หมอสันต์สอนเดินจงกรมแบบ Walk To New Identity
(หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนัก)
ชั่วโมงนี้ทุกคนต้องถอดรองเท้าถุงเท้านะ เราจะเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า ไม่ต้องกลัวเท้าเปื้อนดิน เปื้อนแล้วจบชั่วโมงแล้วก็ไปล้างที่ก๊อกที่หน้าฮอลได้
เราจะเรียน Walking Meditation พูดภาษาบ้านๆก็คือเดินจงกรม เดินแบบธรรมดานะ แบบที่เดินอยู่ตามบ้านในชีวิตปกตินั่นแหละ อย่าเดินช้าอย่างหอยทาก อย่างนั้นไม่เอา เพราะเราฝึกเพื่อเดินในชีวิตประจำวัน เดินอย่างหอยทากเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้
เราจะเดินกันสองรอบนะ รอบที่หนึ่งนี้เรียกว่า "เดินจากคิดไปรู้" หรือ "Walk from think to feel" คือเดินเพื่อฝึกวางความคิดมาอยู่กับความรู้สึกตัว รอบที่สองเรียกว่า "เดินไปเป็นคนใหม่" หรือ "Walk to new identity"
การเดินรอบที่ 1. Walk from think to feel
การฝึกเดินในรอบแรกนี้มันจะมีสามระดับนะ หรือสาม level
ระดับที่ 1. รู้สึกฝ่าเท้า เมื่อเดิน ให้คุณ feel หรือรู้สึกความรู้สึกบนฝ่าเท้าทุกครั้งที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้น รู้สึกถึงว่าหญ้ามันทิ่ม ดินมันแฉะ กรวดมันคม วางเท้าครั้งหนึ่งก็รับรู้ความรู้สึกที่ฝ่าเท้าครั้งหนึ่ง รู้สึกเอานะ ไม่ใช่คิดเอา feel ไม่ใช่ think ถ้าขณะที่เดินหากเกิดความคิดแทรกจนคุณลืมฟีลฝ่าเท้าไป ให้คุณหยุดกึก ยืนนิ่ง เคลียร์ความคิดก่อน หมายความว่าวางความคิดลงไปก่อน ด้วยการชำเลืองดูความคิดอยู่ห่างๆ จนความคิดมันฝ่อหายไป แล้วจึงหันมาเดินต่อ โดยโฟกัสที่ทุกครั้งเท้าสัมผัสพื้นให้ฟีลฝ่าเท้า
ระดับที่ 2. รู้สึกผิวกาย เมื่อทำระดับที่หนึ่งชำนาญแล้ว คราวนี้ขณะที่เดิน นอกจากคุณจะฟีลความรู้สึกที่ฝ่าเท้าไปด้วยแล้ว ให้รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายหรือทำ body scan ไปด้วย หมายถึงรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่า วูบวาบ ขนลุก ผ่าวผ่าว ทั่วตัว เดินไปด้วย รู้สึกฝ่าเท้าไปด้วย รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายไปด้วย ไม่มีความคิดนะ ถ้ามีความคิดให้หยุดตั้งหลักก่อน
ระดับที่ 3. รู้สึกบรรยากาศรอบตัว เมื่อรับรู้ทั้งฝ่าเท้าและผิวกายขณะเดินไปได้แล้ว คราวนี้นอกจากจะรับรู้ความรู้สึกทุกครั้งที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น และรู้สึกความรู้สึกซู่ซ่า วูบวาบ ขนลุกทั่วร่างกายไปแล้ว ยังต้องฟีลหรือรู้สึกถึงบรรยากาศหรือความว่างรอบตัวดัวย ฟีลเอานะ ไม่ใช่คิดเอา ไม่ใช่บรรยาด้วยภาษา นะ ฟีลออกมาเป็นความรู้สึก ไม่ต้องเอาภาษาไปบรรยาย แค่ซึมซับ ซาบซึ้ง อิ่มเอิบ กับบรรยากาศรอบตัว แค่นั้นพอ อย่าบรรยายออกมาเป็นภาษา ทั้งหมดนี้นี่แหละ คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือเดี๋ยวนี้
