (0.8% [95% CI 0.1–3.0%]). Hs-cTnT elevations were mild and only temporary. No patient had electrocardiographic changes, and none developed major adverse cardiac events within 30 days(0% [95% CI 0–0.4%]). In the overall booster cohort, hs-cTnT concentrations (day 3; median 5, interquartile range [IQR] 4–6 ng/L) were significantly higher compared to matched controls (n=777, median 3 [IQR 3–5]ng/L,p<0.001). Cases had comparable systemic reactogenicity, concentrations of anti-IL-1RA, anti-NP, anti-S1,and markers quantifying systemic inflammation, but lower concentrations of interferon (IFN)-λ1(IL-29) and granulocyte-macrophage colony-stimulating factor (GM-CSF) versus persons without vaccine-associated myocardial injury

Conclusion

mRNA-1273 vaccine-associated myocardial injury was more common than previously thought, being mild and transient, and more frequent in women versus men. The possible protective role of IFN-λ1(IL-29) and GM-CSF warrant further studies

รบกวนช่วยสอนนักเรียนผู้เฒ่าหน่อยนะ  ถือว่าเอาบุญ เพราะที่อยากรู้ก็มีเป้าหมายเดียวคือจะได้ไปช่วยชุมชนได้มากขึ้น 

…………………………………………………………..

ตอบครับ

วันนี้เอาแค่วิเคราะห์เปเปอร์ที่ส่งมาให้ก่อนนะ  

ขั้นที่ 1. ก่อนวิเคราะห์งานวิจัยนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า symptom ของโรคหัวใจที่ใช้ในงานวิจัยทั่วไปคือ MACE หรือ Major Adverse Cardiac Events แปลว่าจุดจบที่เลวร้ายของโรค ซึ่งตรวจวัดได้เป็นรูปธรรมห้าอย่าง คือ (1) stroke (2) กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (3) หัวใจล้มเหลว (4) มีอาการทางหัวใจหลอดเลือดใดๆจนถูกรับไว้รักษาในรพ. (5) ตาย  

ขั้นที่ 2. มาเริ่มที่เป้าหมายการวิจัย ซึ่งวางเป้าไว้สองอย่างว่า

(1) เพื่อดูว่าผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีน mRNA บูสเตอร์โด้สจะมีอุบัติการณ์เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบระดับ asymptomatic มากเท่าใด 

(ตรงนี้ต้องเข้าใจการใช้ศัพท์นิดหน่อยว่า oligosymptomatic เท่ากับ asymptomatic การเลือกใช้ศัพท์นี่ก็เป็นวิธี “อำ” คนอ่านวิธีหนึ่ง)  

(2) เพื่อดูว่าจะมีลางบอกอะไรที่อาจชี้ไปถึงกลไกการเกิดบ้าง

(หมายเหตุ1. ถ้าเป็นผม แค่อ่านวัตถุประสงค์สองข้อนี้ผมก็ทิ้งเปเปอร์ไปไม่อ่านต่อแล้ว เพราะการไปประเมิน asymptomatic myocardial injury ซึ่งหมายถึงเอ็นไซม์หัวใจขึ้นโดยไม่มีอาการอะไรนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะไปทำเลย เพราะคนทั่วไปแค่ไปวิ่งออกกำลังกาย หรือเป็นหวัด เอ็นไซม์ก็ขึ้นแล้ว  ผมจึงเดาเอาจากช่องว่างในระหว่างบรรทัด (read between the lines) ว่าเดิมงานวิจัยนี้มุ่งค้นหากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่มีอาการ (MACE) แต่เมื่อผลออกมาพบว่าไม่มีเลย คือศูนย์เคส ก็เลยปรับเป้าหมายการวิจัยเสียใหม่เพื่อให้มีอะไรรายงานออกมาน่าสนใจบ้าง)

ขั้นที่ 3. แล้วมาประเมิน methodology ซึ่งจะบอกถึงระดับชั้นความเชื่อถือได้ของหลักฐาน (level of evidence) ด้วย งานวิจัยนี้ออกแบบให้เป็นงานวิจัยในคน ในรูปแบบ match case control study ซึ่งมีระดับชั้นค่อนไปทางต่ำ (หากเรียงตามลำดับก็คือ RCT, >prospective cohort study > match case control study > case series > cases report > animal and lab study) ข้อสรุปใดๆที่ได้จากหลักฐานระดับนี้เอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้น้อยเพราะมันไม่น่าเชื่อถือ

หมายเหตุ2 ถ้าเป็นผม เมื่อประเมินมาถึงตรงนี้ผมก็จะทิ้งและเลิกอ่านต่อเช่นกัน เพราะการจะวิจัยดูอุบัติการณ์กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากวัคซีนมันต้องเป็นการเปรียบเทียบแบบ RCT เพื่อเปรียบการเกิดในคนฉีดวัคซีนจริงกับฉีดวัตซีนหลอก หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นการวิจัยแบบตัดขวางเอาข้อมูลจากคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนมาดูอัตราการเกิดเฉพาะภายในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนด้วยกันเท่านั้นไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใครอื่น แต่วิธีวิจัยแบบ match case control ในกรณีนี้เจตนาคือจะเปรียบเทียบอัตราการเกิดมีเอ็นไซม์หัวใจสูงขึ้นหลังการฉีดวัคซีนว่าจะมากหรือน้อยกว่ากลุ่มคนอื่นในอดีตซึ่งถูกเจาะเลือดดูระดับเอ็นไซม์หัวใจด้วยเหตุอื่น เออ.. จะเปรียบไปทำไมละครับ เหมือนเอาหมากับไก่มาเปรียบกัน มันจะได้อะไรขึ้นมา

วันนี้วิเคราะห์ให้ดูถึงตรงนี้ก่อนนะ เพราะต้องไปกินข้าวแล้ว ดีใจครับที่มีแพทย์สนใจงานวิจัย วันหลังค่อยคุยกันอีก

จดหมายฉบับที่ 2

ในภาพที่ส่งมานี้ สามต้วบนยอดปิรามิดคืออะไร

ตอบครับ2

สามตัวบนยอดนั้นเป็นประเด็นการประเมินคุณภาพของหลักฐาน (quality of evidence) ไม่เกี่ยวกับที่ผมเรียงลำดับมาก่อนนั้นซึ่งเป็นประเด็นระดับชั้นความเชื่อถือได้ของหลักฐาน (level of evidence) แต่วันนี้เราพูดถึงตรงนี้หน่อยก็ดี

การประเมินคุณภาพหลักฐาน (Evidence Appraisal) มีสามระดับ คือ

1..Article synopsis ก็คือการประเมินคุณภาพเปเปอร์เป็นรายชิ้น ซึ่งอาศัยหลายมุมในการประเมิน เช่น (1) การออกแบบงานวิจัย (methodology) (2) ความเที่ยงตรงการวิเคราะห์สถิติ (3) การสรุปผลวิจัยที่ตรงประเด็น (4) คอมเมนต์จากการทบทวนของ reviewer หลายคน (5) ระดับและคุณภาพของวารสารที่รับตีพิมพ์ (6) การมีผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นต้น 

2.. Evidence synthesis คือการปะติดปะต่อหลักฐานย่อยๆแบบจิ๊กซอว์ให้เห็นความสอดคล้องต้องกันโดยรวม เพราะหลักฐานย่อยต้องไม่ขัดแย้งกับหลักฐานใหญ่ที่ปะติดปะต่อเห็นภาพใหญ่ชัดมาก่อนหน้านั้นแล้ว

3.. Systemic Review ก็คือการเอาข้อมูลเรื่องเดียวกันจากหลักฐานวิจัยย่อยๆทั้งหมดที่มีอยู่มากมายมารวมกันแล้ววิเคราะห์ใหม่เพื่อดูทิศทางของข้อมูลในภาพใหญ่ในเชิงสถิติ เป็นการทำ evidence synthesis ในระดับวิเคราะห์ออกมาเป็นตัวเลข เรียกอีกอย่างว่า meta analysis ซึ่งในด้านหนึ่งหากทำอย่างเที่ยงตรงจะเป็นการให้ข้อมูลที่ให้ความเชื่อถือได้สูงสุดเท่าที่ข้อมูลทั้งหมดที่โลกนี้มีอยู่จะอำนวย

แต่การทำ meta analysis ในชีวิตจริงบางครั้งทำกันแบบขี้โกง คือเลือกหยิบเอาแต่งานวิจัยย่อยที่ตัวเองชอบมาวิเคราะห์ คัดแยกที่ตัวเองไม่ชอบทิ้งโดยอาศัยเกณฑ์คัดทิ้งต่างๆที่ตั้งขึ้นเอง ทำให้เมตาอานาไลซีสเป็นวิธีหลอกลวงวิธีหลักที่ใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้ในวงการแพทย์ (เห็นได้ชัดมากช่วงโควิด)

มีคำถามอะไรก็ค่อยเขียนมาอีกได้นะครับ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

28 กุมภาพันธ์ 2567

เรื่องไร้สาระ (39) ต้องให้ได้บรรยากาศอ้อยสร้อย

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เมื่อตอนขึ้นบ้านใหม่ในกทม.เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน บ้านออกแบบให้ห้องโถงมีที่แขวนภาพใหญ่ ผมไปเที่ยวงานบ้านและสวน ซื้อภาพพิมพ์คัดลอกภาพเขียนของฝรั่ง ไม่ใช่ภาพเขียนจริง ซื้อมาภาพหนึ่ง ราคาราวห้าพันบาท เอามาแขวนไว้ ใครผ่านไปมาที่มารยาทดีหน่อยก็มองแล้วเงียบ แต่ที่กันเองก็วิจารณ์ตรงๆว่าภาพไม่สวย ผมจึงบอกหมอสมวงศ์ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาไว้ผมว่างจะเขียนภาพเองมาใส่แทน ผมอยากจะใส่ภาพที่ผมดูแล้วหายคิดถึงบ้านมวกเหล็ก ซึ่งเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นเสมอเมื่อมาอยู่บ้านที่กทม.นานหลายวัน

“เดี๋ยว” ของผมใช้เวลายี่สิบกว่าปี เมื่อขึ้นปีใหม่ปีนี้ถึงจะยุ่งอยู่แต่ผมก็มุ่งมั่นว่าปีนี้ต้องวาดภาพไปติดบ้านให้ได้ เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมย์ ผมตั้งขาตั้งและเฟรมผ้าใบขนาดใหญ่ไว้กลางสนาม แต่เกิดฝนตกกลางฤดูหนาวต้องเก็บขาตั้งผ้าใบเข้าแอบใต้ชายคา จิ้งจกขี้ใส่ผ้าใบเกิดเป็นรอยด่างหลายจุด ลมพายุต้นฤดูร้อนพัดผ้าใบปลิว ต้องย้ายไปไว้ในห้องกระจก วันหนึ่งหลังจากเสร็จงานสอนแค้มป์ ผมไปกินข้าวเย็นที่บ้านเพื่อน ผมเปรยกับเพื่อนที่เป็นศิลปินสมัครเล่นว่าวันพรุ่งนี้ผมจะวาดรูปสีอะคริลิกบนผ้าใบผืนใหญ่ที่ผมตั้งไว้แล้ว จะมาจอยด้วยกันไหม เธอพยักหน้า งานวาดรูปครั้งใหญ่ที่สุดในรอบยี่สิบปีจึงเกิดขึ้น

ผมเริ่มต้นด้วยเอาภาพถ่ายจริงที่ถ่ายภูเขาหน้าบ้านเก็บไว้ในไอโฟนมาเปิดไว้ดู แล้วร่างลงไปบนผ้าใบด้วยดินสอ แล้วลงสีภูเขาไปได้สองสามลูก เพื่อนก็มาถึง

ภาพถ่ายต้นแบบ ถ่ายจากสนามหน้าบ้าน

เธอใช้พู่กันขนาดใหญ่ที่เธอพกมาด้วยป้าย ฟึบ ฟึบ ฟึบ ป้ายพลางร้องเพลงไปพลาง ผมจึงต้องถอยมาเป็นผู้ชมเพราะกล่าวอย่างไม่เกรงใจเธอวาดรูปสีอะคริลิกเป็นแต่ผมวาดไม่เป็น เธอเป็นศิลปินตัวจริง ผมเป็นตัวสตั๊นท์ วันนี้เรามีกันทั้งหมดสี่คน ผม และศิลปินตัวจริง และอีกสองคนเป็น art critiques คือเป็นนักวิจาร์ณงานศิลป์ ศิลปินตัวจริงว่า

“มันต้องป้ายสีลงอุดรูผ้าใบให้หมดก่อน ไม่งั้นภาพจะเห็นลายผ้าไม่สวย”

ว่าแล้วเธอก็ป้ายสีเป็นรูปต่างๆต่ออึก ฟึบฟับ ฟึบฟับ ฟึบฟับ

ป้ายเร็วฟึบ ฟึบ ผมไม่ว่า เปลี่ยนสีเป็นต้นหน้าร้อนก็โอเค. แต่ผมต้องการภาพที่ให้บรรยากาศอ้อยสร้อยนะ”

นักวิจารณ์ศิลป์อีกท่านแนะนำว่า

“ข้างหลังภูเขาลูกหน้า มันต้องมีหมอกหรือพื้นที่ขาวกันไว้ก่อน ก่อนที่จะลงสีเนื้อภูเขาลูกหลัง ไม่งั้นมันไม่มีความลึก”

ทำให้ศิลปินชะงักนิดหนึ่ง แล้วลดความเร็วลง จนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอก็ถอยออกมาเอียงคอดู ถามว่า

“อ้อยสร้อยพอยัง” ผมบอกว่า

อ้อยสร้อย พอรึยัง?

“ยัง เดี๋ยวผมจะทำภูเขาลูกเล็กๆไกลเพิ่มขึ้น”

ว่าแล้วผมก็ขยับหยิบพู่กันจุ่มสี นักวิจารณ์ศิลป์ท่านหนึ่งถามผมด้วยความกังวล

“คุณหมอจะวาดรูปภูเขาเพิ่มที่ข้างหลังอีกหรือครับ” ผมตอบว่า

“ไม่ต้องห่วง ผมจะใช้สีขาวใส่ลงบนพื้นที่ก้อนเมฆเพื่อตีขอบให้เห็นภูเขาลูกเล็กแต่ไกลเหมือนโผล่ขึ้นมาเหนือทะเลหมอก”

หลังจากใช้สีขาวตัดขอบของท้องฟ้าตอนล่าง ให้เห็นภูเขาเล็กๆไกลๆลอยขึ้นมาในหมอก

ว่าแล้วผมก็ลงมือ แล้วทุกคนก็ตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์ในประเด็นความอ้อยสร้อย นี่ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ศิลปินบอกว่า

“พี่ว่าเราน่าจะจบแค่นี้นะ มันพอดีแล้ว ไม่ต้องทำสนามหญ้า” ผมตอบว่า

เห็นแมะ ขอบสนามหญ้ามันเป็นเส้นตรงเอียงๆ

“ไม่ได้ เราต้องทำสนามหญ้า เพราะผมต้องการดูภาพแล้วให้หายคิดถึงที่นี่ สนามหญ้าเป็นที่ผมยืนดูภาพ” ว่าแล้วผมก็เอาดินสอร่างเป็นขอบสนามหญ้าขึ้น

แล้วเราก็ตกลงเดินหน้ากันต่อไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจกันเท่าไหร่นัก จนในที่สุดนักวิจารณ์งานศิลป์อีกท่านหนึ่งทนไม่ไหว

“สนามหญ้ารูปทรงโค้งมนอย่างนี้มันไม่เข้าท่า ขอบมันควรเป็นแนวตรงเฉียงๆดีกว่า ดูเป็นธรรมชาติกว่า” ไม่พูดเปล่า เธอเอามือชี้ไปที่ภาพต้นแบบอีกภาพหนึ่งซึ่งมองเห็นขอบสนามหญ้าเป็นแนวตรงแต่เอียงๆนิดๆ ผมแย้งว่า

