ความคิด กับความรู้ตัว มันสัมพันธ์กันอย่างไร
หนูสมัครมา SR14 แต่เต็มเสียแล้ว จะรอลุ้น SR15 ตอนนี้ขอถาม 1. หนูไม่เข้าใจที่คุณหมอพูดถึงความคิดและการวางความคิด 2. ความคิดกับความรู้ตัวนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าเราคิดก็หมายความว่ามีความรู้ตัวอยู่ในนั้นด้วยใช่ไหม ถ้าความคิดดับแล้วความรู้ตัวไปอยู่ไหน 3. อย่างความรู้ตัวของหนู มันเป็นของหนูคนเดียวหรือเปล่า 4. การวางความคิดกับการทำสมาธิเหมือนกันไหม 5. ทำไมต้องทำสมาธิด้วย 6. อะไรเป็นปัจจัยให้ทำสมาธิได้สำเร็จ
ขอบพระคุณค่ะ
..............................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าความคิดคืออะไร ตอบว่าความคิดที่ผมพูดถึงนี้ผมหมายเจาะจงถึงความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นจากเชาวน์ปัญญาที่เรามีอยู่นี้เองมันหวังดีพยายามจะปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เกิดขึ้นจากการที่เราสำคัญมั่นหมาย (identify) ว่าเราหรือ "ฉัน" นี้เป็นใคร หรือการยึดติดว่าอะไรที่สื่อถึงความเป็นฉัน เช่น เพศของฉัน อายุของฉัน ครอบครัวของฉัน หมู่บ้านของฉัน โรงเรียนของฉัน อาชีพของฉัน ชื่อเสียงของฉัน บริษัทของฉัน ชาติของฉัน ศาสนาของฉัน ความเชื่อของฉัน การเป็นคนรักความยุติธรรมของฉัน หรือแม้กระทั่งพันธกิจในชีวิตของฉัน ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือตัวตนที่เป็นต้นกำเนิดของความคิดอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
2. ถามว่าการวางความคิดคืออะไร ตอบว่าการวางความคิดก็คือการวางสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity นี้ลงเสีย พูดง่ายๆว่าการจะพ้นทุกข์ได้ ต้องเปลี่ยนตัวตนหรือต้องเกิดการ shift of identity จากการเป็นบุคคลคนนี้ไปเป็นอย่างอื่น ถ้ายกตัวอย่างให้แคบลงมาเป็นตัวบุคคลอย่างตัวผมนี้การจะพ้นทุกข์ของผมก็คือการเปลี่ยนตัวตนจากการเป็น "หมอสันต์" ไปเป็นแค่ "ความรู้ตัว" ที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับ "หมอสันต์" เลย
3. ถามว่าความคิดกับความรู้ตัวนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ตอบว่า เปรียบเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับต้นกำเนิดของไฟ คุณรู้จัก "ไฟ" เป็นอย่างดีแล้ว แต่ต้นกำเนิดของไฟที่เรียกกันว่า "ธาตุไฟ" นั้นคุณไม่รู้จัก มันเหมือนกับว่าธาตุไฟนี้มีอยู่ในทุกหนทุกแห่งแต่ว่าเราจับต้องมองเห็นไม่ได้ เมื่อใดที่มีเงื่อนไขพร้อมคือ (1) มีเชื้อเพลิง (2) มีความร้อน (3) มีอากาศ (4) มีความแห้ง มีครบสี่อย่างนี้ธาตุไฟซึ่งเป็นพลังงานอย่างหนึ่งของจักรวาลนี้ก็จะจุดไฟให้ลุกพรึบขึ้นทันที
