เบื่อชีวิตที่ดิ้นรนไม่ต่างจากสัตว์ แต่ก็ไม่รู้จะหนีไปไหน

เรียนคุณหมอสันต์
หนูเบื่อชีวิตที่ดิ้นรนไม่ต่างจากสัตว์ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน ไม่ได้หมายความว่าหนูอยากตายนะ หนูกลัวตายด้วยซ้ำไป มีบ่อยครั้งที่หนูไปเดินออกกำลังกายที่...แล้วขึ้นไปยืนอยู่บน ... มองเห็นนกดิ้นรนขวานขวายไปหากินกันแต่เช้า ที่ถนนข้างล่างผู้คนก็ขวักไขว่ออกทำมาหากิน ทั้งหมดนี้เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคือร่างกายนี้เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ของเราด้วยและวันหนึ่งก็ต้องเน่าเปื่อยผุพังคืนแก่ผืนดินไป ระยะหลังมานี้หนูคิดบ่อยว่าชีวิตมีแค่นี้เองหรือ หนูไม่ได้คิดฆ่าตัวตายนะ แต่ชีวิตมันมีอะไรที่นอกจากนี้อีกไหม หรือว่ามีแค่นี้จริงๆ ถ้ามีแค่นี้คนเราเกิดมาบนโลกนี้ทำไม

...............................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าคนเราเกิดมาอยู่บนโลกนี้ทำไม ตอบว่า หิ หิ แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เป็นคนสร้างโลกซังกะบ๊วยใบนี้ขึ้นมา แต่ถ้าคุณจะถามผมว่าเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว จะใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ทุกข์ร้อนหรืออกไหม้ไส้ขมมากนัก ผมอาจจะพอช่วยให้คำแนะนำจากประสบการณ์ของผมได้บ้างนะ เอาเป็นว่าผมจะตอบคุณในประเด็นหลังนี้ดีกว่านะ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ถาม แต่ผู้อ่านท่านอื่นบางท่านน่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้

     2. ถามว่าคนเกิดมาก็ไม่ต่างจากนก กา หมา แมว ใช่ไหม ตรงที่ตื่นเช้าก็ดิ้นรนไปทำมาหากินเลี้ยงร่างกาย กิน นอน ขับถ่าย สืบพันธ์ แล้วก็ตายไป มีแค่นี้ใช่ไหม ตอบว่าถ้าคุณมองชีวิตออกไปจากความคิดและจากสิ่งที่รับรู้ตีความผ่านอายตนะทั้งห้า (ตาหูจมูกลิ้นผิวหนัง) ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ คือมีแต่การต่อสู้ดิ้นรนแถกเหงือกเพื่อการอยู่รอด (survival mode) แล้วก็ตายไป

     แต่ว่าชีวิตมนุษย์จริงๆแล้วมีมากกว่านี้นะ ชีวิตที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า existence มันยังมีส่วนที่อยู่พ้นออกไปจากที่ภาษานิยามได้ อยู่พ้นออกไปจากความคิดและสิ่งที่รับรู้ได้จากอายตนะทั้งห้าอีก แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่อาจรู้ไปถึงได้ ตรงนี้คุณอย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะคุณยังไม่รู้จะไปรีบ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" เสียก่อนแล้วคุณจะมีโอกาสไป "รู้" ได้อย่างไร ไม่รู้ก็คือไม่รู้ ให้คุณลงมือเอาที่ผมบอกไปทดลองปฏิบัติดูก่อน คุณจึงจะ "รู้" ได้ว่าสิ่งที่ผมพูดถึงมีจริงหรือไม่ ถึงตอนนั้นเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีความหมาย เพราะคุณรู้แล้ว เหมือนอย่างคุณรู้แล้วว่าน้ำแข็งมันเย็น คำถามที่ว่าคุณเชื่อไหมว่าน้ำแข็งมันเย็นหรือร้อนจะไปมีความหมายอะไร เพราะคุณรู้อยู่แล้ว เมื่อรู้เรียบร้อยแล้วเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่ใช่ประเด็นแล้ว