ไม่เชื่อลองขึ้นยืนบนเก้าอีแล้วมองออกไปสิ สนามมันกลมนะ

“ไม่ได้ เรากำลังเอาสองภาพมาต่อกันนะ การจะมองเห็นสนามหญ้าด้วย เห็นภูเขาสลับซับซ้อนด้วย มันต้องเป็นการมองแบบเปอร์สะเป็คตีฟ เหมือนเรามองลงมาจากโดรน ซึ่งเราจะเห็นของสนามหญ้าเป็นทรงกลม เหมือนภายถ่ายจากเลนส์ตาปลา ไม่เชื่อของขึ้นไปยืนบนเก้าอี้นี้แล้วมองไปที่สนามสิ”

ตอนนี้เสียงคัดค้านซาลงแล้ว เพราะเวลาได้ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งชั่วโมง ใกล้เวลากินข้าวเที่ยง ตกลงเราก็เดินหน้าไปกับสนามทรงกลมที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์งานศิลป์นัก

แต่โดยอาชีพ นักวิจารณ์เขาอยู่นิ่งๆนานๆไม่ได้หรอก

“ขอบสนามเนี่ยมันมีสีขาวของผ้าใบค้างอยู่นะ น่าจะใส่เงาทึบแบบใต้โคนต้นไม้ลงไป” ผมแย้งว่า

“ทิ้งให้มันขาวอย่างนั้นดีแล้ว เพราะขอบสนามมันเหมือนปากเหว พวกต้นไม้อยู่ห่างออกไป ถ้าเราไปใส่เงาต้นไม้ที่ขอบสนามมันจะไม่ใช่ภาพที่มองจากมุมสูงแล้ว”

เกือบจบแล้ว ศิลปินอดไม่ได้ เสนอว่า

“พี่ว่าใส่ดอกไม้ตามขอบสนามหน่อยดีไหม่” ผมเองพอใจและมีความสุขกับภาพที่ได้แล้ว จึงว่า

“ไม่ดีหรอกครับ เราต้องการให้ความอ้อยสร้ายของภูเขาเป็นจุดเด่น ไปใส่อะไรรุงรังข้างหน้าก็จะไปเปลี่ยนอารมณฺ์อ้อยสร้างของภาพเสียฉิบ”

แต่ศิลปินยังไม่หายคันไม้คันมือ

“พี่ขอใส่ดอกเสจสีม่วงนั่นหน่อยละกัน” เธอเขี่ยสองสามทีดอกเสจสีม่วงก็ขึ้นมาที่ขอบสนามจนผมชมเปาะว่าเจ๊งจริงๆ

“โอเค.ครับพี่ จบกิจสมประสงค์แล้ว มาถึงโมเมนต์ออฟทรูทแล้ว พี่เซ็นชื่อก่อน ผมจะแอบอ้างเซ็นตามข้างหลังพี่”

แต่ศิลปินยังไม่หายคันมือ

จบกิจ บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ในเวลา 3 ชั่วโมง

“เดี๋ยวพี่ใส่ก้านให้ดอกเสจก่อน มันยังไงอยู่ อยู่ๆก็มีดอกไม้โผล่ขึ้นมา ไม่มีก้าน” ผมรีบท้วงว่า

“ไม่ต้อง พี่ไม่ต้อง ภาพสวยแล้วพอแล้ว เราต้องรู้ว่าเราควรจบเมื่อไหร่”

แต่ช้าไป เธอใส่ก้านดอกเสจไปแล้วเรียบร้อย ผมเผลอปากไม่ดีวิจารณ์ไปตรงๆว่า

“เห็นไหม พอพี่ใส่ก้านแล้วภาพเสียเลย” ทำเอาเธอรู้สึกผิดและว่า

“เดี๋ยวพี่เอาก้านออกหน่อย” ผมรีบห้าม

โอ๊ย..ย ไม่ต้อง ไม่ต้อง พอแล้ว ดีแล้ว แฮปปี้แล้ว เที่ยงพอดี เราใช้เวลาทำภาพนี้ไปสามชั่วโมง ไปกินข้าวกันดีกว่า” พอดีกับที่คนหนึ่งบ่นว่าหิวข้าว ทำให้วาระการประชุมเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอาหารกลางวันแทน

“จะกินอะไรดีละ จะให้แกร๊บเอามาส่งไหม”

“ไม่ต้อง กินของที่มีอยู่นั่นแหละ”

“ไม่มีอะไรกิน มีแต่น้ำปั่นถั่วกับกุยช่าย”

“เออ นั่นแหละ”

แล้วคณะสี่สหายอันประกอบด้วยศิลปินและนักวิจารณ์งานศิลป์ก็ตั้งวงอาหารกลางวันที่ประกอบด้วยน้ำปั่นถั่วคนละแก้ว และขนมกุยช่ายคนละสองชิ้น หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้ทำงานหนักมาสามชั่วโมงเต็ม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 กุมภาพันธ์ 2567

การแฟกับการเกิดกระดูกพรุนและกระดูกหัก สนามฝึกแยกแยะชั้นของหลักฐาน

(ภาพว้นนี้ / โสกน้ำ)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอ

มีคุณหมอ … ออกคลิปเรื่องไม่ควรดื่มกาแฟเพราะจะทำให้กระดูกพรุนกระดุกหัก มันเป็นความจริงหรือคะ ขอรบกวน

……………………………………………

ตอบครับ

การอ่านงานวิจัยกาแฟเป็นสนามฝึกการแยกแยะชั้นของหลักฐานที่ดี เพราะงานวิจัยเกี่ยวกับกาแฟมีมาก โดยมีทั้งระดับต่ำและระดับสูง ระดับต่ำคืองานวิจัยในห้องทดลองและสมมุติฐานเชิงสรีรวิทยา เช่นกาแฟลดการดูดซึมแคมเซี่ยมจากลำไส้ หรือกาแฟเพิ่มการขับแคลเซียมทิ้งในปัสสาวะ แล้วเอาข้อมูลแบบนั้นมา “อนุมาณ” (แปลว่าเดา) เอาว่าจะทำให้กระดูกพรุน แบบนี้เรียกว่า extrapolation เป็นหลักฐานระดับต่ำที่ยังเอามาใช้แนะนำการดื่มหรือไม่ดื่มกาแฟในคนจริงๆยังไม่ได้ ในบล็อกของผมจะไม่พูดถึงและไม่วิเคราาห์หลักฐานระดับต่ำเลย เพราะเสียเวลาผู้อ่าน วิเคราะห์ไปก็แค่รู้ไว้ใช่ว่า เอาไปใช้ประโยชน์จริงยังไม่ได้

งานวิจัยกาแฟระดับสูงขึ้นมาคืองานวิจัยงานวิจัยแบบตัดขวางในคนจริงๆตัวเป็นๆเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟกับการเกิดกระดูกพรุนกระดูกหักในคนจริงๆจำนวนนับเป็นแสนๆคน อย่างหลังนี้เป็นงานวิจัยระดับสูงขึ้นมาพอที่จะเอามาแนะนำการดื่มกาแฟในคนได้ ในบล็อกของผมจะพูดถึงงานวิจัยแบบหลังนี้เท่านั้น จะไม่พูดถึงสมมุติฐานหรือทฤษฎีทางสรีวิทยาใดๆทั้งสิ้น

เมื่อราวปี 2015 มีงานวิจัยขนาดใหญ่เรื่องนี้อยู่สองงาน

งานวิจัยหนึ่ง[1] เป็นการยำรวมข้อมูลงานวิจัยย่อย (เมตาอานาไลซีส) นับถึงปี 2014 ตีพิมพ์ในวารสาร Osteoporos Int. สรุปผลว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟกับการเกิดกระดูกพรุน

อีกงานวิจัยหนึ่ง[2] เป็นการวิจัยยำรวมข้อมูลแต่เลือกเอามาแต่งานวิจัยที่ทำวิจัยแบบแบ่งกลุ่มตามไปดูข้างหน้าเท่านั้น (prospective cohort study) ซึ่งถือว่าเป็นระดับชั้นของการวิจัยที่สูงกว่า ได้ผลสรุปว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับกระดูกพรุนกระดูกหักเช่นกัน

จากนั้นก็มีงานวิจัยกระป๊อกกระแป๊กทะยอยออกมาเป็นจำนวนมาก บ้างก็ว่ากาแฟสัมพันธ์กับกระดูกหักกระดูกพรุน บ้างก็ว่าไม่ คอกาแฟพออ่านเจอฉบับที่บอกว่ามีความสัมพันธ์กันก็กระต๊ากกันที เป็นเช่นนี้มาช้านาน

จนล่วงมาถึงปี 2022 วารสาร Osteoporos Int. ได้ตีพิมพ์ผลวิจัยแบบยำรวมข้อมูลครั้งใหญ่อีกครั้ง [3] คราวนี้ได้กลุ่มตัวอย่างใหญ่กว่าเดิมคือราวสามแสนคน เพราะรวบเอางานวิจัยหลายระดับเข้ามาอยู่ในเข่งเดียวกันแล้ววิเคราะห์ใหม่ ซึ่งได้ผลสรุปว่าการดื่มกาแฟมากสัมพันธ์กับการเกิดกระดูกพรุนน้อย (เป็นงั้นไป หิ หิ) แต่ยังไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มกาแฟกับการเกิดกระดูกหักได้เพราะคุณภาพของงานวิจัยที่เอามายำไม่เท่ากัน หมายความว่าหากเอาแต่งานวิจัยดีๆมาวิเคราะห์จะไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับกระดูกหัก แต่หากเอางานวิจัยระดับต่ำๆมาร่วมด้วยจะพบความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับกระดูกหัก ทำให้ตรงความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับกระดูกหักนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้

ต่อมาเมื่อปีกลาย 2023 ก็ได้มีการยำรวมงานวิจัยขนาดใหญ่อีกรอบ[4] คราวนี้รวมคนได้มากถึง 508,312 คน เป็นกลุ่มตัวอย่างใหญ่ที่สุด เป้าหมายคือหาความสัมพันธ์ระหว่างคาเฟอีน(ทั้งจากชาและกาแฟ) และการเกิดกระดูกพรุนกระดูกหัก ก็ได้ผลสรุปว่าไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างกาแฟกับกระดูกหัก

ล่าสุด มีการตีพิมพ์งานวิจัยแบบนี้อีกงานหนึ่ง[5] เป็นงานวิจัยการสำรวจสำมะโนสุขภาพประชากรสหรัฐฯ (NHANES) เพิ่งตีพิมพ์ในเดือนกพ.ปีนี้เอง คือไม่กี่สัปดาห์มานี้ เป็นการวิจัยแบบตัดขวางดูความสัมพันธ์การดื่มกาแฟกับกระดูกพรุนกระดูกบางแล้วสรุปผลว่าดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 2 แก้วสัมพันธ์กับการมีความแน่นกระดูกดีกว่า (ดีกว่านะ) เมื่อเปรียบเทียบกับการดื่มเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์อย่างอื่น

กล่าวโดยสรุป เรื่องกาแฟกับกระดูกพรุนกระดูกหักนี้ มาถึงวันนี้ยังสรุปความสัมพันธ์แน่ชัดไม่ได้ หรือพูดอีกอย่างได้ว่า นับถึงวันนี้ข้อมูลในภาพใหญ่บ่งชี้ว่าการดื่มกาแฟไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดกระดูกพรุนและกระดูกหัก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Sheng, J., et al., Coffee, tea, and the risk of hip fracture: a meta–analysis. Osteoporos Int, 2014. 25(1): p. 141–50.
  2. Li S, Dai Z, Wu Q. Effect of coffee intake on hip fracture: a meta-analysis of prospective cohort studies. Nutr J. 2015 Apr 18;14:38. doi: 10.1186/s12937-015-0025-0. PMID: 25928220; PMCID: PMC4412140.
  3. Zeng, X., Su, Y., Tan, A. et al. The association of coffee consumption with the risk of osteoporosis and fractures: a systematic review and meta-analysis. Osteoporos Int 33, 1871–1893 (2022). https://doi.org/10.1007/s00198-022-06399-7
  4. Chen CC, Shen YM, Li SB, Huang SW, Kuo YJ, Chen YP. Association of Coffee and Tea Intake with Bone Mineral Density and Hip Fracture: A Meta-Analysis. Medicina (Kaunas). 2023 Jun 20;59(6):1177. doi: 10.3390/medicina59061177. PMID: 37374383; PMCID: PMC10301353.
  5. Xu J, Zhai T. Coffee Drinking and the Odds of Osteopenia and Osteoporosis in Middle-Aged and lder Americans: A Cross-Sectional Study in NHANES 2005-2014. Calcif Tissue Int. 2024 Feb 17. doi: 10.1007/s00223-024-01184-6. Epub ahead of print. PMID: 38367050.
[อ่านต่อ...]

23 กุมภาพันธ์ 2567

ผลิตภัณฑ์แทนเกลือ (Salt Substitute) ของดีสำหรับผู้สูงอายุที่ความดันสูงแต่ขาดเค็มไม่ได้

(สำหรับท่านที่อ่านทาง fb กรุณาคลิกภาพข้างล่าง)

ก่อนตอบคำถามวันนี้หมอสันต์ขอป่าวประกาศเป็นการโฆษณาคั่นว่าผมจะเริ่มทำรายการตอบปัญหาสุขภาพแบบ LIVE ครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 26 กพ. 67 เวลา 18.00-19.00 น. คือจะเป็นการตอบคำถามสดๆทางออนไลน์วิดิโอคอล และโทรศัพท์ ซึ่งสามารถชมได้ทั้งทางยูทูบ เฟซบุ้ค หาชมที่ไหนไม่ได้ก็มาชมที่เฟซบุ้คเพจของหมอสันต์นี่ก็ได้ ท่านที่มาชมแบบ LIVE ไม่ทันก็มาชมแบบ was LIVE (แปลว่าแบบแห้ง) ภายหลังก็ได้ รายการนี้ผมตั้งใจจะทำต่อเนื่องทุกวันจันทร์ที่ 2 และจันทร์ที่ 4 ของทุกเดือน ตลอดไปจนกว่าแรงจะหาไม่ ช่วงไหนไปเทียวก็งด เป็นรายการให้ความรู้สุขภาพแบบองค์รวมเนื้อๆ ไม่มีการขายของใดๆทั้งสิ้น

(ภาพวันนี้ / ดอกกระพี้จั่น)

คุณหมอสันต์ที่เคารพ

คุณแม่อายุ 74 ปีเพิ่งเริ่มเป็นความดันเลือดสูง หมอให้กินยาลดความดันสองตัว แต่คุณแม่ไม่ยอมกิน ท่านไม่เชื่อหมอแต่เชื่อตัวเองมากกว่า อยากปรึกษาคุณหมอว่าจะมีอะไรอื่นมาช่วยรักษาท่านแทนยาได้ไหมคะ

……………………………………………..