เอาละ จบรอบที่หนึ่งแล้ว คราวนี้เรามาคุยกันเรื่องการเดินรอบที่สอง
การเดินรอบที่ 2. "Walk to new identity"
หรือเดินเพื่อเปลี่ยนตัวตน หมายความว่าเราไม่ได้เดินเปล่าๆ แต่ทุกก้าวที่ก้าวไป เราก้าวไปเพื่อเปลี่ยนจากการเป็นคนคนเดิมนี้ ไปเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง
การเป็นคนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ กินแบบเดิมๆ เดินเหินเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ นำเรามาสู่ตรงนี้ คือป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เพราะโรคอ้วนถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง เราไม่สามารถออกจากตรงนี้ได้ถ้าเรายังเป็นคนเดิม กินแบบเดิม เดินเหินเคลื่อนไหวแบบเดิม คิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ เราจะต้องเปลี่ยนตัวเราไปเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง เปลี่ยนมาดำเนินชีวิตแบบใหม่ คือกินแบบใหม่ เดินเหินเคลื่อนไหวแบบใหม่ คิดแบบใหม่ ทำแบบใหม่ นั่นคือเราต้องสร้างนิสัยใหม่
นิสัยเกิดจากการเคยคิดพูดทำอะไรซ้ำๆซากๆ เมื่อทำบ่อยๆซ้ำๆซากๆทุกวัน ร่างกายจะสร้างวงจรย้ำคิดย้ำทำแบบอัตโนมัติขึ้นในระบบประสาทอัตโนมัติ เรียกว่าวงจร conditioned reflex แปลว่าการถูกยัดเยียดให้ย้ำคิดย้ำทำซ้ำอดีต (compulsiveness) ดังนั้นสิ่งที่เราคิดและทำในวันนี้ จะกลายเป็นอดีตให้เราทำซ้ำในวันพรุ่งนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เพราะมันเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ มันไปของมันเอง เช่น ตื่นเช้า เราต้องกดนาฬิกาปลุกด้วยมือเดิม นิ้วเดิม แล้วเราก็เดินไปเปิดเช็คไลน์ เช็คเฟซ หรือเช็คเมล เท็กซ์ตอบเฟซตอบไลน์ แล้วก็ลงไปชงกาแฟกินกับคุ้กกี้ แล้วก็แปรงฟันอาบน้ำด้วยท่าเดิม แต่งตัว ทาแป้งยี่ห้อเดิม ขับรถออกจากบ้านไปทำงาน เจอเจ้านายคนเดิม ซึ่งจะกระตุ้นให้เรามีอารมณ์แบบเดิมๆ เราเคยกินของมัน ของหวานอย่างไร เราก็จะกินมันซ้ำทุกวัน วนเวียนอย่างนี้ทุกวัน ดังนั้นชีวิตเราในแต่ละวันไม่มีอะไรใหม่ มีแต่สิ่งซ้ำๆซากๆที่ถูกโปรแกรมล่วงหน้าไว้แล้วจากเมื่อวานนี้ เราไม่มีทางที่จะออกไปจากโรคเรื้อรังได้ หากเรายังใช้ชีวิตแบบนี้ เราจะต้องเปลี่ยนวันนี้ให้แตกต่างไปจากเมื่อวานนี้ เราจึงจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้ เพราะวันนี้จะไปเป็นอดีตที่กำหนดวันพรุ่งนี้
ผมจะให้เวลาเตรียมตัวเล่นเกมนี้ 15 นาที คอนเซ็พท์ก็คือในการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือสร้างหุ่นยนต์เขาจะสร้างไปทีละเวอร์ชั่น ปรับปรุงแก้ไขทีก็เปลี่ยนเวอร์ชั่นไปที ในเกมนี้เราจะสมมุติว่าตัวเราหรือถ้าเป็นผมก็ "นายสันต์" คนนี้ ก็มีได้หลายบุคลิกหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็น V-original ก็แล้วกันนะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราใน V-original นี้เราทำพฤติกรรมอะไรที่เป็นตัวถ่วงให้เราไปไหนไม่รอดบ้าง เรารู้ แต่เราไม่รูัจะทำยังไงกับมันดี เพราะฉนั้นการเตรียมเกมนี้