     ดังนั้นในขั้นนี้ให้คุณฟังหูไว้หูแล้วลงมือทดลองเอาไปปฏิบัติดูก่อน ชีวิตคือการเรียนรู้ทดลอง กล่าวคือการจะไปรู้เห็นและใช้ประโยชน์จากชีวิตส่วนที่พ้นออกไปจากกรอบของความคิดและอายตนะทั้งห้านั้น คุณจะต้องพาตัวเอง (ผมหมายถึงพาความรู้ตัวของคุณนะ ไม่ใช่พาร่างกายตันๆนี้) ไปอยู่ ณ จุดหนึ่ง ซึ่งที่จุดนั้นไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย อายตนะทั้งห้าถึงมีอยู่ก็เหมือนไม่มีเพราะคุณไม่รับรู้สิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทั้งห้าทางนั้นแล้วโดยสิ้นเชิง คือคุณไปอยู่ในที่ที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากความรู้ตัวของคุณเองเท่านั้น คือยังตื่นอยู่และมีความสามารถรับรู้ได้ แต่ไม่มีอย่างอื่นเลย ณ จุดนั้นคุณถึงจะเริ่มรับรู้ถึงชีวิตหรือ existence ที่อยู่พ้นออกไปจากความคิด ภาษา และอายตนะทั้งห้าได้ สิ่งที่คุณจะรับรู้ได้จากตรงนั้นมันกว้างใหญ่ไพศาลมาก และเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของที่คุณรับรู้มาจากตรงนั้นมันก็มีพลังที่คุณเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตนี้ได้อย่างมหาศาล ถ้าคุณเห็นว่าชีวิตที่ดิ้นรนแถกเหงือกแค่เพื่อจะอยู่ให้รอดมันไร้สาระ ผมแนะนำว่าคุณต้องมาทดลองปฏิบัติเพื่อที่จะไปอยู่ตรงนี้ดู แล้วคุณจะพบว่าโอ้..มันคุ้มค่ามากที่คุณได้เกิดมาและได้มาพบเห็นตรงนี้ และหากคุณเกิดมาเป็นคนแล้วไม่ได้มาพบเห็นตรงนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้มาทดลองสืบเสาะค้นหาตรงนี้ให้เต็มความสามารถที่คุณมี ชีวิตที่เกิดมาผมพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันเสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นคนเลยเชียวนะ เพราะแค่จะเกิดมาเพื่อดิ้นรนแถกเหงือกให้อยู่รอดแค่นั้น ไม่ถึงขั้นต้องเกิดมาเป็นคนก็ได้ แค่เกิดเป็นนกกาหมาแมวก็ได้รสชาติของชีวิตใน survival mode ครบถ้วนเพียงพอแล้วไม่ว่าจะเป็นการกินถ่ายสืบพันธ์นอนหลับเจ็บป่วยแล้วตายไป

     การจะไปอยู่ที่ตรงที่ว่านี้ผมเข้าใจว่ามันคงมีวิธีไปเป็นร้อยวิธี แต่ผมรู้แค่เท่าที่กรอบประสบการณ์ของผมเอื้อให้ผมรู้ได้ คือผมเองอาศัยฟังขี้ปากของคนอื่นแล้วเอามาทดลองปฏิบัติดูด้วยตัวเองแล้วกลั่นเอามาเฉพาะที่ผมชอบว่าใช้ได้ จึงสรุปเอาแบบลุ่นๆว่าอย่างน้อยมันก็มีสามวิธี ซึ่งผมแนะนำให้คุณใช้ทุกวิธีปนๆกันไป วิธีไหนถนัดก็ใช้มากหน่อย และก่อนที่จะพูดถึงแต่ละวิธี ทุกวิธีมันมีเครื่องมือที่คุณจำเป็นต้องใช้ประกอบอยู่ห้าชิ้น ซึ่งเครื่องมือทั้งห้านี้มีอยู่ในตัวคุณอยู่แล้ว ดังนี้คือ

     เครื่องมือที่จะต้องใช้

     เครื่องมือชิ้นที่ 1. คือความสนใจ (attention) สิ่งนี้คุณมีติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เพียงแค่ในการใช้เครื่องมือนี้คุณต้องฝึกดึงความสนใจออกจากตรงนั้นไปไว้ตรงนี้ให้ได้อย่างใจหมาย ปกติความสนใจมันชอบไปขลุกอยู่ในความคิด คุณต้องสามารถดึงมันออกจากความคิดไปจอดไว้ที่อื่นที่คุณอยากให้มันไปจอดอยู่