ตอบครับ

ผมพูดเรื่องการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาไปหลายครั้งมากแล้ว ทำเป็นวิดิโอก็มี ทุกครั้งผมเน้นสี่เรื่องหลักคือ (1) ลดน้ำหนักถ้าอ้วน (2) กินพืชผักผลไม้มากๆ (3) ออกกำลังกาย (4) ลดเกลือ

วันนี้ผมจะขอพูดถึงแต่ประเด็นสุดท้ายคือการลดเกลือโซเดียมในอาหาร ซึ่งหากทำไม่สำเร็จผมแนะให้ใช้ผลิตภัณฑ์แทนเกลือ (Salt Substitute) ซึ่งมีขายดาดดื่นในบ้านเราแทน คำแนะนำของผมมีพื้นฐานจากงานวิจัยใหม่ๆที่ทำอย่างดีรายการหนึ่งนี้ชื่อ DECIDE-Salt เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร JACC โดยเขาเอาผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราจีนที่ยังไม่ได้เป็นโรคความดันเลือดสูงและไม่ได้กินยาลดความดันจำนวน 611 คนมาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารที่ปรุงด้วยเกลือจริงๆตามปรกติ อีกกลุ่มหนึ่งให้กินอาหารที่ปรุงด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนเกลือ หรือ Salt Substitute (ซึ่งมีส่วนผสมของ เกลือโซเดียมคลอไรด์ 62.5% เกลือโปตัสเซียมคลอไรด์ 25% เป็นของแต่งรสเสีย 12.5%) ให้กินอาหารแบบนี้เป็นเวลานานสองปี ผลวิจัยพบว่ากลุ่มที่กินผลิตภัณฑ์ทดแทนเกลือมีอุบัติการเป็นโรคความดันเลือดสูงต่ำกว่า (11.7 vs 24.3 / person-year) โดยที่ปัญหาความดันเลือดต่ำเกิดขึ้นน้อยในทั้งสองกลุ่มและไม่แตกต่างกันเลย กลุ่มที่กินเกลือจริงความดันเพิ่มขึ้นขณะที่กลุ่มกินเกลือปลอมความดันไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้ความดันเลือดตัวบนเฉลี่ยต่างกันอยู่ 8.0 มม.ปรอทเมื่อจบการวิจัย

งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานที่ดีมาก ว่าผลิตภัณฑ์ทดแทนเกลือป้องกันโรคความดันเลือดสูงในผู้สูงอายุได้ ความดันเลือดที่แตกต่างกัน 8 มม.นั้นถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับผลของยาบางตัวเช่น Enaril ลดความดันเฉลี่ยได้แค่ 5 มม.เท่านั้น ดังนั้นผมแนะนำว่าสำหรับผู้สูงอายุที่ใกล้จะเป็นหรือเป็นความดันเลือดสูงระดับไม่มากและมีความไม่ปลอดภัยจากการให้กินยา หรือไม่ยอมกินยา การใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนเกลือทำอาหารแทนเกลือเป็นวิธีที่มีแต่ได้กับได้ไม่มีอะไรเสียครับ

ก่อนจบผมขอพูดถึงสิ่งที่เขานิยมเอามาทำผลิตภัณฑ์แทนเกลือ หรือ “salt substitute” สักหน่อย คือเขาทำขึ้นมาให้มีรสเค็มเหมือนเกลือแต่มีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าเกลือของจริงหรือไม่มีโซเดียมเลย ของที่นิยมเอามาใช้แทนเกลือมีหลากหลาย ผมยกตัวอย่างให้ดูดังนี้

1.. โปตัสเซียมคลอไรด์ เป็นตัวแทนโซเดียมที่เจ๋งที่สุด ให้รสเค็มได้ใกล้เคียงกัน แต่มีผลต่อความดันเลือดไปในทางตรงกันข้ามกล่าวคือขณะที่โซเดียมเพิ่มความดัน และโปตัสเซียมลดความดัน เกลือโปตัสเซียมมีข้อพึงระวังในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังระดับที่เริ่มมีโปตัสเซี่ยมคั่งอยู่ในร่างกายแล้ว

2.. แมกนีเซียมคลอไรด์ ซึ่งก็ให้รสเค็มเหมือนกัน แถมยังเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้เป็นประจำอยู่แล้วด้วย

3.. แคลเซียมคลอไรด์ เค็มเหมือนกัน แถมใช้แทนยาเม็ดแคลเซียมที่คนชอบกินกันได้อีกต่างหาก

4.. สมุนไพรและเครื่องเทศ บดผสมกันปั่นเป็นผงเพื่อให้เกิดรสชาติจะได้ไม่ใช้เกลือมาก เช่น กระเทียม หัวหอม พริกไทยดำ ไทม์ โอเรกาโน เบซิล

5.. ผงชูรส(monosodium glutamate) ก็มีคนเอามาทำผลิตภัณฑ์ทดแทนเกลือ โดยเฉพาะหากมาจากทางญี่ปุ่น เพราะมันมีปริมาณโซเดียมน้อยกว่าเกลือ 40% และช่วยสร้างรสได้ดีกว่าเกลือที่เค็มลูกเดียวเสียอีก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Xianghui Zhang, Yifang Yuan, Chenglong Li, Xiangxian Feng, Hongxia Wang, Qianku Qiao, Ruijuan Zhang, Aoming Jin, Jiayu Li, Huijuan Li, Yangfeng Wu. Effect of a Salt Substitute on Incidence of Hypertension and Hypotension Among Normotensive AdultsJournal of the American College of Cardiology, 2024; 83 (7): 711 DOI: 10.1016/j.jacc.2023.12.013

[อ่านต่อ...]

19 กุมภาพันธ์ 2567

วัคซีนงูสวัด ฉีดกี่เข็ม ฉีดของเก่าแล้วต้องฉีดของใหม่อีกหรือเปล่า

(ภาพวันนี้ / เวลเนสวีแคร์ในเทศกาลลี่ชุน)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

อยากทราบว่าวัคซีนงูสวัดต้องนี้ต้องฉีดกี่เข็ม เพิ่งได้ฉีดแบบเดิมมาสามปีเองหมอจะฉีดอีก ต้องฉีดอีกหรือเปล่าคะ เพราะเคยอ่านคุณหมอสันต์บอกว่าเข็มเดียวตอนอายุ 60 ปีจบแล้วตลอดชีพ

………………………………

ตอบครับ

ฮี่..ฮี่ วันหลังจะเอาบทความหมอสันต์ไปใช้ ช่วยเหลือบดูวันที่เขียนหน่อยนะ เพราะหมอสันต์เขียนบทความและตอบคำถามมา 15 ปี ตอบไปแล้วสองพันกว่าคำถาม แน่นอนว่าคำถามเดิมเมื่อเวลาผ่านไปคำตอบก็เปลี่ยนไปเพราะมีหลักฐานใหม่ๆมีทะยอยออกมาลบล้างหลักฐานเก่า และคำแนะนำสากลก็ถูกเปลี่ยนเป็นระยะๆ อย่างเรื่องวัคซีนงูสวัดนี้ก็เหมือนกัน มีวัคซีนใหม่ออกมาที่ดีกว่าของเก่า ของเก่าก็ถูกยกเลิกทิ้งเซียงกงไป เอาของใหม่ออกมาฉีดแทน

กล่าวคืองานวิจัยใหม่ แม้จะไม่ได้วิจัยเปรียบเทียบประชันกันแบบแบ่งกลุ่มสู้กันหัวต่อหัว แต่ก็เป็นการวิจัยเก็บผลตรวจภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนแต่ละตัวมานานหลายปี เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้และให้ผลแน่ชัดแล้วว่าวัคซีนงูสวัดตัวใหม่ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อเป็น (live recombinant vaccine) ชื่อ Shingrix ดีกว่าวัคซีนเก่าที่ชื่อ Zostervac ด้วยประการทั้งปวง เพราะ

(1) ให้ภูมิคุ้มกันแรงกว่า หมายความว่าป้องกันการติดเชื้อได้มากกว่า ลดความรุนแรงของการติดเชื้อได้ดีกว่า

(2) ให้ภูมิคุ้มกันนานกว่า คือตามไปดูถึงอายุ 70 ปีพบว่าขณะที่วัคซีนเก่า Zostervac มีภูมคุ้มกันเหลือ 40% แต่วัคซีน Shingrex ยังมีภูมิคุ้มกันเหลือตั้ง 70%

(3) ฉีดให้คนภูมคุ้มกันบกพร่องก็ได้ ขณะที่ Zostervac ฉีดคนภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ได้

(4) ฉีดควบกับวัคซีนอื่นเช่น วัคซ๊นไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโควิด ก็ได้

(5) ผลข้างเคียงน้อยกว่า

ดังนั้นมาถึงวันนี้วัคซีนรุ่นเก่า Zostervac จึงถูกโละสต๊อคออกจากตลาดอเมริกาเกลี้ยงแล้ว เพราะศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ให้ฉีด Shingrex อย่างเดียวทุกกรณี ฉีดของเก่าเบิกไม้ได้ โดยแนะนำว่า

(1) ให้ฉีดตั้งแต่อายุ 50 ปีได้เลย ไม่ต้องรอถึง 60 ปี เพราะวัคซีนใหม่คุ้มกันได้นานแม้จะเลย 70 ปีไปแล้ว

(2) ให้ฉีดสองเข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน (หรืออย่างใกล้กันที่สุดก็ไม่น้อยกว่า 4 สัปดาห์)

(3) ให้ฉีดวัคซีนใหม่ มิใยว่าจะเคยติดเชื้องูสวัดมาก่อนหรือเปล่า เพราะวัคซีนลดการติดเชื้อซ้ำได้ด้วย

(4) กรณีเคยได้วัคซีนเก่ามาก่อน ให้ฉีดแบบเบิ้ลทับกันไปเลย มิใยว่าจะเคยฉีดวัคซีนเก่า (zostervac) มาก่อนหรือไม่ ถ้าฉีดฉีดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งนี้โดยไม่ต้องไปเจาะเลือดดูก่อนว่ามีภูมิจากวัคซีนเก่าเหลืออยู่หรือไม่ด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นคำแนะนำของ CDC ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ที่รวบรวมหลักฐานประโยชน์ของวัคซีนทั้งหลาย และเป็นหน่วยงานที่เชื่อถือได้ (หากไม่นับว่าเสียศูนย์ไปนิดหน่อยช่วงโควิด หิ..หิ) เมื่อ CDC เขาแนะนำอย่างนี้ ท่านจะทำตามเขาหรือไม่ทำ อันนั้นเป็นดุลพินิจของท่าน ตัวหมอสันต์แนะนำว่าเรื่องวัคซีนงูสวัดนี้ควรทำตามคำแนะนำของ CDC เพราะเขาให้คำแนะนำที่ดี ด้วยหลักฐานที่ดี ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Dooling KL, Guo A, Patel M, et al. Recommendations of the Advisory Committee on Immunization Practices for Use of Herpes Zoster Vaccines. MMWR Morb Mortal Wkly Rep 2018;67:103–108. DOI: http://dx.doi.org/10.15585/mmwr.mm6703a5
[อ่านต่อ...]

14 กุมภาพันธ์ 2567

ปวดเส้นประสาทใบหน้า (Trigeminal Neuralgia) จนหมอฟันถอนฟันทิ้งไปแล้วสามซี่

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียน คุณหมอสันต์

มีเรื่องขอความอนุเคราะห์ค่ะ..ตอนนี้ดิฉันมีอาการปวดใบหน้าซีกขวา เป็นมาสามปีแล้วค่ะ เริ่มจากเจ็บที่ฟัน ไปหาหมอฟัน สามที่ ถูกถอนฟัน สามซี่ ระหว่างนั้นไปหาหมอสมองทำ mri แล้วได้ยา  pregabalin มาทานก่อนอน 1 เม็ด อาการก็ดีขึ้นอยู่เกือบครึ่งปี คราวนี้มาเจ็บมากขึ้นอีก แปรงฟันไม่ได้ กินลำบากได้แต่ของเหลว ไปหาหมอสมองอีกรอบ หมอให้ยาตัวเดิมแต่เพิ่มมื้อเช้าอีกหนึ่งเม็ด อาการก็ลดลง พูดได้มากขึ้น กินอาหารนิ่มๆได้ สักเดือนหนึ่ง อาการเจ็บมามากขึ้นอีก รอบนี้นอนไม่ได้ เจ็บรบกวน กลับไปกินของเหลว เปลี่ยนอิริยาบทเจ็บ ก้มหัวเจ็บ กวาดบ้านเจ็บ..แบบนี้มีแค้มป์ที่ช่วยบำบัดมั้ยคะ หมอสมองจะส่งไปบล้อคเส้นประสาท ซึ่งจะชาไปตลอดชีวิต กับผ่าตัด..เผื่อมีทางเลือกที่มากกว่าสองทางนี้ค่ะ..

ขอโทษที่รบกวน กับขอบคุณถ้ากรุณาค่ะ

………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่า ปวดใบหน้าซีกขวา ไปหาหมอฟันสามคน ถูกถอนฟันไปสามซี่ เป็นโรคอะไร ตอบว่าเป็นโรค Trigeminal neuralgia แปลว่า “โรคปวดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้า” ซึ่งเป็นโรคที่วงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุว่ามันเกิดจากอะไร

2.. ถามว่าหมอสันต์มีแค้มป์ช่วยบำบัดไหม ตอบว่าไม่มีครับ พูดถึงแค้มป์หมอสันต์ทำเฉพาะแค้มป์ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยป้องกันหรือพลิกผันโรคของตัวเองได้ด้วยตัวเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคเรื้อรังเช่นโรคหัวใจ อัมพาต เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง อ้วน สมองเสื่อม เป็นต้น ไม่ได้ทำแค้มป์แบบบำบัดโรคแบบว่าปวดโอดโอยมาแล้วช่วยทำให้หายแบบนี้หมอสันต์ไม่สามารถครับ แต่ว่าผมทำอยู่แบบหนึ่งเรียกว่า “แค้มป์ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ” (Spiritual Retreat -SR) ซึ่งเป็นแค้มป์สอนให้จัดการความเครียดผ่านการวางความคิด ในแค้มป์จะมีสอนให้ฝึกรับมือและอยู่กับความปวดด้วยการทำใจยอมรับและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่ได้ทำให้ความปวดหายนะ แค่ให้อยู่กับมันได้ ถ้าคุณสนใจมาลองเรียนดูก็อาจจะดีกว่าอยู่เปล่าๆ

3.. การรักษาโรคปวดประสาทเส้นที่ห้านี้ นอกจากกินยา pregabalin และการผ่าตัดแล้วมีวิธีอื่นไหม ตอบว่าก็พอจะมีอยู่นะครับ ผมจะเล่าให้เห็นภาพรวมของการรักษาโรคนี้โดยสรุปนะ

3.1 การใช้ยา ซึ่งนอกจาก pregabalin ตัวเลือกก็ยังมียากันชักตัวอื่นๆทั้งหลายเช่น gabapentine, carbamazepine, oxcarbazepine นอกจากนี้การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อควบก็ช่วยได้บ้าง ตัวอย่างของยาคลายกล้ามเนื้อก็เช่น carisoprodol, metaxalone, orphenadrine, blaclofen, tizanidine, diazepam เป็นต้น ยาเหล่านี้ต้องให้แพทย์สั่ง แม้ว่าเมืองไทยนี้หากหาให้ดีบางตัวก็หาซื้อใต้โต๊ะได้แต่ผมไม่แนะนำ ไปให้แพทย์สั่งให้ปลอดภัยกว่า

3.2 การทำกายภาพบำบัด เน้นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าเช่นการยิ้ม หัวเราะ ยิงฟัน และการนวดหน้า ก็ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นเหตุร่วมของความปวดได้

3.3 การรักษาทางเลือก เช่นฝังเข็ม ก็ช่วยบรรเทาปวดในบางคนได้ดี การฝึกผ่อนคลายกับกล้ามเนื้อควบกับการฝึก “ทำใจ” ยอมรับความปวดอย่างที่หมอสันต์สอนอยู่ในแค้มป์ SR ก็ถือว่าเป็นการรักษาทางเลือกอย่างหนึ่ง

3.4 การบล็อคเส้นประสาท (nerve block) ด้วยการฉีดสารทำลายเซลล์เส้นประสาทเข้าไป ผลเสียคือจะรับความรู้สึกบนใบหน้าไม่ได้ แต่จะยังยิ้ม ยิงฟัน หรือเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้อยู่

3.5 การผ่าตัด ซึ่งก็มีหลายวิธีแล้วแต่หมอไหนถนัดทางไหน เช่นใช้กล้องส่องเข้าไปบรรจงเลาะเอาอะไรก็ตามที่บีบอัดเส้นประสาทออกให้พ้นตัวเส้นประสาท (microvascular decompression) หรือใช้รังสีทะลวงทำลายเส้นประสาท (gamma knife radiosurgery) หรือเจี๋ยน (rhizotomy) เส้นประสาทให้ขาดเป็นท่อนแล้วเอาออกไปทิ้งซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด การผ่าตัดมักมีผลบล็อคการรับความรู้สึกของเส้นประสาทได้อย่างถาวร