ฉันใดก็ฉันนั้น "ความคิด" เปรียบได้กับไฟ ความรู้ตัวซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ธาตุรู้" นี้เปรียบได้กับ "ธาตุไฟ" เมื่อใดก็ตามที่มีเงื่อนไขพร้อม คือ (1) มีสิ่งเร้า (2) มีอายตนะรับรู้สิ่งเร้า (3) มีกลไกการเปลี่ยนคลื่นสิ่งเร้าเป็นภาษา ความรู้ตัวหรือธาตุรู้ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานที่มีรอพร้อมอยู่แล้วก็จะจุดความคิดให้เกิดขึ้นในใจ
3. ถามว่าเมื่อความคิดดับลง ความรู้ตัวมันไปอยู่เสียที่ไหน ตอบว่า ก็เมื่อตอนที่กองไฟดับมอดลงแล้วนั้น ธาตุไฟไปอยู่เสียที่ไหนละ
ความรู้ตัวหรือธาตุรู้นี้ก็เหมือนกัน เมื่อหมดความคิด ความรู้ตัวก็เป็นความรู้ตัวอยู่นั่นแหละ มันอยู่ของมันที่นั่นแหละ มันมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง มันอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยห้องหับหรือที่ทางจัดเก็บ
4. ถามว่าอย่างความรู้ตัวของหนูนี้ มันเป็นของหนูคนเดียวหรือเปล่า ตอบว่า ไม่เป็น เหมือนอย่างคุณจุดไฟหุงต้มในบ้านคุณคุณอาจพูดได้ว่าไฟนั้นเป็นของคุณ แต่ธาตุไฟที่จุดไฟนั้นขึ้นมาไม่ได้เป็นของคุณดอกนะ คือคุณอย่าเอาของที่อยู่คนละมิติมาสัมพันธ์กัน สิทธิความเป็นเจ้าของเป็นความคิด เป็นคอนเซ็พท์ เป็นภาษา เป็นสิ่งสมมุติขึ้น ส่วนความรู้ตัวหรือธาตุรู้นั้นอยู่พ้นไปจากความคิด ตรงความรู้ตัวที่ว่านี้มันไม่ได้เป็นความรู้ตัวของคุณหรือของใครนะเพราะคุณในที่นี้มันเป็นแค่ความคิดที่ถูกกุขึ้นมากลางอากาศ ไม่ได้มีอยู่จริงมันจึงเป็นเจ้าของอะไรจริงๆไม่ได้ ส่วนความรู้ตัวนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในลักษณะไร้รูปและแทรกซึมไปทุกอนูของจักรวาลนี้ มันเป็นธาตุพื้นฐานของจักรวาลนี้ ไม่ว่าคุณหรือผมเมื่อถอยกลับไปอยู่ที่ความรู้ตัว ก็จะถอยไปอยู่ที่ความรู้ตัวหรือธาตุรู้อันเดียวกัน หมายความว่าทั้งคุณและทั้งผม เมื่อปอกเปลือกสำนึกว่าเป็นบุคคลที่เป็นเพียงความคิดที่ห่อหุ้มข้างนอกและแยกร่างกายนี้ออกไปแล้ว ส่วนของชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ว่าของคุณหรือของผมก็คือสิ่งเดียวกัน ถ้าคุณตระหนักรู้ตรงนี้คุณก็ไม่ต้องมานั่งแผ่เมตตาให้ผมหรอก เพราะลึกๆพ้นจากความคิดและร่างกายลงไปแล้ว คุณกับผมก็คือสิ่งเดียวกัน ตรงนี้แหละที่วิชาโยคะเขาเรียกว่า "รวมเป็นหนึ่ง" คือคำว่า "โยคะ" แปลว่ารวมเป็นหนึ่ง ซึ่งก็หมายถึงว่าเป้าหมายของวิชาโยคะนั้นก็คือวางความคิดกลับไปเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง
5. ถามว่าการวางความคิดกับการทำสมาธิเหมือนกันไหม ตอบว่า การทำสมาธิเป็นขั้นตอนไปสู่ความรู้ตัวอย่างยั่งยืน การทำสมาธิหรือ meditation หมายความเฉพาะเจาะจงถึงการตั้งใจโฟกัสทำให้ความสนใจตั้งมั่นอยู่กับอะไรสักอย่างไม่ว่อกแว่กกลับไปหาความคิด ซึ่งต้องจดจ่อที่อะไรสักอย่างเช่นลมหายใจหรือความรู้สึกบนผิวกายแล้วเกาะติดอย่างลึกละเอียดลงไปจนในที่สุดแม้ลมหายใจเองก็หายไป เหลืออยู่แต่ความรู้ตัว