ขั้นที่ 1. ให้ทุกคนเขียนลิสต์เป็นตัวหนังสือลงไปบนกระดาษ หรือบนหน้าจอของตัวเองว่าพฤติกรรมการคิด พูด ทำ ของเราที่เป็นตัวถ่วงเราที่เป็น V-original นี้มีอะไรบาง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า.. นี่เป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้ เราเขียนเองรู้เอง
ขั้นที่ 2. ให้ทุกคนจินตนาการ จินตนาการนะ อย่าเอาความคิดวินิจฉัยหรือความเชื่อไปขวางกั้น จินตนาการอย่างไม่ขีดจำกัด ว่าเรา หรือสมมุติว่า "นายสันต์" ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด หรือ The best version of mine จะมีลักษณะอย่างไร ผมเรียกมันว่า V-best ก็แล้วกันนะ นายสันต์ใน V-best ซึ่งเป็นมนุษย์ในโลกอนาคตนี้จะมีน้ำหนักตัวเท่าไหร่ จะคิดอย่างไร เคลื่อนไหวเดินเหินพูดจาทำโน่นทำนี่อย่างไร เขียนลงไปเป็นข้อๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า.. เขียนขึ้นมาโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าในชีวิตจริงคุณจะทำได้หรือไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่จินตนาการ ให้เวลาทุกคนทำการบ้านเขียนข้อด้อยของ V-original และลักษณะสำคัญของ V-best นี้ สิบห้านาที แยกกันทำ มุมใครมุมมัน ทำการบ้านนี้ก่อนจึงจะเล่นเกมได้
เอาละ ทุกคนส่งการบ้านแล้ว คราวนี้มาฟังกติกาของเกม ผมจะมอบหมายให้ทุกคนเป็นนักแสดงรับจ้าง ในการเดินจงกรมรอบนี้ซึ่งนาน 30 นาทีก็คือให้ทำตัวเลียนแบบให้เหมือน V-best ให้มากที่สุด เหมือนดาราใหญ่ที่ต้องซ้อมตัวเองเป็นปีกว่าจะสวมบทสำคัญได้ คุณใน V-best มีน้ำหนักตัวเท่าไหร่ เดินเหินเคลื่อนไหวอย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร ให้คุณทำอย่างนั้นทุกประการ จะเป็นคนแบบเดินไปร้องเพลงไป หรือเดินไปเต้นไปก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าคุณเล่นบทใครอยู่ อย่าลืมว่าตอนนี้คุณรับจ๊อบเป็นนักแสดงมีหน้าที่เลียนแบบ V-best ซึ่งเป็นมนุษย์ในโลกอนาคต คุณต้องทำให้สุดฝีมือของนักแสดงชั้นดี คุณรับทำจ๊อบเดินจงกรมนี้นานครึ่งชั่วโมง..โอเค้? พร้อมแล้ว เริ่มได้
หมอสันต์สรุปเกมเมื่อเดินจบ
เหตุผลที่ผมให้คุณเล่นเกมนี้ เพราะการแกล้งทำอะไรซ้ำๆซากๆนี้มันเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับร่างกาย นั่นหมายถึงการสร้างวงจรการย้ำคิดย้ำทำวงจรใหม่ให้กับระบบประสาทอัตโนมัติ สิ่งที่เราทำวันนี้จะกลายเป็นความจำที่จะไปกำหนดวงจรย้ำคิดย้ำทำซ้ำซากสำหรับวันพรุ่งนี้ แกล้งทำไปทุกวันๆ ในที่สุดถ้านักแสดงเก่งมาก เลียนแบบ V-best ได้ทุกอย่าง แล้วใครจะบอกได้ว่ามีความแตกต่างระหว่างนักแสดงกับ V-best ที่ตรงไหน ถูกแมะ นั่นหมายความว่าการแกล้งทำในที่สุดก็จะกลายเป็นของจริงไป ฝรั่งเรียกว่า