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ คือผมมีความเข้าใจและเห็นใจคุณมาก แค่ตัวความปวดมันก็บีบให้เราต้องหนีสุดขีดอยู่แล้วด้วยแรงบีบของสัญชาตญาณ แล้วไหนจะความคิดต่อยอดในรูปของความกลัวที่จะปวดซ้ำอีก แล้วไหนจะความคิดโกรธ ท้อแท้ สิ้นหวัง แต่ผมขอให้คุณค่อยๆตั้งหลักรับมือ ชีวิตคนเรานี้ นอกจากร่างกาย และจิตใจ แล้ว มันยังขับเคลื่อนด้วยพลังชีวิตซึ่งเป็นพลังงานในรูปแบบหนึ่ง ถ้าชีวิตมีพลังชีวิตมาก สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการใช้ชีวิตรวมทั้งความปวดก็จะลดความสามารถในการทำลายล้างเราลงไป ดังนั้นผมแนะนำให้คุณฝึกเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง ด้วยการเข้าหาธรรมชาติแสงแดด ดิน น้ำ ต้นไม้ และการสร้างพลังชีวิตจากมุมมองจิตวิญญาณ (spirituality) ผมหมายถึงการสร้างพลังชีวิตจากการเชื่อมโยงตัวเรากับสิ่งที่เราเชื่อว่าสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา สุดแล้วแต่ว่าความเชื่อของคุณจะเป็นแบบไหน ทั้งนี้รวมไปถึงการตอบคำถามตัวเราให้ได้ว่าเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าหรือมีความหมายในชีวิตเรา ชีวิตนี้เรามีศักยภาพอะไรอยู่ในตัวแล้วเราได้ใช้ศักยภาพนั้นสุดขึดความสามารถที่เรามีหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวเพิ่มพลังชีวิตให้เรา ในอีกด้านหนึ่ง ความปวดก็เป็นพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง ยุทธศาสตร์ที่ดีก็คือเราฝึกยอมรับมันแล้วใช้มันมาเสริมพลังชีวิตของเราซะเลย ลองฝึกทำดูนะ มีอะไรก็เขียนมาอีกได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

13 กุมภาพันธ์ 2567

การใช้ไฮโดรเจน (Hydrogen Therapy) รักษาผู้ป่วยโควิดที่มีอาการทางปอด

(ภาพวันนี้ / สวนรกหน้าบ้านรอวันเจ้าของว่างดายหญ้า)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

คุณหมอสันต์ครับ

ผมมีผู้ป่วยในความดูแลอายุ 90 ปีเป็นโควิดและมีอาการทางปอด อยากขอความเห็นเรื่องการใช้ Hydrogen Therapy ผมส่งลิ้งค์งานวิจัยมาให้คุณหมอแปลความให้ฟังด้วย

………………………………………………….

ตอบครับ

งานวิจัยที่คุณส่งมาให้สี่ห้าเปเปอร์นั้นส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยแบบเมตาอานาไลซีสที่ยำรวมงานวิจัยในคนในสัตว์เข้าด้วยกันทำให้แปลความหมายอะไรไม่ได้ ในเรื่องการใช้ Hydrogen therapy รักษาปอดอักเสบในโควิดนี้ ผมแนะนำให้คุณใช้สองงานวิจัยข้างล่างต่อไปนี้ก็พอ

งานวิจัยหนึ่งใช้ผู้ป่วยโควิดที่มีปัญหาปอด 64 คนสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้สูดไฮโดรเจนผสมออกซิเจน อีกกลุ่มหนึ่งสูดออกซิเจนอย่างเดียว เมื่อรักษาครบสามวันแล้วพบว่ากลุ่มสูดไฮโดรเจนไอน้อยกว่า หอบน้อยกว่า มีภาพการตรวจปอดดีขึ้นมากกว่า ขจัดไวรัสจากร่างกายได้เร็วกว่า (3.3 vs 4.1 วัน) อย่างมีนัยสำคัญ มี IL-6 (ตัวเพิ่มการอักเสบในภาวะมีเม็ดเลือดขาว) ลดลงจากเดิมมากกว่า (20.1% vs 13.1%) เม็ดเลือดขาวลิมโฟไซท์ (เซลล์ฆ่าเชื้อโรคและเพิ่มภูมิคุ้มกัน) เพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า (67.4% vs 42.4%) แต่สองตัวชี้วัดหลังนี้เป็นความแตกต่างที่ไม่มีนัยสำคัญ

งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานที่ดีมากที่สรุปได้ชัดเจนว่าการรักษาผู้ป่วยโควิดลงปอดด้วยการสูดไฮโดรเจนผสมออกซิเจนดีกว่าการให้สูดออกซิเจนอย่างเดียว ผมต้องขอบคุณทีมแพทย์จีนที่ช่วยสร้างองค์ความรู้นี้ไว้ให้แก่วงการแพทย์ของโลก เพราะงานวิจัยแบบนี้ในยามที่โรคโควิดกำลังมาแรงแบบมะรุมมะตุ้มไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ

อีกงานวิจัยหนึ่งใช้ผู้ป่วยปอดอักเสบชนิดมีพังผืดในปอด (IDL) จากทุกโรคระดับไม่รุนแรงจำนวน 87 คน สุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้สูดดมไฮโดรเจน อีกกลุ่มให้รับการรักษาด้วย NAC (n-acetylcysteine) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน แล้ววัดการหาย (resolution) ของโรคด้วยภาพซีที.พบว่ากลุ่มสูดดมไฮโดรเจนหายดีกว่า (63.6% vs 39.5%) แต่ผลวัดการทำงานของปอด (FVC, FEV1, TLC) และผลข้างเคียง ไม่ต่างกัน

ทั้งสองงานวิจัยรายงานผลข้างเคียงว่าต่ำในทั้งสองกลุ่มและไม่แตกต่างกัน ข้อมูลจากสองงานวิจัยนี้ก็มากเกินพอแล้วที่จะตัดสินใจให้การรักษาด้วยการสูดไฮโดรเจนผสมออกซิเจนแก่ผู้ป่วยในความดูแลของคุณว่าได้ประโยชน์คุ้มกับความเสี่ยงแน่นอน

ถามว่าหมอสันต์มีความเห็นเพิ่มเติมอะไรบ้าง ตอบว่าคนปูนนี้ (90 up) สิ่งที่จำเป็นคือพลังชีวิต (life energy) เพราะสูตรมันมีง่ายๆถ้าชีวิตมีพลังก็หายป่วย ถ้าชีวิตไม่มีพลังก็ตาย ดังนั้นคุณต้องดูแลผู้ป่วยด้วยมุมมององค์รวม (holistic approach) คือ กาย จิต สังคม จิตวิญญาณ เน้นที่จิตวิญญาณซึ่งเป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง ผมหมายถึง (1) การมีเป้าหมายว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร (2) การเห็นคุณค่าและความหมายของสิ่งที่ทำอยู่ (3) การได้เชื่อมต่อกับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าใหญ่กว่าและสำคัญกว่าตนเอง

นอกจากนี้ ตัวช่วยเพิ่มพลังชีวิตที่สำคัญ คือธรรมชาติ เช่น

  1. เอาผู้ป่วยออกตากแดดบ้าง เพราะแดดนอกจากจะให้วิตามินดี.ซึ่งสัมพันธ์กับการตายน้อยลงในผู้ป่วยโควิดแล้ว ยังทำให้เซลล์สร้างสารต้านอนุมูลอิสระชื่อเมลาโทนินขึ้นใช้ในเซลล์ (subcellular melatonin) โดยเฉพาะแดดที่สะท้อนจากสีเขียวของใบไม้ ซึ่งมีย่านรังสีใกล้ใต้แดง (NIR) อันเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเมลาโทนินมากเป็นพิเศษ
  2. เอาผู้ป่วยลงแช่น้ำ โดยเฉพาะน้ำอุ่น หรือน้ำในแหล่งธรรมชาติ หรืออย่างน้อยก็ shower น้ำอุ่นๆทุกวัน เพราะร่างกายนี้ประกอบด้วยน้ำเสียสองในสาม น้ำจึงเป็นพันธมิตรที่ขาดไม่ได้ในการฟื้นฟูร่างกายมนุษย์
  3. เอาผู้ป่วยลงสัมผัสดิน เหยียบดินด้วยตีนเปล่าถ้ายังทำได้ ให้ร่างกายได้อยู่ใกล้หรือสัมผัสต้นไม้ใบหญ้าบ้าง เพราะพลังชีวิตมาจากลมหายใจ ซึ่งมาจากต้นไม้แบบแลกเปลี่ยนกันและกัน เมื่อใดที่การแลกเปลี่ยนนี้ขาดไป พลังชีวิตก็หดหาย
  4. ให้กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต อันได้แก่อาหารสดในสภาพใกล้เคียงธรรมชาติ เคี้ยวไม่ได้ก็ปั่นให้กินสดๆได้
  5. อันนี้อาจจะไสยศาสตร์มากไปหน่อยนะ สมัยที่ตัวผมเองป่วยหนักสองสามปีก่อน ผมจุดเทียนไว้กลางห้อง ให้แสงและไออุ่นจากเปลวไฟของเทียนลูบไล้ไปบนร่างกายผม มันช่วยทำให้ผมหายจากตัวเย็นเฉียบแบบไร้ชีวิตชีวาได้ อย่างน้อยก็ช่วยผมทางใจ
  6. บรรยากาศก็เพิ่มพลังชีวิตได้นะ ผู้ป่วยของผมคนหนึ่งตอนป่วยเขาขอให้ลูกเมียพาเขาไปนั่งในดิสโก้เทค ถูกเมียดุว่า..จะบ้าเรอะ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องพาคนอายุ 90 เข้าดิสโก้เทค แต่อย่างน้อยการอยู่ในบรรยากาศที่มีญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมกันแชร์เรื่องตลกหรือร้องเพลงให้ฟัง พากันมานั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ หรือถ้าไม่รังเกียจการสวดก็มาสวดมนต์ให้ฟังบ่อยๆ ก็ช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้นะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Shi MM, Chen YT, Wang XD, Zhang YF, Cheng T, Chen H, Sun F, Bao H, Chen R, Xiong WN, Song YL, Li QY, Qu JM. The efficacy of hydrogen/oxygen therapy favored the recovery of omicron SARS-CoV-2 variant infection: results of a multicenter, randomized, controlled trial. J Clin Biochem Nutr. 2023 Nov;73(3):228-233. doi: 10.3164/jcbn.23-32. Epub 2023 Aug 18. PMID: 37970554; PMCID: PMC10636573.CopyDownload .nbib
  2. Tang C, Wang L, Chen Z, Yang J, Gao H, Guan C, Gu Q, He S, Yang F, Chen S, Ma L, Zhang Z, Zhao Y, Tang L, Xu Y, Hu Y, Luo X. Efficacy and Safety of Hydrogen Therapy in Patients with Early-Stage Interstitial Lung Disease: A Single-Center, Randomized, Parallel-Group Controlled Trial. Ther Clin Risk Manag. 2023 Dec 11;19:1051-1061. doi: 10.2147/TCRM.S438044. PMID: 38107500; PMCID: PMC10723077.
[อ่านต่อ...]

11 กุมภาพันธ์ 2567

ข้องใจเรื่องสุขภาพแบบองค์รวม กาย-จิต-สังคม-จิตวิญญาณ ตัวจิตวิญญาณนี้คืออะไร

(ภาพวันนี้ / ประดู่แดงบนหลังคา)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ

หนูเป็นพยาบาลวิชาชีพ ทำงานที่ … มีความข้องใจทุกครั้งที่เห็นคำโฆษณารวมทั้งของหน่วยงานของหนูเองว่าจะดูแลสุขภาพผู้ป่วยแบบองค์รวมคือกาย จิต สังคม จิตวิญญาณ หนูข้องใจว่าคำว่าจิตวิญญาณในที่นี้คือดูแลอะไร อย่างไร ถามใครก็ไม่มีใครตอบหนูได้ ถามหมอหลายคนก็ตอบได้แต่ว่าคือดูแลเรื่องปัญญา รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำ

………………………………………………………….

ตอบครับ

ผมเข้าใจคุณครับ แพทย์ทั้งหมดทุกคนไม่มีใครได้เรียนศัพท์คำว่าจิตวิญญาณ (spirit) มาจากโรงเรียนแพทย์ ในตำราแพทย์ก็ไม่มีศัพท์คำนี้ มีแพทย์บางคนเขียนคำนี้ไว้ในตำรา (ภาษาอังกฤษ) แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร

ก่อนอื่นมาตกลงกันก่อนว่าวันนี้เราคุยกันในบริบทของการดูแลสุขภาพนะ และจะคุยกันเชิงลึกให้คุณเข้าใจการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (holistic health care) ให้กระจ่าง

แรกเริ่มที่องค์การอนามัยโลกนิยามคำว่าสุขภาพนั้น มีแต่ว่า “สุขภาพคือสภาวะสุขสบายทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่การไม่มีโรคไม่ทุพลภาพเท่านั้น” โปรดสังเกตว่าไม่มีคำว่าจิตวิญญาณนะ

ต่อมาในปี ค.ศ. 1961แพทย์ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ฮาลเบิร์ต ดูนน์ (Halbert L. Dunn) เป็นคนแรกที่ชี้ประเด็นว่าการไม่ป่วยกับการมีสุขภาพดีมีความสุขเป็นคนละเรื่องกันแต่เกี่ยวเนื่องกัน เขาพูดถึงองค์ประกอบส่วนที่จะทำให้คนมีความสุขว่าเป็น high level wellness ซึ่งเขานิยามว่าคือ “การผสานทุกวิธีที่จะทำให้ศักยภาพของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นไปถึงระดับสูงสุดที่เขามี”

ดูนน์มองชีวิตของคนๆหนึ่งว่าถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานหรือพลังชีวิต บางวันมีพลังมาก บางวันมีพลังน้อย แบบว่าขึ้นได้ลงได้ ยามใดพลังงานมากก็มีความสุข เขาเรียกพลังชีวิตนี้ว่า spirit (ซึ่งคำนี้มีคนแปลเป็นไทยว่า “จิตวิญญาณ”) นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำนี้ในวงการแพทย์ ดูนน์ให้ความสำคัญกับพลังชีวิตมาก ถึงกับเรียกมนุษย์ว่าเป็น “เด็กจอมพลัง” เขามองว่าปัจจัยท้าทายใดๆต่อจิตใจและต่อพลังชีวิต ซึ่งรวมถึง

(1) การมีเป้าหมายว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร หรือ

(2) การเห็นคุณค่าหรือความหมายของสิ่งที่ตนเองกำลังทำ

(3) การจะได้ใช้คุณลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน (uniqueness) อย่างเต็มที่

(4) การได้เชื่อมโยงกับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่ายิ่งใหญ่กว่าหรือสำคัญกว่าตนเอง

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุขับเคลื่อนเชิงจิตวิญญาณให้คนมีพลังพาตัวเองให้ขึ้นไปสู่ high level of wellness ซึ่งเป็นระดับที่จะมีความสุขในชีวิตของจริง