6. ถามว่าทำไมต้องทำสมาธิด้วย ตอบว่า อ้าว..ก็เพราะต้องการถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้นานๆไง จึงต้องทำสมาธิเพื่อป้องกันไม่ให้ความสนใจถูกลากกลับไปหาความคิดอีก จากนั้นสิ่งที่ถูกจดจ่อจะค่อยๆหายไปเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว ตัวความรู้ตัวหรือธาตุรู้นี้เป็นจิตสำนึกรับรู้บริสุทธิที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับสำนึกว่าเป็นบุคคล เป็นพลังงานต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รวมทั้งเป็นที่มาของปัญญาญาณที่ก่อให้เกิดความเข้าใจแบบรับรู้ตรงๆตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องผ่านภาษา พูดง่ายๆว่าปัญญาระดับเจ๋งจริงมันต้องอาศัยสมาธิจึงจะมีได้ มันจึงจะต้องผ่านสะเต็พนี้ไปก่อน ความหลุดพ้นจากความยึดติดในความคิดจึงจะมีขึ้นได้
7. ถามว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญให้ทำสมาธิได้สำเร็จ ตอบว่า การรู้จักผ่อนคลายร่างกาย และการรู้จักกระตุ้นใจให้ตื่นตัวเมื่อง่วง เป็นปัจจัยสำคัญให้ทำสมาธิได้สำเร็จ
หมดคำถามแล้วนะ ก่อนปิดไฟเข้านอน ผมขอย้ำส่งท้ายกับคุณหน่อยว่าที่คุณถามมาทั้งหมดนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากคุณไม่ได้ลงมือปฏิบัติวางความคิดและทำสมาธิ ไม่ว่าคุณจะฉลาดปราดเปรื่องอย่างไรก็ตาม คุณไม่มีวันเข้าถึงสิ่งที่อยู่พ้นความคิดออกไปด้วยการพยายามคิดเอาดอก เพราะความคิดมันจำกัดคุณไว้ในกรอบของภาษา คุณจะเอาความคิดไปอนุมาณสิ่งที่พ้นกรอบของภาษาไปได้อย่างไร
เขียนถึงตรงนี้ว่าจะจบแล้วขอต่ออีกหน่อย เพิ่งนึกถึงอุปมาขึ้นได้ ครั้งหนึ่งราวยี่สิบปีมาแล้วผมเป็นกรรมการจัดงานประชุมแพทย์ผ่าตัดหัวใจระดับนานาชาติในกรุงเทพ ต้องคอยต้อนรับพวกวิทยากรฝรั่งที่เชิญเขามาพูด สมัยโน้นหมอฝรั่งบางคนไม่เคยมาทางซีกนี้ของโลกเลยในชีวิต วันหนึ่งพวกเรานั่งใส่สูทผูกเน็คไทคุยกันอยู่ที่ห้องล็อบบี้ของโรงแรมช้้นหนึ่งในกรุงเทพที่เราใช้ประชุมกัน หมอฝรั่งคนหนึ่งเห็นอากาศปลอดโปร่งดีมากก็ขออนุญาตผมออกไปเดินเล่น ผมพยักหน้า ออกไปได้สักพักเขาก็แจ้นกลับเข้ามารายงานหน้าตาตื่นว่า
"ข้างนอกมันร้อนมากนะ"
ผมอมยิ้ม คือฝรั่งเผลอลืมไปว่าเราอยู่ในห้องกระจกติดแอร์ เขาเอาอุณหภูมิของห้องไปอนุมาณอุณหภูมิของสนามเขียวๆแดดดีๆที่มองเห็นข้างนอก เขาลืมไปว่าอุณหภูมิของห้องที่เขารับรู้ได้นี้มันถูกครอบด้วยกระจกจึงจะอาศัยมันอนุมาณถึงอุณหภูมิข้างนอกไม่ได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น คุณอย่าเอาความคิดซึ่งถูกครอบด้วยกรอบของภาษาไปอนุมาณถึงสมาธิและความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่พ้นภาษาออกไป มันเป็นไปไม่ได้ คุณต้องลงมือปฏิบัติด้วยการวางความคิดก่อนคุณจึงจะรู้ถึงสมาธิและความรู้ตัวได้