     เครื่องมือชิ้นที่ 2. คือพลังชีวิต (vital energy) แบบที่ภาษาจีนเรียกว่า "ชี่" หรือที่ภาษาแขกเรียกว่า "ปราณา" นั่นแหละ คุณสามารถเข้าไปคลุกคลีตีโมงหรือรับรู้การมีอยู่ของมันได้ด้วยเทคนิคการเอาความสนใจของคุณไปลาดตระเวณรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan) ความรู้สึกนี้ตรงกับคำภาษาบาลีว่าเวทนา ซึ่งมันเกิดขึ้นจากพลังชีวิต การคลุกคลีตีโมงกับพลังชีวิตมีแต่คุณไม่มีโทษ ผลพลอยได้คือจะทำให้คุณผละหนีจากความคิดอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ได้ง่ายขึ้น 

     เครื่องมือชิ้นที่ 3. คือการผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) เพราะการผ่อนคลายร่างกายเป็นกลเม็ดในการถอยความสนใจออกมาจากความคิดแบบเนียนๆอีกวิธีหนึ่ง กล่าวคือความคิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดชนิดที่เรียกว่า "อารมณ์" นั้นมันมีสองขา ขาหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระเรื่องราวในภาษา อีกขาหนึ่งเป็นอาการบนร่างกาย ซึ่งมักเป็นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เมื่อระงับขาหนึ่งก็มีผลระงับอีกขาหนึ่งด้วย ประเด็นสำคัญคือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อนี้เราสั่งการเอาได้ มันจึงเป็นทางลัดในการวางความคิดแบบเนียนๆ

     เครื่องมือชิ้นที่ 4. คือสมาธิ (meditation) หมายถึงการที่คุณเอาความสนใจไปจ่ออยู่ที่อะไรอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวอย่างต่อเนื่องลึกลงไปๆๆ จนความสนใจถูกลากออกมาจากความคิดอย่างสิ้นเชิงมาอยู่กับสิ่งที่คุณจดจ่อเท่านั้น

     เครื่องมือชิ้นที่ 5. คือการขยันตื่น (repeated alertness) หมายถึงว่าคุณทำตัวเองให้ตื่นขึ้นมาด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ยืดหน้าอกขึ้น แอบสะดุ้งตัวเองนิดๆ ให้ตื่นตัวมาอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันข้างนอกก็คือภาพเสียงสัมผัสตรงหน้า ปัจจุบันข้างในก็คือพลังชีวิต ประเด็นคือคุณกระตุ้นตัวเองให้ตื่นไม่ใช่นานๆครั้ง แต่ทุกวินาทีหรือทุกลมหายใจเข้าออก เครื่องมือชิ้นนี้มันคือการธำรงรักษาหรือผดุงความรู้ตัวของคุณเอาไว้ มันเป็นเครื่องมือที่มีความลึกซึ้งมาก ผมขอพูดให้ละเอียดนิดหนึ่งนะ ในภาษาบาลีเรียกเครื่องมือนี้ว่า "วิริยะ" ซึ่งคนแปลเป็นภาษาไทยว่า "ความเพียร" แต่ว่านั่นไม่ครอบคลุมความหมายที่แท้จริงที่ผมอยากจะสื่อถึง

     คนที่อธิบายความหมายที่แท้จริงของคำนี้ได้ดีที่สุดคือตัวละครในชาดกในพระไตรปิฎกบาลีเรื่องพระนาคเสน ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเหตุการณ์หลังพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ราว 600 ปี ว่ากษัตริย์มิลินทะ (กรีก) ยกทัพมาครอบครองและเรียกคนมาสอบสวนเอาเนื้อความคำสอนของพุทธศาสนา มีภิกษุองค์เดียวที่ฉลาดและกล้าพอที่จะตอบโต้ได้ชื่อพระนาคเสน โดยผมขอเล่าเฉพาะการโต้ตอบในประเด็นวิริยะ

     กษัตริย์มิลินทะถามว่า

     "วิริยะ คืออะไร"

     พระนาคเสนตอบว่า

     "คืออาการที่ค้ำเอาไว้ สนับสนุนเอาไว้" 

     กษัตริย์ถามต่อว่า

     "ให้ยกตัวอย่างประกอบ" 

     พระนาคเสนยกตัวอย่างว่า

     "เปรียบเหมือนเรือนที่โย้เย้ใกล้จะล้ม แล้วผู้อยู่อาศัยเอาไม้ไปค้ำเอาไว้ หรือเปรียบเหมือนกษัตริย์ยกทัพไปทำสงคราม ต้องจัดให้มีการส่งกำลังบำรุงและกองหนุนจากเมืองหลวงเพื่อสนับสนุนให้ทัพหน้าทำการต่อไปได้แม้ไพร่พลจะล้มตายและสะเบียงจะร่อยหรอ"  