ไหนๆก็พูดถึงดูนน์แล้วขอพล่ามต่อในแง่ประวัติศาสตร์ของวิชา Health and Wellness หน่อยนะ ประสาคนแก่ชอบประวัติศาสตร์ กล่าวคือคนรุ่นหลังยกย่องดูนน์เป็นบิดาของวิชาเวลเนส แต่แนวคิดของเขาที่ให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณไม่มีใครสนใจ แม้คำว่าจิตวิญญาณก็เป็นคำเสนียดที่วงการแพทย์สมัยโน้นไม่ยอมรับ ดูนน์เองก็ได้แต่เที่ยวเทศน์ตามโบสถ์เพราะในวงการแพทย์ไม่มีใครฟัง จนราวสิบปีต่อมามีหมอหนุ่มคนหนึ่งชื่อทราวิส (John W Travis) ได้เอาแนวคิดของดูนน์มาจัดตั้งศูนย์สร้างสุขภาวะ (Wellness Resource Center) ขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย เปิดรับผู้ป่วยเข้ามาเรียนรู้รับผิดชอบสุขภาพและสุขภาวะของตัวเอง ผู้ป่วยต้องใช้เวลาฝึกฝนตัวเองนาน 8 เดือนโดยจ่ายเงิน 1500 เหรียญต่อคน ในศูนย์นี้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการต้องกำหนดและควบคุมกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพและสุขภาวะของตัวเอง แตกต่างจากศูนย์สุขภาพทั่วไปที่ผู้ป่วยมีหน้าที่เพียงแค่นั่งรอรับกระบวนการแทรกแซงใดๆก็ตามที่แพทย์จะจัดให้ กิจกรรมฝึกตัวเองในศูนย์สุขภาวะของทราวิสมีตั้งแต่การฝึกผ่อนคลายร่างกาย การสำรวจตนเอง การฝึกการสื่อสารปฏิสัมพันธ์ การบ่มความคิดสร้างสรรค์ การปรับโภชนาการ การปรับความฟิตของร่างกาย การฝึกจิตด้วยวิธีสร้างจินตนภาพ เป็นต้น เป้าหมายก็คือให้ผู้ป่วยรู้จักตัวเองดีขึ้นเพื่อจะให้ดูแลตัวเองได้ดีขึ้น ทราวิสได้เขียนหนังสือขึ้นมาเป็นคู่มือผู้ป่วยในศูนย์นี้ชื่อหนังสือ Wellness Workbook ซึ่งกลายมาเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมพอสมควร แต่ศูนย์เวลเนสของเขาเปิดดำเนินการอยู่ได้ 5 ปีก็ปิดกิจการลงเพราะไม่ประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจ หนังสือที่เขาเขียนอีกเล่มหนึ่งชื่อ Wellness Inventory ได้ให้แนวทางที่แจ่มชัดพอสมควรแก่คนรุ่นหลัง ซึ่งผมขอเขียนถึงอีกสักเล็กน้อย

กล่าวคือในปีค.ศ. 1972 ทราวิสได้เสนอทฤษฎีว่าวิถีทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่มุ่งรักษาโรคและอาการผิดปกติให้หายแล้วจะคาดหวังให้ผู้คนมีสุขภาวะที่ดีนั้นไม่เพียงพอ เพราะแม้จะไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร ไม่มีอาการทางร่างกาย แต่คนก็ยังอาจเป็นทุกข์จากความซึมเศร้า กังวล หรือภาวะทางใจอื่นๆได้อยู่ การแพทย์ทำได้อย่างดีที่สุดก็เพียงแค่ขยับเอาผู้ที่ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการผิดปกติทางร่างกายกลับมาอยู่ที่ภาวะตรงกลางที่ไม่ได้ป่วยแต่ก็ไม่ได้มีความสุขทางใจ เขาเสนอกรอบความคิดใหม่ว่าการจะมีสุขภาวะที่ดีนั้นจะต้องขยับต่อจากการนำผู้ป่วยพ้นจากโรคและอาการทางร่างกายมาสู่ภาวะเป็นกลางแล้ว ต้องขยับต่อไปในทิศทางนำผู้คนไปสู่การมีความสุขทางใจ มีอารมณ์ดี มีสุขภาพจิตดี โดยที่การขยับไปมานี้อาศัยกลไกการสร้างการรับรู้ การให้ข้อมูล และการเติบโตพัฒนาทางอารมณ์และทาง “จิตวิญญาณ” เป็นการขยับมีพลวัตรหรือมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกสุขภาวะดีเต็มที่นี้ตามดูนน์ว่า Wellness ซึ่งเป็นที่มาของการใช้ศัพท์คำว่า Wellness นี้อย่างกว้างขวางทั่วโลกในเวลาต่อมา

หนังสือของทราวิสบอกว่ามีปัจจัยทำให้คนมีความสุข 12 ปัจจัยซึ่งล้วนเกี่ยวกับพลังชีวิต คือ 

(1) การหายใจ (Breathing)

(2) การรับรู้สิ่งเร้า (Sensing) รวมถึงเช่นรับรู้ความรักจากคนอื่น

(3) การกินอาหาร (Eating)

ทั้งสามประการข้างต้นเป็น “ขาเข้า” ของพลังชีวิต อีกเก้าประการต่อจากนี้เป็น “ขาออก” ของพลังชีวิต คือ

(4) ความรับผิดชอบต่อตัวเองและเมตตาธรรม (Responsibility and Love)

(5) การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว (Moving)

(6) การมีความรู้สึก (Feeling)

(7) การคิด (Thinking) (คิดบวกมากกว่าลบ)

(8) การเล่นและทำงาน (Playing and Working)

(9) การสื่อสารปฏิสัมพันธ์ (Communicating)

(10) ความใกล้ชิดสนิทสนม (Intimacy)

(11) การค้นหาความหมาย (Finding meaning)

(12) การฝ่าข้ามมิติการรับรู้ (Transcending)

คำว่า Transcending ในข้อสุดท้ายนี้ ตัวทราวิสเองได้บอกผ่านเล็กเชอร์ของเขาในเวลาต่อมาว่าเขาหมายถึงการที่คนจะพาความสนใจของตัวเองฝ่าข้ามความคิดหรือคอนเซ็พท์ที่สร้างขึ้นมาจากตัวตนจำลอง เข้าไปสู่ภาวะความรู้ตัวที่ปลอดความคิดซึ่งเป็นที่จะพบกับความสงบเย็น เบิกบาน และปัญญาญาณสร้างสรรค์ เขาบอกว่าหากเขาใช้คำว่าจิตวิญญาณ (Spirituality) แทนมันน่าจะตรงกว่าแต่เขายังไม่กล้าใช้คำนี้ในสมัยนั้นเพราะยังไม่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์กระแสหลักขณะนั้น

จะเห็นว่าปัจจุบันนี้มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าปัจจัยด้านวิถีชีวิตหลายปัจจัยที่ทราวิสตั้งไว้ล้วนมีผลโดยตรงต่อการป้องกันและพลิกผันโรคเรื้อรัง ต่อการมีความสุขในชีวิต และต่อการมีอายุยืนยาว เช่น โภชนาการแบบอาหารพืชเป็นหลัก การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวออกกำลังกาย การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ รวมถึงการนั่งสมาธิ (meditation) การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว การนอนหลับ การหลีกเลี่ยงสารพิษต่อร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุหรี่และแอลกอฮอล์ เป็นต้น

แต่ก็ยังมีบางปัจจัยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับวิทยาศาสตร์เลย คือการฝ่าข้ามความคิดและคอนเซ็พท์ตัวตนจำลองไปสู่ความรู้ตัวที่ปลอดความคิด (Transcending) ซึ่งก็คือปัจจัย “จิตวิญญาณ” ที่ขยายความหมายมาจากพลังชีวิตของดูนน์นั่นแหละ การที่ทราวิสเลือกใช้คำว่า Transcendental แทนนี้ผมเดาเอาว่าเขาฟังมาจากพวกปรัชญา Transcendentalism ซึ่งมีหลักคิดว่ามนุษย์ควรจะทิ้งตรรกะเปลือกนอกไปให้หมดแล้วเข้าไปหาส่วนลึกในตัวเองซึ่งนอกจากจะทำให้ชีวิตสงบเย็นแล้วยังเป็นแหล่งของศักยภาพ (insight) ที่จะทำให้คนๆหนึ่งมีชีวิตที่สร้างสรรค์ได้

ทั้งหมดที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณนี้ยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์นะ เป็นไสยศาสตร์ ดังนั้นหากคุณจะเอาปัจจัยจิตวิญญาณไปดูแลคนไข้ให้ครบองค์รวมของ holistic care คุณต้องนั่งเทียนคิดเอาเองทำเอาเอง อย่าไปถามหมอเขา เพราะไม่มีหมอคนไหนได้เรียนไสยศาสตร์มาหรอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Dunn, H.L. (1961). High-Level Wellness. Arlington, VA: Beatty Press.
  2. Travis, John (1975): Wellness Inventory. Mill Valley, CA: Wellness Publications.
[อ่านต่อ...]

10 กุมภาพันธ์ 2567

ถ้าทุกอย่างในชีวิตเป็นแค่ขันธ์5 ตายแล้วจะเหลือ ใครไปนิพพานละครับ

(ภาพวันนี้ / แปลงกล่ำปลีของหมอสันต์)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียน คุณหมอสันต์

ถ้าทุกอย่างในชีวิตเป็นแค่ขันธ์ 5 ไม่มีอะไรเหลือเป็นตัวตน ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วจะแสวงหานิพพานไปทำไม เพราะตายแล้วจะเหลือใครให้ไปนิพพานละครับ

……………………………………..

ตอบครับ

ว้าว..ว จดหมายของคุณจะมาผิดที่แน่นอน เพราะผมไม่ใช่คนชนิดที่จะไปยุ่งกับเรื่องอย่างนิพพานหรือชีวิตหลังตาย แต่ผมอ่านจดหมายของคุณผมก็เกิดสนุกเสียแล้ว จึงหยิบมาลัดคิวตอบเฉพาะส่วนที่ผมจะตอบคุณได้จากความรู้และประสบการณ์ของผมเอง

1.. ถามว่า ถ้าทุกอย่างมีแค่ขันธ์5 ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือจริงไหม ตอบว่าจริงครับถ้ามองว่าสิ่งที่จะเหลือนั้นเป็นเศษเสี้ยวหรือหัวเชื้อของสำนึกว่าเป็นบุคคลคนนี้ (identity) ที่ผมกล้าตอบว่าจริงครับทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ทันได้ตายก็เพราะเมื่อผมทำความเข้าใจกับองค์ประกอบที่ผูกกันขึ้นมาเป็น identity ของเราทั้งหมดไม่ว่าจะกรุ๊พเป็น 3 อย่าง 5 อย่าง 7 อย่างก็ตาม เมื่อแยกแยะมันออกไปอย่างถ่องแท้ทั้งในภาคการใช้ดุลยพินิจและภาคการทดลองปฏิบัติจริงจังแล้วก็พบว่าเมื่อเข้าใจตรรกะถ่องแท้และถอยความสนใจออกจากความคิดตีความซ้ำซากแบบเดิมได้แล้ว identity เดิมมันก็หายเกลี้ยงไปได้จริงๆ แม้จะเพียงชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม

ทั้งนี้คำตอบนี้จำกัดอยู่แค่การหายไปของสำนึกว่าเป็นบุคคล หรือ identity นี้เท่านั้นนะ เพราะอย่าลืมว่าคำว่าขันธ์5 นี้เป็นคำสอนในศาสนาพุทธซึ่งสอนปัญจวัคคี 4 คน หลังจากที่สอนวันแรกรวม 5 คนว่าการจะมีชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกข์ควรดำรงชีวิตแบบอยู่นิ่งๆตรงกลางมีอะไรเข้ามาก็ยอมรับ ไม่ต้อง “แกว่ง” ไปยึดเกาะสิ่งที่ชอบ หรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ สอนแบบนั้นมีคนเก็ทคนเดียว อีกสี่คนไม่เก็ท ท่านจึงสอนซ้ำใหม่โดยเปิดมุมมองใหม่ซึ่งมีสาระว่าความคิด “แกว่ง” อันเป็นต้นเหตุของทุกข์นี้มันเกิดจากความพยายามที่จะปกป้องเชิดชูสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity ของเรา ซึ่งแท้จริงแล้วที่เราหลงปกป้องเชิดชูว่าเป็น identity ของเรานี้มันเป็นแค่ส่วนผสมของห้าอย่างซึ่งเมื่อแยกออกไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรเป็นสิ่งถาวรให้ต้องลำบากลำบนคอยปกป้องเชิดชูเลย พูดง่ายๆว่าเรื่องขันธ์5 นี้พูดขึ้นมาในบริบท (context) ของการละทิ้งความทุกข์ที่เกิดจากความเข้าใจผิดว่า identity ของเราเป็นสิ่งถาวรที่พึงปกป้องเชิดชูให้สุดฤทธิ์สุดเดชเท่านั้น ไม่ได้พูดในบริบทอื่น

2.. ถามว่าเมื่อขันธ์5 อันเป็นส่วนประกอบของ identity หายไปเกลี้ยงแล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรเลยใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ มันยังจะเหลืออยู่อีกอย่างหนึ่งคือความรู้ตัว (consciousness) ซึ่งอุปมาเหมือนความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่แต่มีความสามารถตื่นและรับรู้อะไรได้อยู่ ผมเคยตอบคำถามหนึ่งก่อนหน้านี้โดยใช้คำว่า “ฉันตัวเล็ก” แทนสำนึกว่าเราเป็นคนคนนี้ และใช้คำว่า “ฉันตัวใหญ่” แทนความรู้ตัวที่จะเหลืออยู่ยามที่ฉันตัวเล็กฝ่อไปแล้ว

เพื่อเป็นอุปมาอุปไมยให้เข้าใจเจตนาของผมให้ยิ่งขึ้น ผมขอเล่าเรื่องจริงเรื่องหนึ่งประกอบ คือนานมาแล้วผมมีโอกาสได้รู้จักหญิงชราชาวจีนท่านหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมบ้านของท่านเมื่อราวยี่สิบกว่าปีก่อน บ้านของท่านซึ่งสร้างโดยลูกๆของท่านเป็นบ้านตึกสองชั้นขนาดใหญ่อยู่บนเนื้อที่ไร่กว่าที่ต่างจังหวัด เป็นมาตรฐานบ้านคนมีฐานะดีทั่วไป แต่ประเด็นสำคัญคือท่านไม่ยอมนอนในบ้าน แต่นอนในกล่องที่เอาเศษลังกระดาษมาผูกเป็นกล่องเล็กๆพอสอดตัวเข้าไปนอนได้ วางไว้บนตั่งไม้ ตั้งอยู่นอกบ้านชิดฝาบ้านเพื่ออาศัยชายคาบ้านหลบฝนไปด้วย ที่ท่านทำอย่างนี้เพราะตลอดชีวิตของท่านเป็นแม่ค้าอยู่ในตลาดสด กลางวันขายของ กลางคืนก็ทำกล่องขึ้นบนตั่งขายของแล้วนอนมันตรงนั้นแหละ ใช้ชีวิตอย่างนี้หลายสิบปีจนแม้จะร่ำรวยสร้างบ้านใหญ่ๆดีๆได้แล้วแต่ท่านก็ไม่ยอมทิ้ง “บ้านเล็ก” ของท่านไปนอนใน “บ้านใหญ่” จนวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะท่านเชื่อของท่านว่าบ้านเล็กมันดีกว่าด้วยประการทั้งปวง มิใยที่ลูกหลานจะบอกว่าในบ้านใหญ่กันฝนกันพายุกันยุงได้ดีกว่านอนนุ่มกว่า ท่านก็ไม่สน

เราทุกคนก็เหมือนคุณยายท่านนั้น ที่เชื่อสนิทใจว่า identity ของเราที่ผมเรียกว่า “ฉันตัวเล็ก” นี้มันเป็นของจริงที่ต้องปกป้องเชิดชูสุดฤทธิ์สุดเดช มิใยที่ใครจะบอกว่าตรงนี้ไม่ใช่ของจริงนะ มันมี “ฉันตัวใหญ่” ที่จริงกว่าดีกว่า เราก็ไม่สนใจฟังหรอก เพราะเราเชื่อของเราเรารักชอบของเรากับฉันตัวเล็กนี้เสียแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณถามว่าเมื่อรื้อบ้านกระดาษอันเป็นฉันตัวเล็กนี้ทิ้งไปจะไม่เหลืออะไรเลยใช่ไหม คำตอบก็คือไม่ใช่ มันยังเหลือบ้านใหญ่ซึ่งเราอาจจะยังไม่เคยรู้จักไม่เคยใช้งานอยู่

3.. ถามว่าเมื่อร่างกายนี้ตายสนิทไม่มีสมองที่ทำงานต่อได้แล้ว “ฉัน” ไม่ว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ล้วนต้องตายตามกันไปหมดใช่ไหม ตอบว่า หิ..หิ เออ.. ตรงนี้ผมจะรู้ไหมเนี่ย เพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย

อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อมูลที่อาจช่วยตอบคำถามนี้ได้บ้าง กล่าวคือขณะที่กระแสหลักของวิชาแพทย์ตกลงกันว่าสมองเป็นที่กำเนิดของทั้งความคิด (thought-ฉันตัวเล็ก) และความรู้ตัว (consciousness-ฉันตัวใหญ่) เมื่อสมองตายฉันทั้งหลายก็ย่อมต้องม้วนเสื่อตายตามกันไปหมดตามระเบียบ แต่ผลวิจัยบางชิ้นกลับให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกับสมมุติฐานนี้ ตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่จอห์นฮอพคินส์ได้ตั้งศูนย์ขึ้นมารื้อฟื้นการวิจัยการใช้ยากระตุ้นประสาทหลอน (psychedelic) ซึ่งสมัยก่อนเฟื่องฟูในหมู่ฮิ้ปปี้ (แต่ต่อมากลายเป็นของต้องห้ามในระยะ 30 ปีหลังมานี้) งานวิจัยที่จอห์นฮอพคินส์ทำให้เรารู้ว่าขณะที่ขี้ยากำลังถุนยาได้ที่อยู่นั้น มีความสัมพันธ์ระหว่างการได้ยามากกับความแจ่มชัดของความรู้ตัว (consciousness) คือยิ่งได้ยามาก ยิ่งสัมพันธ์กับเกิดความรู้ตัว(นอกข้อจำกัดของความคิดๆความจำเดิมๆ)มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันคลื่นสมองกลับมีกิจกรรมลดลงสวนทางกัน แปลง่ายๆว่ายิ่งสมองใกล้จะตาย ฉันตัวใหญ่กลับยิ่งเติบใหญ่ขึ้น น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีวิจัยว่าเมื่อตายเข้าจริงๆระดับเด๊ดสะมอเร่แล้ว ฉันตัวใหญ่มันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรต่อไป คำตอบสำหรับคำถามนี้ของคุณผมจึงยังตอบให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำไม่ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าเอาการมีหลักฐานว่าตายแล้วฉันตัวใหญ่จะเหลืออยู่หรือไม่ไปปะปนกับการจะดับความทุกข์อันเกิดจากการ “แกว่ง” หาสิ่งชอบหรือแกว่งหนีสิ่งไม่ชอบนะครับ มันเป็นคนละเรื่องกัน คุณไม่จำเป็นต้องรู้ว่าตายแล้วจะเหลือหรือไม่เหลืออะไรคุณก็สามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยทิ้งฉันตัวเล็กไปเสีย.. เดี๋ยวนี้เลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Griffiths RR, Richards WA. et al. Psilocybin can occasion mystical-type experiences
    having substantial and sustained personal meaning and spiritual significance. Psychopharmacology. DOI 10.1007/s00213-006-0457-5
  2. Griffiths RR, Johnson MW, Richards WA, Richards BD, McCann U, Jesse R. Psilocybin occasioned mystical-type experiences: immediate and persisting dose-related effects. Psychopharmacology (Berl). 2011 Dec;218(4):649-65. doi: 10.1007/s00213-011-2358-5. Epub 2011 Jun 15. PMID: 21674151; PMCID: PMC3308357.

[อ่านต่อ...]

05 กุมภาพันธ์ 2567

นิ่วอุดตันท่อน้ำดีจนเป็นดีซ่านและหายแล้ว แต่นิ่วลงมานิ่งอยู่ในถุงน้ำดี ควรผ่าตัดเอาออกไหม

(ภาพวันนี้ / ไม่ใช่ซากุระ แต่เป็นเสลาดอกสีขาว)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอที่เคารพ

ต.ค 63 ผมปวดท้อง ปวดตรงชายโครงด้านขวามีอาเจียนและปวดเป็นพักๆเหมือนผีบิดไส้ หมอวินิจฉัยว่าเศษก้อนนิ่วมันหลุดลงมาอุดตันท่อน้ำดีครับ หลังจากนั้นก็อาการตาเหลืองตัวเหลืองหมอโรงพยาบาล … ให้การรักษา 3-4 วันอาการเหล่านั้นก็ดีขึ้นตามลำดับ ดีขึ้นจนถึงทุกวันนี้ครับ นอนโรงพยาบาล 3-4 วันหมอให้น้ำเกลือและให้ยา ตรวจอุลตร้าซาวด์พบมีนิ่วในถุงน้ำดี 1.8 ซม. แล้วให้กลับบ้านได้ หมอนัดผ่าและเลื่อนมา 3-4 ครั้งแล้วครับ หลังจากนั้นมาก็ไม่มีอาการปวดท้องอีกเลยตอนนี้ 2 กุมภาพันธ์ 67 แล้วครับอยากทราบว่าไม่มีอาการปวดท้องเลยสมควรต้องผ่าตัดไหมครับ รบกวนอาจารย์หมอให้คำแนะนำด้วยครับ..

ขอบพระคุณครับ

………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ประเด็นการวินิจฉัยโรค เรื่องราวทั้งหมดคือปกติร่างกายจะผลิตน้ำดีที่ตับ ในบางคนหากมีเหตุเช่นการกินอาหารเช่นไขมันมากร่วมกับภาวะร่างกายขาดน้ำจะทำให้น้ำดีนั้นก่อตัวเป็นนิ่ว ทั้งน้ำดีและทั้งนิ่วจะเดินทางจากตับลงมาตามท่อน้ำดีเพื่อมายังถุงน้ำดี รอเวลาที่จะถูกบีบไล่ลงไปย่อยอาหารในลำไส้เมื่อใดก็ตามที่กินอาหารมีไขมันเข้าไป ในกรณีของคุณ ขณะที่เดินทางมา นิ่วนั้นอุดตันท่อน้ำดี (bile duct obstruction) แต่ตอนนี้นิ่วได้เดินทางมาถึงถุงน้ำดีเรียบร้อยแล้ว การอุดตันจบลงไปแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นปกติแล้วยกเว้นมีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีหนึ่งก้อน

2.. ถามว่ามาถึงวันนี้แล้วควรผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกไหม ตอบว่า ก่อนอื่น ขอให้เข้าใจการดำเนินของโรคต่อจากนี้ หากเราไม่ไปยุ่งอะไร นิ่วก้อนนั้นมันจะมีทางไปได้สี่ทางคือ

ทางที่ (1) นิ่วในถุงน้ำดีสลายตัวไปเอง ไปเป็นขึ้โคลน หรือเป็นน้ำดี ซึ่งไหลต่อไปได้ไม่ติดขัด

ทางที่ (2) นิ่วมันจะอยู่ในถุงน้ำดีอย่างนั้นแหละไปชั่วชีวิต โดยไม่มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น

ทางที่ (3) นิ่วจะถูกบีบออกจากถุงน้ำดีแล้วเดินทางต่อไปถึงลำไส้แล้วออกไปทางทวารหนักได้เองโดยฉลุย ไม่มีอาการผิดปกติอะไร

ทางที่ (4) นิ่วจะถูกบีบออกมาจากถุงน้ำดีแล้วไปอุดตันท่อน้ำดีร่วมหรืออุดตันปากทางลงไปในลำไส้ (ampulla of Vater) เกิดรายการผีบิดไส้และดีซ่านรอบที่สอง

ทั้งสี่ทางนี้ มีพระเจ้าคนเดียวที่จะรู้ว่ามันจะเป็นไปแบบไหนกี่เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการจะผ่าตัดเพื่อป้องกันไม่ให้นิ่วที่อยู่อย่างสงบในถุงน้ำดีออกมาอุดตันท่อน้ำดีร่วม (common bile duct) จึงยังไม่มีใครรู้ว่าจะมีประโยชน์คุ้มความเสี่ยงของการผ่าตัดหรือเปล่า

ในเรื่องนี้ที่เรารู้แล้วแน่ๆมีสองอย่าง คือ อย่างที่ 1 วิชาแพทย์รู้แล้วว่าการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีและนิ่วในถุงน้ำดีออกทิ้งแบบยกยวง จะไม่ช่วยป้องกันปัญหาการอุดตันท่อน้ำดีแบบที่เคยเกิดขึ้นกับคุณ เพราะปัญหานั้นเกิดจากนิ่วที่ก่อตัวขึ้นที่ในตับ ไม่ใช่เกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี อย่างที่ 2 วิชาแพทย์รู้แล้วว่าโอกาสพบมะเร็งถุงน้ำดีร่วมกับนิ่วในถุงน้ำดีมีน้อยมากเพราะมะเร็งถุงน้ำดีมีอุบัติการณ์เกิดต่ำมาก (ระดับต่ำกว่า 0.5%) จนไม่คุ้มกับความเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิด (2.4%) หากคิดทำการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกเพื่อป้องกันมะเร็ง

ณ จุดนี้การจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัดจึงเป็นทางสองแพร่งที่ข้อมูลที่จะช่วยคุณตัดสินว่าจะไปทางไหนดียังมีไม่พอ ผมแนะนำให้คุณตัดสินใจเอาเองจากความรู้สึกหรือสังหรณ์ในใจของคุณเองก็แล้วกัน เพราะหลักฐานที่จะช่วยไม่มี

อนึ่ง การตัดถุงน้ำดีออกมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เรียกว่ากลุ่มอาการหลังตัดถุงน้ำดี (post cholecystectomy syndrome) ขึ้นประมาณ 10-25% มีอาการคลื่นไส้อาเจียนท้องเสียง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารไขมัน หากเลือกทางผ่าตัด คุณต้องยอมรับภาวะแทรกซ้อนอันนี้ก่อน มิฉะนั้นจะไปผิดใจกับหมอเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Zackria R, Lopez RA. Postcholecystectomy Syndrome. 2023 Aug 28. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2024 Jan–. PMID: 30969724.
  2. Portincasa P, MOschetta A, Palasciano G. Cholesterol gallstone disease. Lancet 2006 : 368(9531); 230-9.
  3. Redwan AA. Multidisciplinary approaches for management of postcholecystectomy problems (surgery, endoscopy, and percutaneous approaches). Surg Laparosc Endosc Percutan Tech. Dec 2009;19(6):459-69.
[อ่านต่อ...]

04 กุมภาพันธ์ 2567

น้ำตาลลงมาปกติแล้วแต่หมอไม่ให้หยุดยา metformin จะให้ใช้ต่อเป็นยา antiaging

(ภาพวันนี้ / แอบมองลอดรั้วบ้านพักผู้สูงอายุ)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมเป็นเบาหวาน ได้ปฏิบัติตัวกินตามที่หมอสันต์แนะนำแบบทำบ้างไม่ทำบ้างแต่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดลงมาต่ำจนหมอลดยาเหลือ metformin ตัวเดียวแล้วน้ำตาลในเลือดก็ยังต่ำ ผมแอบหยุดยาเองน้ำตาลในเลือดก็ยังต่ำกว่า 100 อยู่ จึงขอหมอหยุดยาหมด แต่หมอบอกว่าอย่าหยุด เพราะแม้จะไม่ต้องใช้รักษาเบาหวานแล้วแต่ยา metformin เป็นยา antiaging ทำให้อายุยืนขึ้นให้กินต่อไป

จริงหรือเปล่าครับ

…………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่ายา metformin ทำให้อายุยืนจริงหรือไม่ ตอบว่ายังไม่ทราบครับ เพราะขณะนี้มีกำลังมีงานวิจัยอย่างน้อยสองงาน (MILE study และ TAME study) ทำวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบการกินยา metformin เทียบกับการกินยาหลอกว่าใครจะอายุยืนมากกว่ากัน ผลวิจัยยังไม่ออกมา และอีกนานกว่าจะออก ตอนนี้จึงยังตอบคำถามนี้ไม่ได้

2.. ถามว่าหมอสันต์สนับสนุนให้ลองกินยา metformin เป็นยา antiaging ไหม ตอบว่าการที่พวกกองหน้านิยมเสี่ยงตายไปลองของใหม่ๆก่อนเพื่อนนั้นผมเชียร์นะครับไม่ได้ขัด เพราะเป็นการอุทิศตนเป็นวิทยาทานในรูปแบบหนึ่ง กล่าวคือความตายหรือความทุพลภาพของหน่วยกล้าตายย่อมจะเป็นบทเรียนให้คนรุ่นหลังว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ดังนั้นคุณอยากจะลองอะไรก็ลองได้ คุณไม่อยากลองก็ไม่ต้องลอง สุดแล้วแต่คุณ

3.. ถามว่าการที่ผู้ป่วยหายจากเบาหวานแล้วไม่มีข้อบ่งชี้ต้องใช้ยาต่อแล้ว แพทย์ยังจ่ายยา metformin ให้โดยบอกคนไข้ว่าไม่ได้ใช้รักษาเบาหวานแต่ใช้ในฐานะเป็นยา antiaging นั้นถูกต้องไหม ตอบว่าหากพูดตามกฎหมายก็คือเป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดวิธี เพราะ FDA ของสหรัฐฯก็ดี อย.ของไทยก็ดี อนุมัติให้ใช้ยานี้รักษาเบาหวานเท่านั้น ไม่ได้อนุมัติให้ใช้เป็นยาต่ออายุ การที่แพทย์ทำอะไรที่ผิดแผกไปจากที่หลักวิชาและที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นการทำอาชีพแบบใต้โต๊ะ (off label) นั้น ตรงนี้หมอสันต์ขออนุญาต..no comment ครับ เพราะตัวหมอสันต์เองบางครั้งก็แอบทำอะไรแหกกฎบ้างเหมือนกัน หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

03 กุมภาพันธ์ 2567

ชีวิตคือซีรี่ส์ของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นบนสามเวที คือเวทีตื่น เวทีฝัน และเวทีหลับลึก

(ภาพวันนี้ / ดวงตะวันบนเนินหญ้า ของจริงเป็นสีหมากสุกสวยกว่าภาพ)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

สวัสดีครับอาจารย์

ในเรื่องความหลุดพ้น ตอนนี้คำถามอื่นๆผมไม่มีความสงสัยอะไรอีกแล้วยกเว้นข้อนี้ครับ คือในชีวิตประจำวันเนี่ยตอนนี้อะไรกระทบมาก็ว่างแบบ infinity แล้วครับ หรือที่บาลีน่าจะเรียนอนัตตา และ spirituality ส่วนใหญ่น่าจะเรียก oneness หรือผมเรียกเองว่า emptiness  ซึ่งก็น่าจะตรงกับคำสอน Buddha ที่ว่าว่างจากตัวตน เรา เขาไม่มีอะไรเลย นิพพาน บลาๆ แต่ๆๆๆ

  1. ทำไมเวลานอนหลับแล้วฝัน ถึงยังอินกับอารมณ์ในฝันอยู่ครับ ? แต่ความอินมันจางลงเรื่อยๆตามระยะเวลานะครับ 2เดือน 1 เดือน ปัจจุบันอินน้อยลง แต่ตื่นมาแล้วช่วงงัวเงียยังเหนื่อยอยู่ พอค่อยๆอยู่กับความรู้ตัวตอนตื่น สุดท้ายมันก็จางไปว่างไม่มีอะไรเหมือนเดิม
  2. ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เป็นไปได้ไหมครับ ที่ในความฝันก็จะไม่มีอะไรมากระทบได้ ? ฝันที่ผมชอบฝันบ่อยๆ ตื่นไปสอบไม่ทันบ้าง  ไม่ได้ส่งงานอาจารย์ตามเวลากำหนดบ้าง ฝันว่าโดดเรียนแล้วอาจารย์ไม่ให้ไปสอบบ้าง ทั้งๆที่จบมัธยมมา12 ปีแล้ว และในชีวิตจริงในอดีตก็ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ (มีแค่โดดเรียนบ้างครั้งคราวแต่ไม่ถึงขั้นอาจารย์ไม่ให้ไปสอบ) ชีวิตภายนอกและภายในใจในปัจจุบันก็เป็นอิสระแล้ว แต่ตอนอยู่ในฝันเหนื้อยเหนื่อย พอตื่นมาอยู่กับความรู้ตัวแล้วชิวเลย ขออนุญาตสอบถามประสบการณ์ของอาจารย์