เออ จะจบแล้วนะ รู้สึกว่าลืมอะไรไปอีกอย่างหนึ่งที่จะบอกคุณก่อนจบ อ้อ นึกออกแล้ว ครั้งหน้าถ้าถามมาอีก ผมจะตอบแต่คำถามที่เกิดจากการพยายามลงมือปฏิบัติแล้วติดขัดเท่านั้นนะ หากถามเพราะอยากรู้โน่นนี่นั่นไม่รู้จบอีกจะไม่ตอบให้แล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ขอบพระคุณค่ะ
..............................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าความคิดคืออะไร ตอบว่าความคิดที่ผมพูดถึงนี้ผมหมายเจาะจงถึงความคิดที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นจากเชาวน์ปัญญาที่เรามีอยู่นี้เองมันหวังดีพยายามจะปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลของเรา สำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เกิดขึ้นจากการที่เราสำคัญมั่นหมาย (identify) ว่าเราหรือ "ฉัน" นี้เป็นใคร หรือการยึดติดว่าอะไรที่สื่อถึงความเป็นฉัน เช่น เพศของฉัน อายุของฉัน ครอบครัวของฉัน หมู่บ้านของฉัน โรงเรียนของฉัน อาชีพของฉัน ชื่อเสียงของฉัน บริษัทของฉัน ชาติของฉัน ศาสนาของฉัน ความเชื่อของฉัน การเป็นคนรักความยุติธรรมของฉัน หรือแม้กระทั่งพันธกิจในชีวิตของฉัน ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือตัวตนที่เป็นต้นกำเนิดของความคิดอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
2. ถามว่าการวางความคิดคืออะไร ตอบว่าการวางความคิดก็คือการวางสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือ identity นี้ลงเสีย พูดง่ายๆว่าการจะพ้นทุกข์ได้ ต้องเปลี่ยนตัวตนหรือต้องเกิดการ shift of identity จากการเป็นบุคคลคนนี้ไปเป็นอย่างอื่น ถ้ายกตัวอย่างให้แคบลงมาเป็นตัวบุคคลอย่างตัวผมนี้การจะพ้นทุกข์ของผมก็คือการเปลี่ยนตัวตนจากการเป็น "หมอสันต์" ไปเป็นแค่ "ความรู้ตัว" ที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับ "หมอสันต์" เลย
3. ถามว่าความคิดกับความรู้ตัวนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ตอบว่า เปรียบเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างไฟกับต้นกำเนิดของไฟ คุณรู้จัก "ไฟ" เป็นอย่างดีแล้ว แต่ต้นกำเนิดของไฟที่เรียกกันว่า "ธาตุไฟ" นั้นคุณไม่รู้จัก มันเหมือนกับว่าธาตุไฟนี้มีอยู่ในทุกหนทุกแห่งแต่ว่าเราจับต้องมองเห็นไม่ได้ เมื่อใดที่มีเงื่อนไขพร้อมคือ (1) มีเชื้อเพลิง (2) มีความร้อน (3) มีอากาศ (4) มีความแห้ง มีครบสี่อย่างนี้ธาตุไฟซึ่งเป็นพลังงานอย่างหนึ่งของจักรวาลนี้ก็จะจุดไฟให้ลุกพรึบขึ้นทันที
ฉันใดก็ฉันนั้น "ความคิด" เปรียบได้กับไฟ ความรู้ตัวซึ่งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ธาตุรู้" นี้เปรียบได้กับ "ธาตุไฟ" เมื่อใดก็ตามที่มีเงื่อนไขพร้อม คือ (1) มีสิ่งเร้า (2) มีอายตนะรับรู้สิ่งเร้า (3) มีกลไกการเปลี่ยนคลื่นสิ่งเร้าเป็นภาษา ความรู้ตัวหรือธาตุรู้ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานที่มีรอพร้อมอยู่แล้วก็จะจุดความคิดให้เกิดขึ้นในใจ