    คำอธิบายของพระนาคเสนนี้ผมเห็นว่าลึกซึ้งคมคายและสื่อความหมายถึงเครื่องมือชิ้นนี้ได้ดีที่สุด คือเป็นเครื่องมือที่มีเพื่อค้ำจุนหนุนเนื่อง (maintain) ให้ความสนใจอยู่กับความตื่นและรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา และผมว่านี่เป็นคำอธิบายกลไกการยืนยงคงอยู่ของความบันดาลใจ (motivation) ที่ดีที่สุด

    วิธีการไป

    เอาละ คราวนี้มาพูดถึงวิธีการไปให้ถึงที่ที่ไม่มีความคิดซึ่งคุณจะรู้เห็นชีวิตส่วนที่ไม่เคยรู้เห็นได้

    วิธีที่ 1. การฝึกสมาธิเข้าถึงฌาณ (meditation)  ฟังชื่อหัวข้อแล้วอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ม้นไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก คุณลองทำเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ นั่งขัดสมาธิหรือนั่งธรรมดาตามถนัด ยืดตัวขึ้นให้ตรง เอามือวางไว้อย่างผ่อนคลายบนหน้าตัก เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งสักสิบองศาเหมือนมองท้องฟ้า หลับตา แล้วเอาความสนใจจ่ออยู่ที่่ท้องฟ้าซึ่งเป็นสีดำที่เบื้องหน้า ขณะเดียวกันก็สังเกตการหายใจ หายใจเข้าสนใจท้องฟ้าตรงหน้า สนใจต่อเนื่องลึกลงไป ลึกลงไปในความมืดนั้น หายใจออกสนใจท้องฟ้าตรงหน้า หายใจเข้าสนใจท้องฟ้าตรงหน้า ทำอย่างนี้ไปจนความคิดหมด ลมหายใจแผ่วลงๆจนหยุดนิ่ง ภาพเสียงกลิ่นรสสัมผัสเริ่มแผ่วไกลออกไปๆๆจนหายเกลี้ยง เหลืออยู่อย่างเดียวคือความรู้ตัว เรียกว่าอยู่ในฌาณ  ตรงนี้เป็นจุดตั้งต้นของการจะได้รู้ถึงชีวิตที่อยู่พ้นความคิดและอายตนะทั้งห้าออกไป คุณฝึกทุกวัน วันละครั้งสองครั้ง ครั้งละครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง นี่จัดว่าเป็นเทคนิคมาตรฐานที่ใช้ได้ผลกันทั่วโลกทุกชาติทุกภาษา

    วิธีที่ 2. การฝึกเห็นตามที่มันเป็น (see it as it is) เห็นตามที่มันเป็นหมายความว่าคุณฝึกรับรู้ (ภาพเสียงสัมผัส) โดยไม่มีความเป็นบุคคลของคุณมาเกี่ยวข้องหรือมาตีความ เช่นผมชื่อนายสันต์หรือหมอสันต์ เมื่อผมมองให้เห็นอะไรตามที่มันเป็น หมายความว่าขณะที่มองนั้นนายสันต์หรือหมอสันต์ไม่มีอยู่ในโลกนี้ ผู้มองไม่ใช่นายสันต์หรือหมอสันต์ เป็นแค่ความรู้ตัวที่ตื่นรู้อยู่ มองมาจากไหนไม่รู้ รู้แต่ว่ากำลังมองอยู่ และไม่เกี่ยวกับนายสันต์หรือหมอสันต์เลย คือต้องมีการเปลี่ยนตัว (identity) คนมองว่าไม่ใช่นายสันต์หรือหมอสันต์ ต้องมีการ shift of identity การเห็นตามที่มันเป็นจึงจะเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังเห็นจากมุมมองของนายสันต์หรือหมอสันต์ตราบนั้นไม่มีทางเห็นตามที่มันเป็นเพราะมันจะมีผลประโยชน์ส่วนตนของนายสันต์หรือหมอส้นต์เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยกับการเห็นนั้นเสมอ