"Fake it until you make it"
"แกล้งทำไปเถอะ แล้วมันกลายเป็นของจริง"
อย่างที่ผมบอกแล้วว่าการจะออกจากการเป็นโรคเรื้อรังไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคนหนึ่งที่มีวิธีใช้ชีวิตแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง วิธีรับจ๊อบแสดงเป็น V-best เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะเปลี่ยนตัวตนของคุณได้แบบเนียนๆ โดยไม่ต้องต่อสู้กับตรรกะ ความคิดวินิจฉัย ความเชื่อดั้งเดิมของคุณ ที่พร่ำบอกคุณว่า
"มันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"คุณไม่มีน้ำยาดอก"
"มันก็แค่ปาหี่แบบไฟไหม้ฟาง คุณทำทีไรก็ล้มเหลวทุกที"
"คุณทนความยั่วยวนของกิเลสไม่ได้หรอก"
คุณหลบเสียงวิจารณ์ในหัวทำนองนี้ได้เพราะคุณแค่รับจ๊อบเป็นตัวแสดง ไม่ใช่ตัวจริง ได้ไม่ได้ มีน้ำยาไม่มีน้ำยา ทำได้นานหรือไม่นาน ไม่สำคัญ ไม่ซีเรียส เพราะคุณแค่เป็นผู้เล่นละคร
จากวันนี้เป็นต้นไปให้คุณใช้ชีวิตจริงของคุณด้วยการเล่นละครแบบนี้ไปทุกวันๆ ละครที่คุณเล่นในวันนี้ จะเป็นอดีตที่ระบบของร่างกายเอาไปสร้างเป็นวงจรสนองตอบอัตโนมัติที่กำกับพฤติกรรมของคุณในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นแต่ละก้าวที่คุณเดินอย่างไรในวันนี้ เป็นการสร้างอนาคตของคุณในวันพรุ่งนี้ ทำอย่างนี้ไปทุกวัน แล้วท้ายที่สุดคุณก็จะเปลี่ยนตัวคุณเองไปเป็นคนใหม่ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ชั่วโมงนี้ทุกคนต้องถอดรองเท้าถุงเท้านะ เราจะเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า ไม่ต้องกลัวเท้าเปื้อนดิน เปื้อนแล้วจบชั่วโมงแล้วก็ไปล้างที่ก๊อกที่หน้าฮอลได้
เราจะเรียน Walking Meditation พูดภาษาบ้านๆก็คือเดินจงกรม เดินแบบธรรมดานะ แบบที่เดินอยู่ตามบ้านในชีวิตปกตินั่นแหละ อย่าเดินช้าอย่างหอยทาก อย่างนั้นไม่เอา เพราะเราฝึกเพื่อเดินในชีวิตประจำวัน เดินอย่างหอยทากเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้
เราจะเดินกันสองรอบนะ รอบที่หนึ่งนี้เรียกว่า "เดินจากคิดไปรู้" หรือ "Walk from think to feel" คือเดินเพื่อฝึกวางความคิดมาอยู่กับความรู้สึกตัว รอบที่สองเรียกว่า "เดินไปเป็นคนใหม่" หรือ "Walk to new identity"
การเดินรอบที่ 1. Walk from think to feel
การฝึกเดินในรอบแรกนี้มันจะมีสามระดับนะ หรือสาม level
ระดับที่ 1. รู้สึกฝ่าเท้า เมื่อเดิน ให้คุณ feel หรือรู้สึกความรู้สึกบนฝ่าเท้าทุกครั้งที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้น รู้สึกถึงว่าหญ้ามันทิ่ม ดินมันแฉะ กรวดมันคม วางเท้าครั้งหนึ่งก็รับรู้ความรู้สึกที่ฝ่าเท้าครั้งหนึ่ง รู้สึกเอานะ ไม่ใช่คิดเอา feel ไม่ใช่ think ถ้าขณะที่เดินหากเกิดความคิดแทรกจนคุณลืมฟีลฝ่าเท้าไป ให้คุณหยุดกึก ยืนนิ่ง เคลียร์ความคิดก่อน หมายความว่าวางความคิดลงไปก่อน ด้วยการชำเลืองดูความคิดอยู่ห่างๆ จนความคิดมันฝ่อหายไป แล้วจึงหันมาเดินต่อ โดยโฟกัสที่ทุกครั้งเท้าสัมผัสพื้นให้ฟีลฝ่าเท้า