3. ถามว่าเมื่อความคิดดับลง ความรู้ตัวมันไปอยู่เสียที่ไหน ตอบว่า ก็เมื่อตอนที่กองไฟดับมอดลงแล้วนั้น ธาตุไฟไปอยู่เสียที่ไหนละ
ความรู้ตัวหรือธาตุรู้นี้ก็เหมือนกัน เมื่อหมดความคิด ความรู้ตัวก็เป็นความรู้ตัวอยู่นั่นแหละ มันอยู่ของมันที่นั่นแหละ มันมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง มันอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยห้องหับหรือที่ทางจัดเก็บ
4. ถามว่าอย่างความรู้ตัวของหนูนี้ มันเป็นของหนูคนเดียวหรือเปล่า ตอบว่า ไม่เป็น เหมือนอย่างคุณจุดไฟหุงต้มในบ้านคุณคุณอาจพูดได้ว่าไฟนั้นเป็นของคุณ แต่ธาตุไฟที่จุดไฟนั้นขึ้นมาไม่ได้เป็นของคุณดอกนะ คือคุณอย่าเอาของที่อยู่คนละมิติมาสัมพันธ์กัน สิทธิความเป็นเจ้าของเป็นความคิด เป็นคอนเซ็พท์ เป็นภาษา เป็นสิ่งสมมุติขึ้น ส่วนความรู้ตัวหรือธาตุรู้นั้นอยู่พ้นไปจากความคิด ตรงความรู้ตัวที่ว่านี้มันไม่ได้เป็นความรู้ตัวของคุณหรือของใครนะเพราะคุณในที่นี้มันเป็นแค่ความคิดที่ถูกกุขึ้นมากลางอากาศ ไม่ได้มีอยู่จริงมันจึงเป็นเจ้าของอะไรจริงๆไม่ได้ ส่วนความรู้ตัวนั้นมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในลักษณะไร้รูปและแทรกซึมไปทุกอนูของจักรวาลนี้ มันเป็นธาตุพื้นฐานของจักรวาลนี้ ไม่ว่าคุณหรือผมเมื่อถอยกลับไปอยู่ที่ความรู้ตัว ก็จะถอยไปอยู่ที่ความรู้ตัวหรือธาตุรู้อันเดียวกัน หมายความว่าทั้งคุณและทั้งผม เมื่อปอกเปลือกสำนึกว่าเป็นบุคคลที่เป็นเพียงความคิดที่ห่อหุ้มข้างนอกและแยกร่างกายนี้ออกไปแล้ว ส่วนของชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ว่าของคุณหรือของผมก็คือสิ่งเดียวกัน ถ้าคุณตระหนักรู้ตรงนี้คุณก็ไม่ต้องมานั่งแผ่เมตตาให้ผมหรอก เพราะลึกๆพ้นจากความคิดและร่างกายลงไปแล้ว คุณกับผมก็คือสิ่งเดียวกัน ตรงนี้แหละที่วิชาโยคะเขาเรียกว่า "รวมเป็นหนึ่ง" คือคำว่า "โยคะ" แปลว่ารวมเป็นหนึ่ง ซึ่งก็หมายถึงว่าเป้าหมายของวิชาโยคะนั้นก็คือวางความคิดกลับไปเป็นความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวนั่นเอง
5. ถามว่าการวางความคิดกับการทำสมาธิเหมือนกันไหม ตอบว่า การทำสมาธิเป็นขั้นตอนไปสู่ความรู้ตัวอย่างยั่งยืน การทำสมาธิหรือ meditation หมายความเฉพาะเจาะจงถึงการตั้งใจโฟกัสทำให้ความสนใจตั้งมั่นอยู่กับอะไรสักอย่างไม่ว่อกแว่กกลับไปหาความคิด ซึ่งต้องจดจ่อที่อะไรสักอย่างเช่นลมหายใจหรือความรู้สึกบนผิวกายแล้วเกาะติดอย่างลึกละเอียดลงไปจนในที่สุดแม้ลมหายใจเองก็หายไป เหลืออยู่แต่ความรู้ตัว