ขอบคุณครับอาจารย์

ตอบครับ

1.. ถามว่าได้ฝึกตัวเองจนรู้ตัวอยู่ได้ทั้งวันไม่เผลอคิดอะไรแล้ว แต่ทำไมยังมีความคิดลบเช่นความกังวลในความฝัน ตอบว่า เพราะ “ความตื่น” และ “ความฝัน” เป็นการเล่นละครคนละเวที มีปัจจัยก่อเกิดประสบการณ์ที่ต่างกัน แม้จะมีความเกี่ยวข้องกันบ้างแต่ก็ไม่ใช่เวทีที่เหมือนกัน100% อย่างน้อยผู้กำกับเวทีก็เป็นคนละคนกัน ในความตื่นความคิดอ่านและสำนึกผิดชอบชั่วดี (intellect) ของคุณเป็นผู้กำกับเวที แต่ในความฝันไม่มีผู้กำกับที่มีอำนาจเต็ม บัดเดี๋ยวความจำเรื่องขี้ๆของคุณขึ้นมาเล่น บัดเดี๋ยวสัญชาติญาณหรือฮอร์โมนในร่างกายของคุณขึ้นมาเล่นบ้าง บัดเดียวสิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่นสีแสงเสียงอุณหภูมิห้องนอนสลับขึ้นมาเล่นแทน เรียกว่าเป็นเวทีที่เปะปะไร้ผู้คุม สิ่งที่คุณเจอในฝันไม่ว่าจะประหลาดแค่ไหนก็ถือว่าเรื่องเป็นธรรมดา มีผู้แสวงหาตัวยงซึ่งอายุยังไม่มากท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าเธอมีความก้าวหน้าในการวางความคิดดีมากแต่เธอก็ยังไม่สามารถเอาชนะความคิดเลอะเทอะที่เปลี่ยนเวทีมาอาละวาดในยามฝันแทนยามตื่น เธอบอกผมว่าบางครั้งเล่นเอา กกน.ของเธอ..แฉะ (ฮิ..ฮิ)

ตัวคุณเล่าเองนะว่าตอนอยู่ในฝันนั้นเหนื่อยมาก แต่พอตื่นขึ้นมาอยู่กับความรู้ตัวแล้วก็โล่งสบายดี ตรงนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ ถ้าจะว่าตามวิชาโยคี ชีวิตมนุษย์ทั้งชีวิตเป็นซีรี่ส์ของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นบนสามเวที คือเวทีตื่น เวทีฝัน และเวทีหลับลึก (หลับโดยไม่ฝัน) เมื่อใดที่คุณตื่นจากเวทีหนึ่ง ความฝันบนเวทีนั้นก็จบลงแค่นั้น แต่คุณอาจไปเริ่มฝันใหม่บนเวทีใหม่อีกเวทีหนึ่ง สมมุติว่าคุณมีชีวิตยามตื่นที่เป็นทุกข์ ทุกข์นั้นมันจะยังไม่จบตราบใดที่คุณยังไม่ตื่นจากเวทีนี้ การตื่นจากเวทีนี้หมายถึงการมองให้ออก หรือมองให้ขาด ว่าประสบการณ์ที่คุณคิดว่าเป็นชีวิตหรือเป็นตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้น แท้จริงเป็นเพียงส่วนผสมของสิ่งชั่วคราวที่เมื่อแยกส่วนออกไปแล้วก็ไม่เหลืออะไรให้ยึดถือและไม่คุ้มที่จะไปเหนื่อยยากปกป้องเชิดชูมันเลย

2.. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในความฝันด้วย ตอบว่าเป็นไปได้หากปัจจัยที่มาปรุงเป็นความฝันของคุณนั้นมันแห้งเหือดลง เด็กอมมือก็รู้ว่าความจำแต่หนหลังของเราเองเป็นปัจจัยร่วมให้เกิดความคิดของเราในวันนี้ ความจำมีธรรมชาติจมสะสมกันอยู่ที่ก้นบึงแล้วค่อยๆทะยอยลอยขึ้นมาสู่การรับรู้ของใจในฐานะหนึ่งในห้าขององค์ประกอบที่มัดกันขึ้นเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งในเวทีตื่นและเวทีฝัน เมื่อความจำโผล่ขึ้นมาหากเราเอาความสนใจไป “เล่นด้วย” ความจำนั้นก็จะใหญ่ขึ้นและกลับมาถี่ขึ้น แต่หากโผล่ขึ้นมาแล้วถูกดีดทิ้ง ดีดทิ้ง มันก็จะมีขนาดเล็กลงๆจนหายหน้าไป เมื่อคุณฝึกสติมาดีจนในเวทีตื่นคุณไม่มีปัญหาแล้ว ความสำเร็จในเวทีตี่นจะค่อยๆทำให้คุณประสบความสำเร็จในเวทีฝันด้วยในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เทคนิคสองอย่างต่อไปนี้ช่วย คือ

(1) ก่อนที่จะหลับคุณเคลียร์ความคิดหรือความตั้งใจทุกอย่างให้เกลี้ยงหมด เช่นนั่งสมาธิก่อนล้มตัวลงนอน แม้แผนการจะทำอะไรวันพรุ่งนี้ก็ไม่คิด วันนี้จบแล้ว..จบ เมื่อหลับเท่ากับตาย ไม่มีต่อภาคสอง วิธีนี้จะลดความจำที่จะไปลอยโผล่เป็นความฝันได้มากเพราะประสบการณ์ที่เกิดใกล้เวลาฝันจะยิ่งมีแรงโผล่ในฝันมาก

(2) ทันทีที่ตื่นจากความฝัน ให้คุณทิ้งความฝันนั้นไปทันที อย่าให้ราคา อย่าคิดตีความหรือทบทวน อย่าคิดแก้ไข อย่าคิดชื่นชมหรือคิดเสียใจเสียดาย อย่าคิดคาดเดาเชื่อมโยงอะไร หรือไปหานักจิตวิเคราะห์เล่าความฝันให้ฟัง หรือทำสมุดบันทึกเนื้อหาของความฝัน ไม่ควรทำทั้งสิ้น เพราะการทำอย่างนั้นเป็นการเข้าไป “เล่นด้วย” กับความจำเก่าๆที่โผล่ขึ้นมาในความฝัน ยิ่งจะทำให้มันกลับมาบ่อยขึ้นๆ และใหญ่ขึ้นๆ และที่สำคัญ ความจำนั้นมันฝังมาตั้งแต่อดีตไกลโพ้นแค่ไหนเราไม่รู้ อย่าไปยุ่งกับมันเป็นดีที่สุด ตื่นปุ๊บ ดีดความฝันทิ้งปั๊บ หันมาอยู่กับเดี๋ยวนี้เท่านั้น พอเราไม่เล่นด้วย ความจำนั้นก็จะค่อยๆห่างไปและค่อยๆแผ่วหายไปเองในที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

02 กุมภาพันธ์ 2567

ทุกประเด็นเกี่ยวกับการอดอาหาร (Fasting) เพื่อให้อายุยืน/รักษามะเร็ง/รักษาโรคเรื้อรังอื่นๆ

(ภาพวันนี้ / ผักกาดจ้อน เอาไว้ทำจอผักกาด)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

ตามที่คุณหมอคนไทยหนุ่มๆคนหนึ่งอยู่ที่ … (อเมริกา) ท่านหนึ่งเผยแพร่คลิปคุณประโยชน์การอดอาหาร (FMD) ควบกับการทำเคมีบำบัดเพื่อรักษามะเร็งว่าให้ผลการรักษาดี โดยอ้างงานวิจัยสี่ชิ้นประกอบ ผมเองก็เป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายที่กำลังให้เคมีบำบัดอยู่ อยากปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าการอดอาหารควบกับการให้เคมีบำบัดได้ผลรักษามะเร็งได้ดีจริงหรือไม่

ตอบครับ

มีจดหมายถามเกี่ยวกับการอดอาหารหรือ fasting ในประเด็นเพื่อลดน้ำหนักบ้าง เพื่อรักษาโรคเรื้อรังเช่น ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจหลอดเลือดบ้าง เพื่อรักษาโรคมะเร็งบ้าง ผมยังไม่มีโอกาสได้ตอบอย่างเป็นกิจลักษณะ ที่ไม่ได้ตอบไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่สนใจเรื่องนี้ ผมสนใจเรื่องนี้มาก มีอยู่ช่วงหนึ่งผมถึงกับไปกินไปนอนอยู่ที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียชื่อซานตาโรซา เพราะที่เมืองนี้มีศูนย์สุขภาพชื่อทรูนอร์ท (True North Health Center) ซึ่งรับรักษาโรคทุกโรคด้วยการให้อดอาหารทุกแบบ โปรแกรมที่โหดที่สุดของเขาไม่ให้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่าเป็นเวลานานถึง 42 วัน ผมจำได้ว่าไปนั่งดูนั่งคุยกับคนไข้ซึ่งจะไปไหนต้องค่อยๆยุรยาตรไปเพราะเขาไม่มีแรง แต่ที่ผมยังไม่เคยตอบเรื่องการอดอาหารรักษาโรคเรื้อรังก็เพราะข้อมูลที่มีอยู่ถึงปัจจุบันมันยังไม่มากพอที่จะตอบคำถามได้ แต่เมื่อคุณถามมาก็ดีแล้ว ผมถือโอกาสทบทวนงานวิจัยในเรื่องนี้เสียเลยว่านับถึงวันนี้เรามีข้อมูลอะไรแล้วบ้าง

ประเด็นนิยามของการอดอาหาร

FMD ย่อมาจาก fasting mimicking diet แปลว่าอาหารเลียนแบบภาวะอดอยาก ก็คือให้กินแบบอดๆ อยากๆ มักจำกัดแคลอรีให้ต่ำ งดหรือลดอาหารกลุ่มโปรตีน บางก็งดหรือลดคาร์โบไฮเดรตด้วย ให้กินแต่ไขมันไม่อิ่มตัว (จากพืช) เป็นหลัก เป็นเวลานานครั้งละประมาณ 4–7 วัน

CR ย่อมาจาก caloric restriction แปลว่าให้กินอาหารที่มุ่งจำกัดแคลอรีให้ต่ำกว่าปกติมากบ้างน้อยบ้างแต่ระวังให้ได้สารอาหารทุกชนิดครบถ้วนเพื่อไม่ให้เป็นโรคขาดอาหาร

TR ย่อมาจาก time restriction แปลว่าให้กินอาหารแบบมีช่วงเวลากิน มีช่วงเวลาอด สลับกันไป เช่นกิน 8 ชั่วโมง สลับกับอด 16 ชั่วโมง เป็นต้น บางครั้งก็เรียกว่า IF (intermittent fasting)

WF ย่อมาจาก water fasting แปลว่าไม่ให้กินอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า จะกี่วันก็แล้วแต่ เมื่อจะกลับมากินอีกครั้งต้องกลับมาแบบค่อยๆกลับ

DR ย่อมาจาก dietary restriction แปลว่าการเลือกกิน ว่าอะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ เช่นการกินแบบมังสวิรัติก็เป็น DR แบบหนึ่ง ดังนั้น DR จึงไม่ใช่การอดอาหารที่ผมตั้งใจจะพูดถึงในการตอบคำถามครั้งนี้

ประเด็นข้อเสนอว่าการอดอาหารมีประโยชน์อะไรบ้าง

ปัจจุบันนี้มี “ข้อเสนอ” แบบใครคิดอะไรได้ก็โยนขึ้นมาในอินเตอร์เน็ท ว่าการอดอาหารอาจจะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้คือ (1) ทำให้อายุยืนยาวขึ้น (2) ช่วยรักษามะเร็ง (3) ช่วยรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ (4) ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (5) ช่วยรักษาโรคอ้วน

ในแง่ของการอดอาหารรักษามะเร็ง มีการตั้งสมมุติฐานว่าเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งมีขีดความสามารถในการยืนหยัดต่ออันตรายหรือความเครียด (เช่นการขาดอาหาร) ได้ไม่เท่ากัน (differential stress resistance -DSR) ซึ่งนำไปสู่แนวคิดที่จะกำจัดเซลล์มะเร็งโดยการสร้างเงื่อนไข (เช่นการอดอาหาร) ให้เซลล์ปกติคุ้นเคยทนทานต่ออันตรายหรือต่อความเครียดให้ได้มากกว่าเซลล์มะเร็งมากๆ (Differential Stress Sensitization – DSS)

ทั้งหมดนี้ยังเป็นเพียงข้อเสนอแนะและสมมุติฐาน ยังไม่ใช่หลักฐานข้อมูลความจริง

ประเด็นหลักฐานวิจัยเรื่องประโยชน์ของการอดอาหาร

นับถึงวันนี้ ผมจะสรุปหลักฐานที่มีอยู่เฉพาะที่เป็นหลักฐานในคนให้ฟังนะ (ส่วนหลักฐานในสัตว์และหลักฐานจากห้องทดลองนั้นไม่เอา)

1.. หากใช้ตัวชี้วัดมาตรฐาน (survival rate) เป็นตัววัด นับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานในคนระดับเชื่อถือได้ (RCT) ที่จะมายืนยันว่าการอดอาหารทุกรูปแบบจะช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิต หรือใช้รักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจหลอดเลือด โรคเบาหวาน หรือทำให้คนไม่ป่วยอายุยืนขึ้นได้แต่อย่างเดียว ยังไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียว

2.. หากใช้ตัวชี้วัดทดแทนอัตราตาย (surrogate indicators) เช่นน้ำหนัก ความดัน ไขมัน น้ำตาล ตัววัดความไวต่ออินสุลิน ตัววัดการอักเสบ เป็นต้น หลักฐานวิจัยเกี่ยวกับการอดอาหารที่ดีที่สุดคืองานวิจัย CALERIE ซึ่งเอาคนวัยกลางคนที่สุขภาพดีจำนวน 238 คน มาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้อดอาหารแบบ CR โดยให้ได้รับแคลอรี่ต่ำกว่าปกติ 25% (แต่อดได้จริงๆแค่ต่ำกว่าปกติ 10%) กับอีกกลุ่มหนึ่งได้แคลอรีเท่าปกติ เป็นเวลานาน 2 ปี พบว่ากลุ่มอดอาหารน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 7.5 กก. (กลุ่มควบคุมนน.เพิ่ม 0.1 กก.) ตัวชี้วัดการอักเสบลดลง และคะแนน metabolic score (ที่คำนวณจากความดันเลือด, HDL, ไตรกลีเซอไรด์ น้ำตาลในเลือด และเส้นรอบพุง) ดีขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ

3.. อีกงานวิจัยหนึ่งเอาผู้ป่วยมะเร็งมา 34 คนแบ่งกลุ่มวิจัยแบบไขว้ (cross over) คือให้กลุ่มหนึ่งอดอาหาร แบบ FMD 36 ชม.ก่อนเริ่มเคมีบำบัดตบท้ายด้วย 24 ชม.เมื่อจบครึ่งแรกของเคมีบำบัด อีกกลุ่มเป็นกลุ่มควบคุม เมื่อครบครึ่งแรกของเคมีบำบัดแล้วก็ไข้วกัน เอากลุ่มควบคุมมาอดอาหารเอากลุ่มอดอาหารไปเป็นกลุ่มควบคุมบ้าง แล้วประเมินคุณภาพชีวิตช่วงที่ได้เคมีบำบัดทั้งแบบควบกับไม่ควบการอดอาหาร พบว่าการได้เคมีบำบัดควบการอดอาหารมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเคมีบำบัดที่ไม่มีการอดอาหาร นี่เป็นเรื่องคุณภาพชีวิตขณะได้เคมีบำบัดนะ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผลของการอดอาหารต่อการรักษามะเร็งให้หาย

4.. อีกงานวิจัยหนึ่งเป็นหลักฐานระดับต่ำในคน ซึ่งเป็นรายงานผู้ป่วย (case report) จำนวนสิบคน ทุกคนเป็นมะเร็งที่สมัครใจอดอาหารแบบ FMD 48-140 ชั่วโมง ก่อนรอบการให้เคมีบำบัดและอดอาหารต่ออีก 5-56 ชั่วโมงเมื่อครบรอบการให้เคมีบำบัด พบว่า (1) การอดอาหารก่อนและหลังเคมีบำบัดดังกล่าวมีความปลอดภัย (2) ผู้ป่วยรายงาน (self report) ว่าตนเองมีอาการข้างเคียงจากเคมีบำบัดในรอบที่ได้อดอาหารน้อยกว่าในรอบที่ไม่ได้อดอาหาร ทั้งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผลของการอดอาหารต่อการรักษามะเร็งให้หายเช่นกัน