ระดับที่ 2. รู้สึกผิวกาย เมื่อทำระดับที่หนึ่งชำนาญแล้ว คราวนี้ขณะที่เดิน นอกจากคุณจะฟีลความรู้สึกที่ฝ่าเท้าไปด้วยแล้ว ให้รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายหรือทำ body scan ไปด้วย หมายถึงรับรู้ความรู้สึกซู่ซ่า วูบวาบ ขนลุก ผ่าวผ่าว ทั่วตัว เดินไปด้วย รู้สึกฝ่าเท้าไปด้วย รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายไปด้วย ไม่มีความคิดนะ ถ้ามีความคิดให้หยุดตั้งหลักก่อน
ระดับที่ 3. รู้สึกบรรยากาศรอบตัว เมื่อรับรู้ทั้งฝ่าเท้าและผิวกายขณะเดินไปได้แล้ว คราวนี้นอกจากจะรับรู้ความรู้สึกทุกครั้งที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น และรู้สึกความรู้สึกซู่ซ่า วูบวาบ ขนลุกทั่วร่างกายไปแล้ว ยังต้องฟีลหรือรู้สึกถึงบรรยากาศหรือความว่างรอบตัวดัวย ฟีลเอานะ ไม่ใช่คิดเอา ไม่ใช่บรรยาด้วยภาษา นะ ฟีลออกมาเป็นความรู้สึก ไม่ต้องเอาภาษาไปบรรยาย แค่ซึมซับ ซาบซึ้ง อิ่มเอิบ กับบรรยากาศรอบตัว แค่นั้นพอ อย่าบรรยายออกมาเป็นภาษา ทั้งหมดนี้นี่แหละ คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันหรือเดี๋ยวนี้
เอาละ จบรอบที่หนึ่งแล้ว คราวนี้เรามาคุยกันเรื่องการเดินรอบที่สอง
การเดินรอบที่ 2. "Walk to new identity"
หรือเดินเพื่อเปลี่ยนตัวตน หมายความว่าเราไม่ได้เดินเปล่าๆ แต่ทุกก้าวที่ก้าวไป เราก้าวไปเพื่อเปลี่ยนจากการเป็นคนคนเดิมนี้ ไปเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง
การเป็นคนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ กินแบบเดิมๆ เดินเหินเคลื่อนไหวแบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ นำเรามาสู่ตรงนี้ คือป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เพราะโรคอ้วนถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง เราไม่สามารถออกจากตรงนี้ได้ถ้าเรายังเป็นคนเดิม กินแบบเดิม เดินเหินเคลื่อนไหวแบบเดิม คิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ เราจะต้องเปลี่ยนตัวเราไปเป็นคนใหม่อีกคนหนึ่ง เปลี่ยนมาดำเนินชีวิตแบบใหม่ คือกินแบบใหม่ เดินเหินเคลื่อนไหวแบบใหม่ คิดแบบใหม่ ทำแบบใหม่ นั่นคือเราต้องสร้างนิสัยใหม่
นิสัยเกิดจากการเคยคิดพูดทำอะไรซ้ำๆซากๆ เมื่อทำบ่อยๆซ้ำๆซากๆทุกวัน ร่างกายจะสร้างวงจรย้ำคิดย้ำทำแบบอัตโนมัติขึ้นในระบบประสาทอัตโนมัติ เรียกว่าวงจร conditioned reflex แปลว่าการถูกยัดเยียดให้ย้ำคิดย้ำทำซ้ำอดีต (compulsiveness) ดังนั้นสิ่งที่เราคิดและทำในวันนี้ จะกลายเป็นอดีตให้เราทำซ้ำในวันพรุ่งนี้ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เพราะมันเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ มันไปของมันเอง เช่น ตื่นเช้า เราต้องกดนาฬิกาปลุกด้วยมือเดิม นิ้วเดิม แล้วเราก็เดินไปเปิดเช็คไลน์ เช็คเฟซ หรือเช็คเมล เท็กซ์ตอบเฟซตอบไลน์ แล้วก็ลงไปชงกาแฟกินกับคุ้กกี้ แล้วก็แปรงฟันอาบน้ำด้วยท่าเดิม แต่งตัว ทาแป้งยี่ห้อเดิม ขับรถออกจากบ้านไปทำงาน เจอเจ้านายคนเดิม ซึ่งจะกระตุ้นให้เรามีอารมณ์แบบเดิมๆ เราเคยกินของมัน ของหวานอย่างไร เราก็จะกินมันซ้ำทุกวัน วนเวียนอย่างนี้ทุกวัน ดังนั้นชีวิตเราในแต่ละวันไม่มีอะไรใหม่ มีแต่สิ่งซ้ำๆซากๆที่ถูกโปรแกรมล่วงหน้าไว้แล้วจากเมื่อวานนี้ เราไม่มีทางที่จะออกไปจากโรคเรื้อรังได้ หากเรายังใช้ชีวิตแบบนี้ เราจะต้องเปลี่ยนวันนี้ให้แตกต่างไปจากเมื่อวานนี้ เราจึงจะเปลี่ยนชีวิตของเราได้ เพราะวันนี้จะไปเป็นอดีตที่กำหนดวันพรุ่งนี้
ผมจะให้เวลาเตรียมตัวเล่นเกมนี้ 15 นาที คอนเซ็พท์ก็คือในการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือสร้างหุ่นยนต์เขาจะสร้างไปทีละเวอร์ชั่น ปรับปรุงแก้ไขทีก็เปลี่ยนเวอร์ชั่นไปที ในเกมนี้เราจะสมมุติว่าตัวเราหรือถ้าเป็นผมก็ "นายสันต์" คนนี้ ก็มีได้หลายบุคลิกหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นปัจจุบัน เราเรียกว่าเป็น V-original ก็แล้วกันนะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราใน V-original นี้เราทำพฤติกรรมอะไรที่เป็นตัวถ่วงให้เราไปไหนไม่รอดบ้าง เรารู้ แต่เราไม่รูัจะทำยังไงกับมันดี เพราะฉนั้นการเตรียมเกมนี้
ขั้นที่ 1. ให้ทุกคนเขียนลิสต์เป็นตัวหนังสือลงไปบนกระดาษ หรือบนหน้าจอของตัวเองว่าพฤติกรรมการคิด พูด ทำ ของเราที่เป็นตัวถ่วงเราที่เป็น V-original นี้มีอะไรบาง หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า.. นี่เป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้ เราเขียนเองรู้เอง
ขั้นที่ 2. ให้ทุกคนจินตนาการ จินตนาการนะ อย่าเอาความคิดวินิจฉัยหรือความเชื่อไปขวางกั้น จินตนาการอย่างไม่ขีดจำกัด ว่าเรา หรือสมมุติว่า "นายสันต์" ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด หรือ The best version of mine จะมีลักษณะอย่างไร ผมเรียกมันว่า V-best ก็แล้วกันนะ นายสันต์ใน V-best ซึ่งเป็นมนุษย์ในโลกอนาคตนี้จะมีน้ำหนักตัวเท่าไหร่ จะคิดอย่างไร เคลื่อนไหวเดินเหินพูดจาทำโน่นทำนี่อย่างไร เขียนลงไปเป็นข้อๆ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า.. เขียนขึ้นมาโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าในชีวิตจริงคุณจะทำได้หรือไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่จินตนาการ ให้เวลาทุกคนทำการบ้านเขียนข้อด้อยของ V-original และลักษณะสำคัญของ V-best นี้ สิบห้านาที แยกกันทำ มุมใครมุมมัน ทำการบ้านนี้ก่อนจึงจะเล่นเกมได้