     วิธีเริ่มต้นฝึกการฝึกเห็นแบบนี้แบบง่ายๆคือคุณหาอะไรสักอย่างที่คุณไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลย เช่นต้นไม้ หมู หมา กา ไก่ ดอกไม้ ก้อนหิน แล้วคุณนั่งมองสิ่งนั้นอย่างจดจ่อลึกละเอียดไปอย่างเดียวครึ่งค่อนวัน มองอย่างละเลียด ละเมียด ละมัย มองให้เห็นทุกแง่ทุกมุมของมันโดยไม่มีผลประโยชน์ของตัวคุณเข้าไปเกี่ยวข้อง มองแบบปล่อยให้ความรู้สึก (feeling) เฟื่องฟูขึ้นมาโดยไม่มีความคิดมาตีความหรือเกี่ยวข้อง มองจนซาบซึ้งถึงความงามและความลงตัวแบบไม่มีที่ติของทุกสรรพสิ่งที่เห็น ฝึกไปอย่างนี้แหละทุกวันๆๆจนวันหนึ่งคุณก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นได้ ถึงจุดนั้นคุณในฐานะผู้เห็นก็ไม่แตกต่างจากสิ่งที่คุณเห็น คือคุณจะยอมรับสิ่งที่คุณเห็นได้ 100% เพราะความเป็นบุคคลของคุณ นาย ก.หรือนาง ข. ที่จะดลใจให้เกิดการแยกแยะเปรียบเทียบนั้นไม่มี ทุกอย่างที่เห็นจึงมีความสมบูรณ์อย่างไม่มีที่ติของมันเอง มุมมองอย่างนี้แหละที่ก่อให้เกิดการยอมรับแบบไม่มีเงื่อนไขหรือเมตตาธรรมแบบไม่เลือกหน้า หรือ unconditioned love ซึ่งจะเป็นสื่อชักพาคุณให้เห็นชีวิตส่วนที่พ้นไปจากที่คุณเคยคิดเอาได้และรับรู้เอาได้จากอายตนะทั้งห้า

    วิธีที่ 3. การสอบสวนเพื่อทิ้งทุกความคิด (self inquiry) ซึ่งก็คือการใช้ความคิดอ่านดุลพินิจไตร่ตรองวิเคราะห์แยกแยะบอกกำพืดที่มาของทุกความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ โดยการจับความคิดขึ้นมาสอบสวนทุกความคิด ทีละความคิดๆ ซึ่งแน่นอนทุกความคิดเมื่อสอบกำพืดไปแล้วก็จะพบว่าล้วนชงมาจากสำนึกว่าเป็นบุคคลหรือจากนายสันต์หรือหมอสันต์ผู้เป็นห่วงผลประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น เมื่อรู้เช่นเห็นชาติความคิดนั้นว่ามีกำพืดแค่นี้เองก็จะได้ลงทะเบียนมันไว้ จำหน้ามันไว้ ครั้งหน้ามันมาอีกก็ดีดทิ้งได้เลย มาอีกก็ดีดทิ้งๆๆ จนมันเลิกมา หนึ่งความคิดสอบสวนกันหนึ่งครั้ง สอบส่วนแล้วดีดทิ้ง สอบสวนแล้วดีดทิ้ง จนหมดความคิด ไม่มีความคิดเหลือให้สอบสวนเลย เมื่อไม่มีความคิดเหลืออยู่ ความรู้ตัวก็จะไปถึงที่จุดนั้น คือจุดที่จะเห็นชีวิตส่วนที่พ้นไปจากความคิดและอายตนะทั้งห้า เทคนิคนี้ผมทดลองใช้อยู่นานแต่ก็ยอมรับว่าไม่ค่อยถนัดหรือไม่ค่อยถูกจริต แต่คนอื่นเขาใช้กันได้ผลโครมๆแสดงว่ามันต้องใช้ได้ถ้าจะตั้งใจใช้มันอย่างจริงจัง

    สรุปว่าถ้าคุณเบื่อความไร้สาระของชีวิตในระดับ survival mode อันเป็นชีวิตที่ถูกกำกับด้วยสัญชาติญาณเยี่ยงสัตว์ทั่วไป เครื่องมือทั้ง 5 ชิ้นนี้ และวิธีไปทั้ง 3 วิธีนี้ จะพาคุณไปถึงชีวิตหรือ existence ในอีกระดับหนึ่งที่อยู่พ้นความคิดและอายตนะทั้งห้าออกไป และจะทำให้การเกิดมามีชีวิตครั้งนี้คุ้มค่าที่ได้เกิดมา คุณอย่าเพิ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ขอให้ลงมือทดลองปฏิบัติดูก่อน แล้วการ "รู้" ที่เกิดขึ้น จะเป็นคำตอบแก่คุณเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025