ข้อมูลวิจัยในคนเกี่ยวกับการอดอาหารรักษาโรคมีแค่นี้ จะเห็นว่าของจริงมีน้อยมากใช่ไหมครับ แต่ที่เล่ากันเป็นตุเป็นตะ เป็นคุ้งเป็นแคว ในอินเตอร์เน็ทนั้น ทั้งหมดเป็นการวิจัยหรือการวิเคราะห์ผลวิจัยในสัตว์และในห้องทดลองแล้วตั้งเป็นสมมุติฐานเอามาคาดการณ์ (extrapolation) ในคน ซึ่งผมขอไม่พูดถึงงานวิจัยแบบนั้น เพราะพูดไปก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งผมต้องการให้บล็อกนี้เป็นที่เผยแพร่เฉพาะหลักฐานระดับสูง คืองานวิจัยในคนเท่านั้น

คำแนะนำเรื่องการอดอาหารรักษามะเร็งของหมอสันต์

1.. ถ้าท่านอ้วนหรือมีไขมันในเลือดสูง ผมเชียร์ให้เลือกวิธีอดอาหารแบบใดแบบหนึ่งควบไปกับการรักษามะเร็ง เพราะความอ้วนก็ดี การมีไขมันในเลือดสูงก็ดี สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งมากขึ้นและการมีจุดจบที่เลวร้ายของมะเร็งรุนแรงขึ้น แต่ถ้าท่านผอมและไขมันในเลือดไม่สูง ท่านจะอดอาหารหรือไม่อดท่านต้องตัดสินใจเอง ผมไม่มีข้อมูลอะไรจะมาแนะนำ

2.. อย่างน้อยผมแนะนำให้ท่านใช้มาตรการ DR คือการเลือกกินนั่นไม่กินนี่เป็นเครื่องมือหลักในการรับมือกับโรคมะเร็งโดยท่านจะควบหรือไม่ควบกับการอดอาหาร (FMD หรือ CR) ก็แล้วแต่ เพราะมีข้อมูลแน่ชัดแล้วว่าอาหารเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อของสัตว์ที่ผ่านการบ่ม (ไส้กรอก เบคอน แฮม) และเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งมากขึ้น และหลักฐานในภาพรวมบ่งชี้ไปทางว่าอาหารพืชในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติเป็นหลัก ที่มีความหลากหลายและมีสารอาหารจำเป็นครบถ้วน เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังทุกโรค

3..นอกจากเรื่องอาหาร ผมแนะนำให้ท่านเข้าหาธรรมชาติ เดินเล่น ตากแดด แช่น้ำ เหยียบดิน อย่างน้อยการเข้าหาธรรมชาติก็ทำให้ท่านคลายเครียด ย่อมดีแน่ เพราะสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นขณะเครียดล้วนแล้วแต่ไปเพิ่มกิจกรรม (upregulating) ยีนที่ก่อโรคมะเร็ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Kraus WE, Bhapkar M, Huffman KM, Pieper CF, Krupa Das S, Redman LM, Villareal DT, Rochon J, Roberts SB, Ravussin E, Holloszy JO, Fontana L; CALERIE Investigators. 2 years of calorie restriction and cardiometabolic risk (CALERIE): exploratory outcomes of a multicentre, phase 2, randomised controlled trial. Lancet Diabetes Endocrinol. 2019 Sep;7(9):673-683. doi: 10.1016/S2213-8587(19)30151-2. Epub 2019 Jul 11. PMID: 31303390; PMCID: PMC6707879.
  2. Bauersfeld SP, Kessler CS, Wischnewsky M, Jaensch A, Steckhan N, Stange R, Kunz B, Brückner B, Sehouli J, Michalsen A. The effects of short-term fasting on quality of life and tolerance to chemotherapy in patients with breast and ovarian cancer: a randomized cross-over pilot study. BMC Cancer. 2018 Apr 27;18(1):476. doi: 10.1186/s12885-018-4353-2. PMID: 29699509; PMCID: PMC5921787.Copy
  3. Safdie FM, Dorff T, Quinn D, Fontana L, Wei M, Lee C, Cohen P, Longo VD. Fasting and cancer treatment in humans: A case series report. Aging (Albany NY). 2009 Dec 31;1(12):988-1007. doi: 10.18632/aging.100114. PMID: 20157582; PMCID: PMC2815756.
[อ่านต่อ...]

01 กุมภาพันธ์ 2567

ความคิดนี้มันเป็นสิ่งเสพย์ติด ความเพลิดเพลินที่ได้จากการคิด ทำให้คุณไปไหนไม่รอด

(ภาพวันนี้ / เด็กนักเรียนเดินกลับบ้าน ผ่านต้นซากุระขาวและชมพู ที่อ่างขาง)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมได้พยายามศึกษาปฏิบัติธรรมตามแนวสมาธิวิปัสนาทั้งพุทโธ ตามแนว … สัมมาอรหัง ตามที่ … สอน และขยับมือดูร่างกายตามแนวหลวงพ่อ … ทำมาแล้วหลายปี แบบทำบ้างไม่ทำบ้าง เคยบวชมาแล้วหนึ่งปีและฝึกแบบเข้มข้น ถึงระดับเข้าฌานได้นานเป็นชั่วโมง แต่เมื่อออกมาใช้ชีวิตจริงท้ายที่สุดก็ยังสลัดความคิดฟุ้งสร้านและความยึดถือไม่ได้ ผมติดตามคุณหมอสันต์มาทราบว่าคุณหมอใช้เวลาศึกษาฮินดูและโยคีมามากและมานาน อยากปรึกษาว่าถ้าผมจะเปลี่ยนแนวทางจากศาสนาพุทธไปทดลองวิธีของศาสนาอื่นดูบ้างจะดีไหมครับ

,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

ตอบครับ

1.. ถามว่าจะทิ้งศาสนาพุทธเปลี่ยนไปหาศาสนาอื่นดูบ้างดีไหม ตอบว่าไม่ดีหรอกครับ ศาสนาอะไร ลัทธิอะไรไม่ใช่สาระ อย่าไปสำคัญผิด การจับประเด็นคำสอนสำคัญๆไปฝึกปฏิบัติด้วยตนเองต่างหากที่เป็นสาระ

อีกอย่างหนึ่งคำสอนในทุกศาสนา มันไม่ได้มีอะไรมาก สาระหลักขมวดแล้วได้ศาสนาละไม่กี่ประโยคแถมยังซ้ำซ้อนคล้ายคลึงกัน ศาสนาพุทธอาจมีคำสอนให้มองเรื่องเดียวกันจากหลายมุม ทำให้ดูเหมือนเยอะ จริงๆแล้วแก่นมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นคือการใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ทุกข์ แค่เลือกเอาคำสอนสักหนึ่งหรือสองประโยคไปฝึกปฏิบัติอย่างใจเย็นและต่อเนื่องก็เหลือแหล่แล้ว

ก่อนที่คุณจะหนีไป ผมแนะนำให้คุณขมวดเอาคำสอนสำคัญไม่กี่ประโยคไปลองฝึกด้วยสามัญสำนึกของตัวเองก่อน ซึ่งผมแนะนำให้ใส่ใจคำสอนที่ท่านสอนในครั้งสำคัญๆแค่สี่ครั้งเท่านั้น คือ

คำสอนครั้งแรก (ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร) มีผู้เรียนห้าคน สาระหลักมีแค่ว่าการจะดำรงชีวิตโดยไม่ทุกข์คือให้อยู่ตรงกลางนิ่งๆ ไม่แกว่งไปกอดรัดยึดเหนี่ยวสิ่งที่ชอบ ไม่แกว่งผละหนีสิ่งที่ไม่ชอบ อะไรผ่านเข้ามาก็ยอมรับมันตามที่มันเป็น ขมวดเป็นคำพูดได้คำเดียว คือ “ยอมรับ” หรือ “acceptance” สอนแค่นี้ผู้ฟังหนึ่งคนเก็ทเลย

คำสอนครั้งที่สอง (อนัตตลักขณสูตร) สอนห่างวันแรกไม่กี่วัน เพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้อีกสี่คนที่ยังไม่เก็ท มีเนื้อหาสรุปได้ว่าความเป็นบุคคลคนหนึ่งของเรานี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงประสบการณ์ที่ใจเราสนองตอบต่อสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะ แล้วใจเราเอาประสบการณ์เหล่านั้นมาร้อยเรียงจดจำไว้ภายใต้คอนเซ็พท์ของเวลากลายมาเป็นอดีตปัจจุบันอนาคตและตัวตนของเราขึ้นมา ซึ่งแท้จริงแล้วทุกประสบการณ์ล้วนเกิดขึ้นจากการมาผสมคลุกเคล้ากันขององค์ประกอบย่อยห้าอย่าง คือ

(1) สิ่งเร้าทางกายภาพที่ผ่านเข้ามาในรูปของภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นต้น

(2) พลังชีวิตที่ใจเรารับรู้ได้ในรูปของความรู้สึก

(3) ความจำ

(4) ความคิด

(5) ความสามารถของใจในการรับรู้ประสบการณ์

ดังนั้นเมื่อแยกองค์ประกอบย่อยนี้ออกไป ประสบการณ์ที่หล่อหลอมความเป็นบุคคลของเราขึ้นมานี้ก็ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือว่าเป็นเราได้เลย..ไม่เหลือสักนิดเดียว

คำสอนที่สาม (โอวาทะปาฏิโมกข์) สอนในวันมาฆะบูชา มีสาระสำคัญสรุปได้ว่าขั้นตอนปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์มีหกขั้นตอนตามลำดับ คือ

(1) การฝึกเป็นคนนิ่งไม่ตื่นตูม (ขันติ)

(2) การฝึกเป็นคนมีวินัย (ศีล)

(3) การฝึกสำรวมอินทรีย์ (หมายความว่าตื่นตัวคอยตามรู้การที่ใจจะสนองตอบต่อสิ่งเร้าที่จะผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหกอย่างไรบ้าง)

(4) การฝึกกินแค่พอดี ไม่กินมากเกินไปหรือน้อยเกินไป

(5) การฝึกตามรู้การเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ว่าจะเหลียว ดู คู้ เหยียด

(6) การฝึกนั่งสมาธิตามดูลมหายใจ จนใจสงัดจากความคิด เกิดสมาธิ เกิดปัญญาชี้นำการใช้ชีวิตได้

คำสอนสุดท้าย (ปัจฉิมโอวาท) เป็นคำพูดแค่ประโยคเดียว ซึ่งผมขอโค้ดภาษาบาลีมาด้วยว่า

“วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ”

ประโยคนี้คนอื่นเขาจะแปลว่าอย่างไรก็แล้วแต่เขาเถอะ แต่หมอสันต์ขอแปลเป็นไทยว่า

“ความคิดย่อมแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา จงฝึกที่จะไม่เผลอ”

คำสอนสุดท้ายของท่านนี้เน็ดขนาด คือสุดยอด เหมาะสำหรับคุณเหน่งๆเลย แค่คุณตั้งใจเอาคำสอนสุดท้ายนี้ไปปฏิบัติก็เหลือเฟือแล้ว

กล่าวโดยสรุป ก่อนจะทิ้ง ให้คุณลองจับเอาแก่นคำสอนไปฝึกปฏิบัติเองโดยไม่ต้องฝืนใจหรือทู่ซี้ทำตามวิธีปลีกย่อยอื่นใดของใคร ฝึกทำไปเองแบบง่ายๆ สบายๆ ทำไปเองดูไปเองสักพักหนึ่งก่อน ถ้าฝึกทำไปแล้วยังไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างไม่ทุกข์ได้ จึงค่อยวางแนวทางนี้ไปลองใช้แนวทางที่สอนกันในศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่นดูบ้าง ไม่ต้องเกี่ยงว่าควรลองอะไรก่อนหลัง ลองไปทีละอัน อันไหนใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป อันไหนดีก็เก็บไว้ใช้ ลองไปจนดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ทุกข์ได้สำเร็จ ขยันหา ขยันลองทำไปเถอะ..แล้วคุณก็จะพบ

2.. ถามว่าจิตใจที่ฟุ้งสร้านเอาแต่ คิด คี้ด..ด คิด นี้จะกำราบอย่างไร ตอบว่า “ความคิด” มันเป็นสิ่งเสพย์ติด ยิ่งเสพย์ก็ยิ่งติด ยิ่งติดก็ยิ่งเสพย์ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ความเพลินจากการได้ล่องลอยไปในความคิด มันช่างเพลิดเพลินจนยากที่จะสละทิ้งได้ การจะเลิกสิ่งเสพย์ติดก็ต้องยอมลงแดง เหมือนขี้ยาไปตัดยาก็ต้องมีลงแดงอ๊วกแตกอ๊วกแตนลำบากลำบนเป็นธรรมดา

วิธีตัดการเสพย์ติดความคิดสำหรับคุณซึ่งเป็นชาวพุทธอยู่แล้วผมก็แนะนำให้ทำตามปัจฉิมโอวาทนั่นแหละ คือขยันฝึกตนให้เป็นคนไม่เผลอ ฝึกอย่างไรหรือ ก็ฝึกไปตามขั้นตอนที่สอนไว้ในวันมาฆะบูชานั่นแหละ เน้น “สำรวมอินทรีย์” คือแอบขยันตื่นตัว ขยันแอบดูว่าใจมันสนองตอบต่อสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะในแต่ละช็อตอย่างไร ไม่ยากดอก เพราะใจเรานี้มันไม่ได้ซับซ้อน มันทำงานเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่งแค่นั้นเอง คือมันมีกลไกการสนองตอบอัตโนม้ติที่ผูกเป็นเงื่อนไขไว้แล้วจากความจำเก่าของเราเอง ถ้ามาแบบนี้มันจะไปแบบนี้ ถ้ามาแบบนั้นมันจะไปแบบนั้น การสำรวมอินทรีย์ก็คือการฝึกแอบดูใจตัวเอง แอบดูเฉยๆ แอบดูจนทุกครั้งที่ใจสนองตอบต่อสิ่งเร้าอย่างไรเรารู้ทันทุกครั้ง ทำอย่างนี้ไปถึงจุดหนึ่งความคิดจะหมดอิทธิพลลากจูงในที่สุด

ถ้าการแอบดูไม่สำเร็จเพราะความคิดมันครอบใจไว้ตลอดเวลาจนไม่มีจังหวะดึงความสนใจให้ถอยมาแอบดู ให้เริ่มต้นด้วยวิธีจงใจเอาความสนใจไปขลุกอยู่กับกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวกับความคิดก่อน เช่นการทำงานอดิเรกหรือหัดเล่นดนตรีแบบที่ต้องอ่านตัวโน้ตไปทีละตัวจึงจะเล่นได้ หรือหัดเล่นกีฬาแบบเผลอไม่ได้ไม่งั้นเจ็บ เป็นต้น พอเริ่มหันเหความสนใจออกจากความคิดได้บ้างแล้วจึงค่อยกลับมาฝึกวิธี “สำรวมอินทรีย์” หรือแอบดูใจตัวเองใหม่

ทั้งนี้อย่าลืมว่าที่คุณเสาะหาคือวิธีจะดำรงชีวิต ณ ขณะนี้อย่างไรไม่ให้เป็นทุกข์เท่านั้นนะ อย่าไปเสาะหาอะไรที่มากไปกว่านี้หรือไกลไปกว่าขณะนี้ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นการขยับจากการอยู่นิ่งๆตรงกลางเข้าไปกอดสิ่งที่อยากได้ หรือผละหนีจากสิ่งที่ไม่อยากได้ คือกลายเป็นการใช้ชีวิตแบบแส่หาทุกข์เสียฉิบแทนที่จะเป็นใช้ชีวิตแบบไม่ทุกข์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]