เอาละ ทุกคนส่งการบ้านแล้ว คราวนี้มาฟังกติกาของเกม ผมจะมอบหมายให้ทุกคนเป็นนักแสดงรับจ้าง ในการเดินจงกรมรอบนี้ซึ่งนาน 30 นาทีก็คือให้ทำตัวเลียนแบบให้เหมือน V-best ให้มากที่สุด เหมือนดาราใหญ่ที่ต้องซ้อมตัวเองเป็นปีกว่าจะสวมบทสำคัญได้ คุณใน V-best มีน้ำหนักตัวเท่าไหร่ เดินเหินเคลื่อนไหวอย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร ให้คุณทำอย่างนั้นทุกประการ จะเป็นคนแบบเดินไปร้องเพลงไป หรือเดินไปเต้นไปก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าคุณเล่นบทใครอยู่ อย่าลืมว่าตอนนี้คุณรับจ๊อบเป็นนักแสดงมีหน้าที่เลียนแบบ V-best ซึ่งเป็นมนุษย์ในโลกอนาคต คุณต้องทำให้สุดฝีมือของนักแสดงชั้นดี คุณรับทำจ๊อบเดินจงกรมนี้นานครึ่งชั่วโมง..โอเค้? พร้อมแล้ว เริ่มได้
หมอสันต์สรุปเกมเมื่อเดินจบ
เหตุผลที่ผมให้คุณเล่นเกมนี้ เพราะการแกล้งทำอะไรซ้ำๆซากๆนี้มันเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับร่างกาย นั่นหมายถึงการสร้างวงจรการย้ำคิดย้ำทำวงจรใหม่ให้กับระบบประสาทอัตโนมัติ สิ่งที่เราทำวันนี้จะกลายเป็นความจำที่จะไปกำหนดวงจรย้ำคิดย้ำทำซ้ำซากสำหรับวันพรุ่งนี้ แกล้งทำไปทุกวันๆ ในที่สุดถ้านักแสดงเก่งมาก เลียนแบบ V-best ได้ทุกอย่าง แล้วใครจะบอกได้ว่ามีความแตกต่างระหว่างนักแสดงกับ V-best ที่ตรงไหน ถูกแมะ นั่นหมายความว่าการแกล้งทำในที่สุดก็จะกลายเป็นของจริงไป ฝรั่งเรียกว่า
"Fake it until you make it"
"แกล้งทำไปเถอะ แล้วมันกลายเป็นของจริง"
อย่างที่ผมบอกแล้วว่าการจะออกจากการเป็นโรคเรื้อรังไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคนหนึ่งที่มีวิธีใช้ชีวิตแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง วิธีรับจ๊อบแสดงเป็น V-best เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะเปลี่ยนตัวตนของคุณได้แบบเนียนๆ โดยไม่ต้องต่อสู้กับตรรกะ ความคิดวินิจฉัย ความเชื่อดั้งเดิมของคุณ ที่พร่ำบอกคุณว่า
"มันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"คุณไม่มีน้ำยาดอก"
"มันก็แค่ปาหี่แบบไฟไหม้ฟาง คุณทำทีไรก็ล้มเหลวทุกที"
"คุณทนความยั่วยวนของกิเลสไม่ได้หรอก"
คุณหลบเสียงวิจารณ์ในหัวทำนองนี้ได้เพราะคุณแค่รับจ๊อบเป็นตัวแสดง ไม่ใช่ตัวจริง ได้ไม่ได้ มีน้ำยาไม่มีน้ำยา ทำได้นานหรือไม่นาน ไม่สำคัญ ไม่ซีเรียส เพราะคุณแค่เป็นผู้เล่นละคร
จากวันนี้เป็นต้นไปให้คุณใช้ชีวิตจริงของคุณด้วยการเล่นละครแบบนี้ไปทุกวันๆ ละครที่คุณเล่นในวันนี้ จะเป็นอดีตที่ระบบของร่างกายเอาไปสร้างเป็นวงจรสนองตอบอัตโนมัติที่กำกับพฤติกรรมของคุณในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นแต่ละก้าวที่คุณเดินอย่างไรในวันนี้ เป็นการสร้างอนาคตของคุณในวันพรุ่งนี้ ทำอย่างนี้ไปทุกวัน แล้วท้ายที่สุดคุณก็จะเปลี่ยนตัวคุณเองไปเป็นคนใหม่ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์