6. ถามว่าทำไมต้องทำสมาธิด้วย ตอบว่า อ้าว..ก็เพราะต้องการถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้นานๆไง จึงต้องทำสมาธิเพื่อป้องกันไม่ให้ความสนใจถูกลากกลับไปหาความคิดอีก จากนั้นสิ่งที่ถูกจดจ่อจะค่อยๆหายไปเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว ตัวความรู้ตัวหรือธาตุรู้นี้เป็นจิตสำนึกรับรู้บริสุทธิที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับสำนึกว่าเป็นบุคคล เป็นพลังงานต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รวมทั้งเป็นที่มาของปัญญาญาณที่ก่อให้เกิดความเข้าใจแบบรับรู้ตรงๆตามที่มันเป็นโดยไม่ต้องผ่านภาษา พูดง่ายๆว่าปัญญาระดับเจ๋งจริงมันต้องอาศัยสมาธิจึงจะมีได้ มันจึงจะต้องผ่านสะเต็พนี้ไปก่อน ความหลุดพ้นจากความยึดติดในความคิดจึงจะมีขึ้นได้
7. ถามว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญให้ทำสมาธิได้สำเร็จ ตอบว่า การรู้จักผ่อนคลายร่างกาย และการรู้จักกระตุ้นใจให้ตื่นตัวเมื่อง่วง เป็นปัจจัยสำคัญให้ทำสมาธิได้สำเร็จ
หมดคำถามแล้วนะ ก่อนปิดไฟเข้านอน ผมขอย้ำส่งท้ายกับคุณหน่อยว่าที่คุณถามมาทั้งหมดนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากคุณไม่ได้ลงมือปฏิบัติวางความคิดและทำสมาธิ ไม่ว่าคุณจะฉลาดปราดเปรื่องอย่างไรก็ตาม คุณไม่มีวันเข้าถึงสิ่งที่อยู่พ้นความคิดออกไปด้วยการพยายามคิดเอาดอก เพราะความคิดมันจำกัดคุณไว้ในกรอบของภาษา คุณจะเอาความคิดไปอนุมาณสิ่งที่พ้นกรอบของภาษาไปได้อย่างไร
เขียนถึงตรงนี้ว่าจะจบแล้วขอต่ออีกหน่อย เพิ่งนึกถึงอุปมาขึ้นได้ ครั้งหนึ่งราวยี่สิบปีมาแล้วผมเป็นกรรมการจัดงานประชุมแพทย์ผ่าตัดหัวใจระดับนานาชาติในกรุงเทพ ต้องคอยต้อนรับพวกวิทยากรฝรั่งที่เชิญเขามาพูด สมัยโน้นหมอฝรั่งบางคนไม่เคยมาทางซีกนี้ของโลกเลยในชีวิต วันหนึ่งพวกเรานั่งใส่สูทผูกเน็คไทคุยกันอยู่ที่ห้องล็อบบี้ของโรงแรมช้้นหนึ่งในกรุงเทพที่เราใช้ประชุมกัน หมอฝรั่งคนหนึ่งเห็นอากาศปลอดโปร่งดีมากก็ขออนุญาตผมออกไปเดินเล่น ผมพยักหน้า ออกไปได้สักพักเขาก็แจ้นกลับเข้ามารายงานหน้าตาตื่นว่า
"ข้างนอกมันร้อนมากนะ"
ผมอมยิ้ม คือฝรั่งเผลอลืมไปว่าเราอยู่ในห้องกระจกติดแอร์ เขาเอาอุณหภูมิของห้องไปอนุมาณอุณหภูมิของสนามเขียวๆแดดดีๆที่มองเห็นข้างนอก เขาลืมไปว่าอุณหภูมิของห้องที่เขารับรู้ได้นี้มันถูกครอบด้วยกระจกจึงจะอาศัยมันอนุมาณถึงอุณหภูมิข้างนอกไม่ได้เลย ฉันใดก็ฉันนั้น คุณอย่าเอาความคิดซึ่งถูกครอบด้วยกรอบของภาษาไปอนุมาณถึงสมาธิและความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่พ้นภาษาออกไป มันเป็นไปไม่ได้ คุณต้องลงมือปฏิบัติด้วยการวางความคิดก่อนคุณจึงจะรู้ถึงสมาธิและความรู้ตัวได้
เออ จะจบแล้วนะ รู้สึกว่าลืมอะไรไปอีกอย่างหนึ่งที่จะบอกคุณก่อนจบ อ้อ นึกออกแล้ว ครั้งหน้าถ้าถามมาอีก ผมจะตอบแต่คำถามที่เกิดจากการพยายามลงมือปฏิบัติแล้วติดขัดเท่านั้นนะ หากถามเพราะอยากรู้โน่นนี่นั่นไม่รู้จบอีกจะไม่ตอบให้แล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์